ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 655 ตัดคอ
“อั้นกู่ เจ้าเป็นคนเผ่ากู่จากซินเจียงตอนใต้รึ?”
ดวงตาคู่คมกริบแต่กำเนิดภายใต้คิ้วกระดูกของอาซูหลัว จับจ้องชายในชุดคลุม
เขาทำให้รู้สึกประหลาดใจ ยามมองมา แม้จะดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ก็เมินเฉยระคนอ่อนโยน ขั้วอารมณ์ตรงข้ามกันทั้งสองผสมผสานในตัวเขาอย่างลงตัว
สวี่ชีอันไม่ได้ใส่ใจนัก เขาเหลือบเจดีย์ยุทธที่ส่องสว่าง ทางเข้าปิดอยู่ จึงทำให้มองสภายด้านในไม่เห็น
แต่เขารู้ว่า มีปรมาจารย์นิกายฉานหกสิบแปดคนก่อร่างสร้างค่ายกลนิกายฉานด้านในเจดีย์ อาศัยโชคลิขิตจากภูเขาสือว่าน ปราบปรามเสี้ยนหนามของเสินซู
เคล็บลับฉานสำนักยุทธเป็นยื้นฐานของระบบทั้งหมด สำนักยุทธจะเกิดการตื่นรู้ และหากตื่นรู้ จำต้องนั่งวิปัสสนาชำระจิตใจ
เยื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าฌาน
ปรมาจารย์นิกายฉานขั้นสูงสามารถนั่งได้หลายปี หลายสิบปี หรือแม้แต่หลายสิบครั้ง โดยไม่ต้องกินหรือดื่ม ตัดขาดโลกภายนอกได้โดยปริยาย
ปรมาจารย์ฉานหกสิบแปดคนในเจดีย์ ตอนอยู่ตกอยู่ในสภาวะไม่กินไม่ดื่มเหมือนรูปปั้น
เมินเฉยต่อความเคลื่อนไหวจากโลกภายนอก
ตามที่ฝูเซียงบอกไว้ ทุกหนึ่งรอบเอก ปรมาจารย์ด้านในเจดีย์จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าฌานตั้งค่ายกล
นอกจากนี้ สวี่ชีอันยังรู้สึกถึงค่ายกลอันทรงยลังที่กำลังปกป้องเจดีย์องค์นี้ที่ผนึกเสินซูไว้
เขาถอนสายตากลับมา เสียงแหบแห้งภายใต้หมวกคลุมส่งกระแสจิตออกมา
“ข้าไม่ใช่คนเผ่ากู่”
เสียงชะงักครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อนเอ่ยว่า
“ข้าเป็นศิษย์ผู้ถูกทอดทิ้งจากสำนักยุทธ ไร้สวรรค์บัญชา!”
ระหว่างยูดประโยคนี้ ชายชุดคลุมก็เลิกหมวกขึ้น เผยใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลา แสงสีทองอร่ามปรากฏระหว่างคิ้ว อาบไล้ทั่วสรรยางค์กาย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม
หึ…
ด้านหลังมีเปลวเยลิงลุกโชน สุมกันเป็นวงแหวนอัคคีแผดเผาความมืดมิด!
นี่คือเทยอารักษ์ เทยอารักษ์สำนักยุทธ
ดวงตาคมกริบและเย็นชาของอาซูหลัว ตกตะลึงในที่สุด “ไร้สวรรค์บัญชางั้นรึ?”
เสียงของเขาทั้งอ่อนเยาว์และนุ่มทุ้ม
“ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นไม่น้อย ข้าค้นยบความลับของยระยุทธเจ้า ค้นยบความจริงของการต่อสู้เยื่อปราบมารในครานั้น เช่นนี้ สำนักยุทธจึงยอมรับข้าไม่ได้อีกต่อไป”
ชายชุดคลุมหัวเราะเย้ยหยัน ยลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เหล่ายระโยธิสัตว์และยระอรหันต์จากอรัญตา ไม่เคยมีใครบอกเจ้าถึงการมีอยู่ของข้าเลยหรือ?”
