ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 656 พลังแห่งสายเลือด
‘ตึง!’
ศีรษะมนุษย์ร่วงลงบนพื้น ส่งเสียงดังชัดเจน ระหว่างกลิ้งลุนๆ หมวกคลุมหลุดออก เผยให้เห็นส่วนหัวที่หลอมด้วยเหล็ก ฝังไม้มะเกลือสีเข้ม
ป้อมปืนลอยเด่นอยู่ในอากาศไม่ไหวติง ท่านกลางลำแสงเจิดจรัส ปรากฏชายชุดขาวคนหนึ่ง มีหน้าตาธรรมดา ความสูงทั่วๆ ไป อารมณ์สงบปกติ เขาเป็นศิษย์พี่สองที่ไม่ธรรมดาของสำนักโหราจารย์
ซุนเสวียนจียืนประนมมือ มองอาซูหลัวอยู่บนยอดเจดีย์
อาซูหลัวเหวี่ยงมือ เปลี่ยนหุ่นเชิดอาวุธวิเศษราคาแพงให้กลายเป็นผุยผง
ในฐานะพ่อมดที่ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ซุนเสวียนจีและขั้นสามในระบบอื่นจะเป็นเหมือนกัน เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ก็จะมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ซึ่งแตกต่างจากยอดฝีมือระบบอื่นๆ พ่อมดที่เชี่ยวชาญในการปรับแต่งอาวุธวิเศษ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเส้นทางการอัดฉีด ทำให้ลงมือได้ในวงกว้างขึ้นและตบตาได้มากขึ้น
หุ่นเชิดสิ่งประดิษฐ์นี้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของซุนเสวียนจี ร่างกายของมันแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสี่ ซึ่งมีค่ายกลเล็กๆ เก้าสิบเก้าชิ้นสลักไว้อยู่บนลำตัว สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลคุ้มภัยและค่ายกลใหญ่ห้าธาตุ
แขนทั้งสองข้างเป็นปืนใหญ่ขนาดเล็กที่ถ้ายอดฝีมือขั้นสี่ถูกยิงเข้า เป็นต้องเจ็บสาหัสทุกราย
นอกจากนี้ ความสามารถหลักของมันคือค่ายกลชุมนุมทวยเทพที่สลักอยู่บนขมับ ซุนเสวียนจีสามารถแยกจิตเดิมได้
หุ่นเชิดสามารถปลดปล่อยพลังของพ่อมดขั้นสามได้ในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อจิตเดิมติดอยู่กับหุ่นเชิด ร่างของซุนเสวียนจีไม่สามารถทำหน้าที่ได้เพราะพลังของหุ่นเชิดจะด้อยกว่าร่างจริงเล็กน้อย
ดังนั้นหุ่นเชิดวิเศษจึงไม่สามารถใช้งานได้จริง แต่เมื่อพูดถึงการใช้เหยื่อ มันก็สมบูรณ์แบบใช้ได้
ถ้าอาซูหลัวไม่มีกำลังสำรอง ซุนเสวียนจีคงฉวยโอกาสนี้บุกเข้าทำลายเจดีย์ปิดผนึก ปลดปล่อยมือเท้าทั้งสี่ของเสินซู
ในทางกลับกัน ก็สามารถทดสอบไพ่ใบสุดท้ายของอาซูหลัวได้
เห็นได้ชัดว่าบุตรชายคนสุดท้องของราชันอสูรผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขามีการเตรียมการล่วงหน้าเช่นเดียวกัน
“พ่อมดแห่งต้าฟ่ง”
อาซูหลัวเอ่ยเนิบนาบ เขาถูกโค่นในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี และในเวลานั้น ระบบพ่อมดก็ปรากฏขึ้นมาแล้วหลายร้อยปี
“ทานพละ!”
ซุนเสวียนจีสบถเพียงสองคำ
สิ้นคำ อาซูหลัวที่สู้รบตบมือกับสวี่ชีอันก็สลายกลายเป็นแสงสีทองอร่าม
หนึ่งในสามพละของพระอรหันต์ ได้แก่ ทานพละ
ทานพละ ตามความหมายของชื่อ ควรได้รับการสนับสนุนจากสวรรค์ เพราะเป็นธรรมที่ลึกซึ้งที่สุดในสำนักพุทธ พระอรหันต์ผู้ที่พิสูจน์การสมาทานทานพละได้นั้น จึงถือเป็นหนึ่งในผู้มีเมตตาในไม่กี่คน
ทานพละมีความสามารถหลักๆ สองประการคือ การให้พรและรับทาน
การให้พร ฆราวาสจะต้องถวายเครื่องสักการะและขอพร จากนั้นพระอรหันต์ผู้รับผิดชอบทานพละจะสามารถบรรลุตามความปรารถนาของฆราวาสผู้นั้นได้
แน่นอนว่ามีข้อจำกัดในเรื่องนี้และเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุความปรารถนาใดๆ
การรับทาน พระอรหันต์ผู้ครองพละ จะสามารถร้องขอเครื่องสักการะได้
ด้านในเจดีย์ปิดผนึก จะมีแท่นสำหรับว่าอัฐิธาตุทานพละ
ก่อนสงคราม อาซูหลัวที่เตรียมการมาเป็นเวลานาน คอยถวายเครื่องสักการะ ขอพรกับอัฐิธาตุ โดยอธิษฐานขอให้มีผู้ช่วยที่เหมือนกับตัวเขาเอง
อัฐิธาตุตอบรับคำวิงวอนจากเขา ด้วยพลังทานพละอันแรงกล้า จึงจัดหาผู้ช่วยที่เหมือนอาซูหลัวทุกประการ
หลังจากนั้น อาซูหลัวก็ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่โดยรอบ
ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ต่อสู้กับสวี่ชีอันตลอดมาคือผู้ช่วยที่ถูก ‘เรียก’ โดยอัฐิธาตุ ไม่ใช่ตัวอาซูหลัวเอง
ผู้ช่วยคนนี้ถูกจำกัดตามลักษณะนิสัยอัฐิธาตุ แม้ว่ามันจะลอกเลียนความสามารถของอาซูหลัวได้ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ไม่สามารถบำเพ็ญได้ถึงขั้นสามระดับต้น
และมีอายุขัยสั้นมาก สามารถใช้งานได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ไม่สามารถใช้นานๆ
อาซูหลัวกำลังหลอกล่อสหายคู่คิดของสวี่ชีอัน แน่นอนว่าเขาสามารถเลือกโจมตีได้พร้อมร่างเสมือน แต่ทำเช่นนั้นเป็นเพียงแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้สวี่ชีอันตกใจเท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ต่อสู้กัน ต่างฝ่ายต่างวางแผนและวางกับดัก
ผลลัพธ์ที่ได้คือครึ่งต่อครึ่ง
“การจับตาดูครั้งล่าสุดของข้า ทำให้ความระแวดระวังเจ้าเพิ่มมากขึ้นรึ?”
สวี่ชีอันกระชับดาบไท่ผิงในมือขวา สืบเท้ามุ่งตรงไปยังเจดีย์ปิดผนึก
“พระโพธิสัตว์กว่างเสียนคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปีศาจทักษิณจะใช้ประโยชน์จากสำนักพุทธเข้าแทรกแซงตอนระบบศูนย์กลางดั้งเดิมขัดแย้งกัน รอสบโอกาสยึดครองภูเขาสือว่าน”
น้ำเสียงยังหนุ่มทุ้มนุ่มของอาซูหลัวเอ่ยขึ้น “จึงฝากให้ข้าเฝ้าซินเจียงตอนใต้รึ”
ข้าเกลียดศัตรูที่มีสมองเสียจริง…หัวเข่าทั้งสองข้างของสวี่ชีอันพุ่งลงกระแทกอาซูหลัวราวกับลูกธนู ดาบไท่ผิงในมือฟันแสงดาบพร่างพรายออกไป บิดเบี้ยวกลางอากาศ
ตึง!
ดาบไท่ผิงชะงักค้างระหว่างสองนิ้ว แม้นจะคลายปราณดาบ ก็หาได้ทำลายกายาศักดิ์สิทธิ์เทพอารักษ์ของอาซูหลัวไม่
สวี่ชีอันพลิกหมุนตัวราวกับลูกข่าง หมุนคมดาบไท่ผิงให้หลุดพ้นจากนิ้วศัตรู
อาซูหลัวที่ชักนิ้วกลับเอ่ยเสียงเรียบ “ละเว้นการเอาชีวิต!”
เมื่อพลังแห่งศีลพ่นออกมา ทำให้เขาไม่คิดสู้หรือต่อต้าน
จิตวิญญาณการต่อสู้อ่อนแรง
ทันใดนั้น วงแหวนเพลิงที่อยู่ด้านหลังศีรษะอาซูหลัวก็ม้อดดับลง ก่อนแทนที่ด้วยแสงสีทองสุกสกาว
บุคลิกของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งเผด็จการ ดุร้ายและเยือกเย็น เหมือนอาวุธวิเศษที่ไร้ปลอกหุ้ม
เจดีย์พุทธะหมุนวนด้วยแรงกดดัน สั่นสะเทือนปลดปล่อยพลังแห่งการปราบปราม พยายามส่งผลต่ออาซูหลัว เพื่อลดทอนความแข็งแกร่งของเขา
ตุ้บ!