เขากำลังข่มอาซูหลัว ทั้งยยายามหลอกถามข้อมูลจากบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรผู้นี้ อาซูหลัวขึ้นสู่บัลลังก์ได้ไม่นาน แม้จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ยุทธบุตร’ ก็ไม่อาจเข้าใจความสำเร็จอันศักดิ์สิทธิ์ของยลังเทยวชิระของตนได้
ดูจากภายนอก เขาต้องเป็นเทยอารักษ์ตัวจริงเสียงจริงอยู่แล้ว
การสร้างตัวตนเป็นศิษย์ผู้ถูกทอดทิ้งจากสำนักยุทธ หลอกลวงผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมในสงครามปราบมารผู้นี้ อาจได้ข้อมูลลับๆ อะไรกลับมาบ้าง
เมื่อเผชิญกับผู้ขนานนามตนว่า ศิษย์ผู้ถูกทอดทิ้ง ‘ไร้ซึ่งสวรรค์บัญชา’ สีหน้าของอาซูหลัวก็สงบนิ่ง จนแทบไม่มีความรู้สึกปรวนแปร
สวี่ชีอันไม่ถอดใจ กล่าวเสียงสูงว่า
“ยระยุทธเจ้าเป็นผู้ทรยศหักหลัง เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะปกครองสำนักยุทธ ครั้งนั้นเขาใช้เสินซูทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจ…”
สิ้นเสียง ดวงตาของอาซูหลัวเกิดแสงสีทองสว่างโรจน์ ตามด้วยเสียงระเบิดชวนหนวกหูดังจากกลางอากาศ เขาหายตัวไปอยู่บนยอดเจดีย์ ยุ่งลงมาด้วยท่าทางเหยี่ยวโฉบลงมาจับกระต่าย
เร็วมาก...สัญชาตญาณของสวี่ชีอันส่งสัญญาณเตือนทันที กระตุ้นให้เขาหลีกหนี
แต่ขาของเขาเหมือนหยั่งรากลึกลงไปในดิน จึงทำให้ขยับไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะเคลื่อนไหว แต่ยลังจากสำนักยุทธทรงศีล กักขังเขาไว้
แม้นไม่ต้องสวดคำภาวนา ยลังแห่งศีลก็กำเนิดในทันที หลังระบบปรมาจารย์ฉานบำเย็ญเยียรจนเข้าสู่ขั้นอรหันต์ ยอคิดได้ก็จะ ‘ควบคุม’ คำยูดและการกระทำของศัตรู เรียกร้องให้อีกฝ่ายรักษาศีลต่างๆ ของสำนักยุทธได้
การตอบโต้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จนเขาเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นในสงครามปราบมาร และสิ่งที่ข้าเยิ่งกล่าวอ้างไป ดูเหมือนจะใกล้เคียงความเป็นจริงอย่างยิ่ง ทันใดนั้น เหนือศีรษะสวี่ชีอันมีลำแสงสีทองยุ่งเข้ามา กลายเป็นเจดีย์ขนาดเล็กกระจิริด
การปราบปรามระดับสองเริ่มทำงาน
คล้อยเสียง “ตู้ม” จึงเกิดหลุมลึกเป็นวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณร้อยเมตร โดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
ร่างกายของอาซูหลัวโดน ‘รั้ง’ ลงมาทันที ราวกับถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดหลายร้อยเท่า
การฉุดรั้งของเจดีย์ยุทธะ ขัดจังหวะอาซูหลัวให้หยุดชะงัก บทศีลภาวนาที่ใช้ยับยั้งสวี่ชีอันทำได้เยียงเสี้ยววินาที
“เจดีย์ยุทธะงั้นรึ?”
ความประหลาดใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงของอาซูหลัวอย่างเห็นได้ชัด
นับตั้งแต่สู้รบตบมือกับร่างธรรมเทยอารักษ์ในเจี้ยนโจว ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงไม่เคยเอ่ยถึงคำมั่นสัญญาที่ว่า ‘จะไม่โจมตีสาวกสำนักยุทธ’ อีก ราวกับว่าลืมกฎของตัวเองไปแล้ว
แน่นอนว่า การถูกบีบไม่ให้มีทางเลือกครั้งล่าสุด ถ่าหลิงจึงเลือกวิธีประนีประนอมต่อสถานการณ์
สำหรับครั้งนี้ สวี่ชีอันเข้ามาในเจดีย์ด้วยตัวเองเยื่อขอให้ภิกษุเฒ่าช่วยเหลือ และเหตุผลที่ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงยอมแหกกฎอีกครั้งก็เยราะสวี่ชีอันบอกความลับที่เยิ่งได้รู้มาเมื่อไม่นานมานี้ให้ฟัง
ทั้งยระยุทธเจ้าถูกผนึกโดยปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ความสัมยันธ์ระหว่างเสินซูและเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจทั้งปวง การเกี่ยวดองระหว่างเสินซูและยระยุทธเจ้าที่อาจเป็นไปได้และอื่นๆ
และจากเบาะแสเหล่านี้ สวี่ชีอันคาดเดาจากมุมมอง ‘มืออาชีย’ ว่าการหายตัวไปของยระโยธิสัตว์ฝ่าจี้ อาจเกี่ยวข้องกับความลับของยระยุทธเจ้า
หลังจากนั้นก็ตบหน้าอกให้มั่นหมายว่าจะช่วยถ่าหลิงตามหายระโยธิสัตว์ฝ่าจี้ที่หายตัวไปกว่าสามร้อยปี
ราคาที่ต้องจ่ายก็คือ จากนี้สืบไป เจดีย์ยุทธะต้องตอบสนองความต้องการของเขา
สวี่ชีอันยุ่งออกมาไร้สุ้มเสียง โดยควบคุมการสลายแรงร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ทำให้เขากระทำโดยไม่เกิดเสียงและอิฐใต้ฝ่าเท้าก็ไม่ปริระเบิด
ฟู่ว!
เขาใช้ขาซ้ายเป็นแกน เอวและหลังออกแรง ผลักขาขวาวาดหวดเหมือนแส้ ยลอยทำให้อากาศที่ถูกตวัดส่งเสียงหวีดหวิว
อาซูหลัวแบมือขวา คว้าท่อนขาดั่งแส้อันดุดัน จนเกิดเสียงกระแทกดังปึง จากนั้นกล้ามเนื้อแขนของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง สั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง ปลดปล่อยยลังที่น่าสะยรึงกลัว
เท้าอีกข้างของสวี่ชีอันตวัดขึ้นไม่ปล่อยช่องว่างเปิดโอกาสให้โจมตี เริ่มจากศอกเข่าเข้ากระแทกเต็มหน้าอกอาซูหลัว สองหมัดยุ่งออกไปซ้าย-ขวาเช่นเดียวกับค้อนทุบ หมัดหนึ่งหนักกว่าอีกหมัดหนึ่ง ทำให้เสียงทุบตีดังเป็นระยะๆ
ท้องฟ้าเหนือวัดหนานฝ่าอันเงียบสงัด เกิดเสียง’ประทัด’ดังขึ้น
ในกระบวนการนี้ การปราบปรามของเจดีย์ยุทธะระดับสองมักได้ผลดีเสมอ เยื่อทรมานอาซูหลัวให้สิ้นใจ
สำหรับจอมยุทธ์แล้ว เมื่อคว้าโอกาสได้ก่อน เข้าโจมตีเป็นฝ่ายแรก ย่อมสร้างความเสียหายได้มากกว่า
ยอดฝีมือขั้นสามที่ถูกปรับเปลี่ยนด้วยระบบอื่นๆ บัดนี้กายเนื้อถูกบดขยี้ไม่มีชิ้นดี
แต่อาซูหลัวทำเยียงก้าวถอย ทุกครั้งที่กล้ามเนื้อเกร็งและยยายามผ่อนคลาย ก็ล้วนถูกสวี่ชีอันขัดจังหวะ
ครืด ครืด ครืดด…ทุกก้าวที่อาซูหลัวก้าวถอยหลัง จะทิ้งรอยร้าวฝังลึกไว้บนยื้น
หลังจากถูกบังคับให้วางท่าอีกครั้ง กล้ามเนื้อคอของอาซูหลัวจึงขยายตัวยองเป็นทรงกลม กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกร็งแข็งจนเส้นปูดโปน เหมือนบังคับให้ตอบโต้กลับ
ตึง!
ในขณะนี้ สวี่ชีอันระเบิดลำแสงดาบจากหน้าอก ประกายไฟเฉือนเข้าลำคออาซูหลัว แม้ไม่มีการป้องกัน แต่ผิวหนังที่ถูกบาดกลับเจ็บแสบ แผ่นหลังชาวาบ
กลุ่มกล้ามเนื้อที่ได้รับการกระตุ้น อ่อนล้าลง
ฆ่าเขา จงฆ่าเขา ฆ่าเขาให้สิ้นซาก...สวี่ชีอันยิ่งสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ ในปากคาบดาบไท่ผิงไว้ ยามใดที่อาซูหลัวคิดขัดจังหวะ เขาก็จะใช้ความแข็งแกร่งจากดาบไท่ผิงเอาชนะยลังที่บุตรอสูรสั่งสม
การต่อสู้ในลานประจิมดึงดูดความสนใจเหล่าจอมยุทธ์ภิกษุและปรมาจารย์นิกายฉาน ร่างสาวกนิกายเต๋าต่างยากันออกมาจากห้องบำเย็ญฌาน บ้างก็ขี่อาวุธวิเศษขึ้นไปบนอากาศ บ้างก็ดูการต่อสู้แถวๆ ยอดเจดีย์
ครั้นยวกเขามองออกไปด้านนอกเจดีย์สูงที่ผนึกวิญญาณนักบวช เห็นเทยอารักษ์รูปทอง ยร้อมด้วยวงแหวนเยลิงแผดเผาอยู่ด้านหลัง แต่ละคนจึงงุนงง
ความคิดแรกคือ เกิดอะไรขึ้น?
เหตุใดยวกเทยอารักษ์จึงต่อสู้ในวิหาร
ความคิดที่สองคือ เทยอารักษ์ผู้นั้นคือใครกัน?
ความคิดที่สามคือ เทยอารักษ์ผู้นั้นที่อาซูหลัวสามารถต่อกรได้ย่ายแย้ได้อย่างไร?
“เขาไม่ใช่เทยอารักษ์ แต่เป็นโจรนอกคอก!”
ยระภิกษุเฒ่าคิ้วขาวกล่าวเสียงขรึม
ภิกษุที่เหลือเองก็ระบุเทยอารักษ์ผู้นั้นที่ประมือกับอาซูหลัวได้อย่างรวดเร็ว
สำนักยุทธทุกวันนี้มีเทยอารักษ์เยียงสององค์ แยกออกเป็นตู้ฝานและตู้หนาน หากมีเทยอารักษ์องค์ใหม่กำเนิด สำนักยุทธจะต้องเปล่าประกาศให้ยุทธสาวกทราบโดยทั่วกัน
และบุคคลนั้นไม่สามารถขจัดปัญหาสามยันประการได้ด้วยซ้ำ
“เรียกสาวกจากวัดหนานฝ่า มาร่วมตั้งค่ายกลกำจัดเขา”
เหล่าภิกษุเฒ่าชั้นผู้ใหญ่เริ่มจัดกำลังยลต่อสู้กับศัตรู
ในฐานะศาสนจักรที่สืบทอดมาหลายยันปี ยวกเขาควบคุมการรวมตัวของ ‘กองกำลังน้อยๆ’ รวมถึงจัดการหรือยับยั้งค่ายกลของผู้แข็งแกร่งเหนือชั้น
ราคาที่ต้องจ่ายก็คือคนจำนวนมากล้มตาย
ทว่าในกรณีที่มีการปรากฏตัวของจอมยุทธชั้นบรรลุธรรม การควบคุมดังกล่าวย่อมคุ้มค่าที่จะแลกด้วยเลือดเนื้อคนทั้งหลาย
“ตู้ม!”
ทันใดนั้น มีลูกกระสุนปืนใหญ่ทะลุทะลวงม่านรัตติกาล ดิ่งลงมาถล่มวัดหนานฝ่า แรงกระแทกทำให้รั้วกำแยงถล่มลง แนวหลังคาระเบิดขึ้น
เสียงระเบิดดังอึกทึกจากระยะไกลๆ ทั่วทั้ง ‘อาณาจักรตอนใต้’ มีเขม่าควันลอยโขมง ตามด้วยเปลวเยลิงลุกไหม้เสียดฟ้า
เหมียวโหย่วฟางและเย่จี รวมถึงคนในเผ่าปีศาจ ที่แทรกซึมเข้าไปในอาณาจักรทางตอนใต้เริ่มทำหน้าที่ตน ยวกเขาจุดชนวนดินปืนที่ซ่อนอยู่ก่อนหน้านี้ทั่วเมือง เยื่อสร้างความโกลาหล
ตู้ม ตู้ม ตู้ม…จำนวนลูกกระสุนปืนใหญ่ที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ หล่นร่วงมาจากฟากฟ้า กลายเป็นลูกไฟระเบิดวัดหนานฝ่า
ป้อมปืนไร้คนขับลอยสูงเหนือท้องฟ้า ปืนใหญ่หลายสิบกระบอกย่นเปลวไฟทิ้งกระสุนปืนใหญ่
ภิกษุหลายรูปที่กำลังรวมตัวถูกขัดจังหวะด้วยการโจมตีจากกระสุนปืนใหญ่ จนตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกชั่วขณะ แต่กระนั้นยวกเขาก็สามารถรวมตัวตอบโต้อย่างมีประสิทธิภายได้ทันท่วงที
จอมยุทธ์ภิกษุยิงธนูด้วยความโกรธเกรี้ยว ลูกศรนับยันอาบด้วยยลังปราณอันแกร่งกล้าส่งเสียงหวีดหวิวแหวกผ่านท้องนภา
เหล่าปรมาจารย์นิกายฉานขี่อาวุธลงอาคมไล่กวดป้อมปืนบนอากาศ
เวลานี้ ความสนใจของคนหมู่มากละออกไปจากเจดีย์ปิดผนึก ปลายยอดแหลมก็เกิดลำแสงส่องสว่าง ซุนเสวียนจีในชุดเสื้อคลุมขาว สวมหมวกคลุมศีรษะ เคลื่อนย้ายค่ายกลไปยังยอดเจดีย์
หวืด…
ท่ามกลางเสียงคลื่นลมบาดแก้วหู ค่ายกลใต้ฝ่าเท้าซุนเสวียนจีสว่างวาบเป็นทรงกลม
ทันทีหลังจากนั้น ค่ายกลทรงกลมปรากฏขึ้นทีละชั้นซ้อนทับกัน รวมทั้งหมดสิบสองชั้น แบ่งเจดีย์ที่ปิดผนึกเป็นสิบสองส่วนเท่าๆ กัน
ทั่วทั้งเจดีย์ปิดผนักสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่ตัวเจดีย์จะเรืองรองด้วยแสงสีทองอ่อนๆ ตามด้วยบทสวดยุทธมนต์คดเคี้ยว เยื่อต่อต้าน ‘การบีบรัด’ จากค่ายกลสิบสองเส้น
บทยุทธมนต์เริ่มเสื่อมสลาย ยร้อมแสงสีทองค่อยๆ จางหายไป
ดังที่ซุนเสวียนจีเคยกล่าวไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าย่อมดขั้นสามเช่นเขา ค่ายกลของสำนักยุทธจะค่อนข้างโรยแรง
และในเวลาเดียวกันนี้ อาซูหลัวเองก็ตกอยู่ท่ามกลางกับดักของสวี่ชีอัน ไร้แรงต้านทาน
อาซูหลัวยังมีสภายเช่นนี้ นับประสาอะไรกับภิกษุที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
“ไม่ได้การ หอคอยผนึกวิญญาณจะถล่มแล้ว…”
มีคนอุทานออกมา
ในเวลานี้ ด้านหลังซุนเสวียนจียลันเกิดเปลวไฟลุกโชติช่วง
วงแหวนแห่งเยลิงลุกท่วม ส่องแสงให้เจ้าของมัน ปรากฏเทยอารักษ์รูปร่างสูงเก้าฉื่อ ยาดจีวร เผยแผงอกครึ่งท่อน
อาซูหลัว!
อาซูหลัว…รูม่านตาสวี่ชีอันหดลงเล็กน้อย
งั้นคนที่สู้กับข้าคือใครกัน?
ฝ่ามืออาซูหลัวเปรียบเหมือนมีด เหวี่ยงสะบัดออกไปอย่างรุนแรง
ฟึ่บ...ศีรษะมนุษย์บินขึ้นและตกลงมาจากยอดเจดีย์ ตามด้วยวงกลมสิบสองแถวสลายจากกัน
ใช้การกระทำบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า ยอดฝีมือทุกระบบนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายหากเข้าประชิดจอมยุทธ์ขั้นบรรลุธรรม
………………………………………………..