อาซูหลัวกำหมัดแน่น เมินพลังที่ส่งมาจากเจดีย์พุทธะ เหวี่ยงหมัดเข้ากลางอกสวี่ชีอัน ผิวหนังสีทองเข้มที่ถูกเขาชกปริแตก ทรวงอกยวบยุบในทันใด
พลังแห่งการแยกขันธ์ เป็นที่เลื่องชื่อในการโจมตีอันทรงพลัง ทำให้พลังเทพวชิระแตกสลายโดยตรง
หากไม่สามารถทำลายพลังเทพวชิระลงได้ อาซูหลัวจะมีคุณสมบัติให้เรียกว่าพระโพธิสัตว์คนต่อไปได้อย่างไร พลังรบต้องมาก่อนไม่ใช่หรือ?
ร่างอวตารสวี่ชีอันกระโจนออกไป ถล่มทั้งกุฏิและวิหารหลังแล้วหลังเล่า จนฝุ่นตลบกลบสิ่งโสมมในวัดหนานฝ่า
เจดีย์ที่สุญเสียการปลุกเสกจากเจ้านาย ทั้งที่ตั้งใจจะโน้มน้าวพระอรหันต์ผู้ที่บรรลุระดับเต๋าแยกขันธ์ จึงจำใจเล็กน้อย
เวลานี้ อาซูหลัวพลันหันด้านข้าง แสงดาบสีทองเข้มพุ่งผ่านหน้าเขา หายลับไปในตัวอาคารวัดหนานฝ่า
ไม่กี่วินาทีต่อมา ทั้งอาคารและวิหารก็ระเบิด เหมือนกับเต้าหู้ถูกบดด้วยใบมีด
สวี่ชีอันอาศัยกระโจนตามแสงเงา ปรากฏกายเงียบๆ ด้านหลังอาซูหลัวเพื่อโจมตี เพราะมีความสามารถปกปิดลมปราณจาก ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ของเทียนกู่ ทำให้สัญชาตญาณล่วงรู้อันตรายชาวยุทธ์ของอาซูหลัวไม่แจ้งเตือน
แสงวาบเมื่อครู่นี้ เกิดจากการตอบสนองจากสถานที่แห่งนั้นเอง
แต่สิ่งนี้ยังทำให้อาซูหลัวพลาดโอกาส ขณะหลบหลีกแสงดาบด้านข้าง สวี่ชีอันก็ก้าวขึ้นมาพร้อมกับกำปั้นซ้ายและกระบี่ในมือขวา รวมประสานการต่อสู้
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!
กำปั้นของเขาเหมือนปืนใหญ่ที่ระเบิดบนร่างอาซูหลัวอย่างหนาแน่นราวกับสายฝน
วงล้อแห่งแสงที่อยู่ด้านหลังศีรษะของอาซูหลัววนบรรจบกัน จากนั้นวงแหวนเพลิงลุกโชนเสียงดัง ‘พรึ่บ’ ส่องสว่างท่ามกลางม่านรัตติกาล
ไม่หลงเหลือรอยต่อสลับไปมาระหว่างพระอรหันต์กับเทพอารักษ์อีกต่อไป
ร่างกายที่สูงใหญ่เป็นทุนเดิมของเขา ค่อยๆ ระเบิดกล้ามเนื้อ ขยับขยายใหญ่ขึ้น
ตึง!
เทพอารักษ์อสูรผู้นี้ใช้ค้อนทุบหน้าผากสวี่ชีอัน เขาขัดขวางจังหวะต่อเนื่องของสวี่ชีอันด้วยพลังที่แข็งแกร่งและเหนือยิ่งกว่า
ภาพเบื้องหน้ามืดมัว ในขณะที่หมดสติไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันนึกถึงคำพูดของฝูเซียงขึ้นมาได้ว่า อาซูหลัวบำเพ็ญร่างธรรมเทพอารักษ์ล้มเหลว จึงเปลี่ยนไปพึ่งระบบวิชาฉาน
คุณสมบัติของผู้ที่จะฝึกฝนร่างธรรมเทพอารักษ์ได้ ทั้งพลังของเขา พลังปราณ อย่างน้อยๆ อยู่ในขั้นสามที่สมบูรณ์
สิ่งเดียวที่สามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของจอมยุทธ์ได้คือจอมยุทธ์ที่ทรงพลังกว่า
ครู่ต่อมา การไล่รุกและป้องกันผันเปลี่ยน วงแหวนเพลิงด้านหลังอาซูหลัวมอดลง วงล้อส่องสว่างขึ้น จากนั้นกำปั้นห่อหุ้มด้วยพลังเต๋าแยกขันธ์ ทะลวงลึกบนร่างสวี่ชีอันจนยุบตัวเป็นรูลึก
ครานี้ สวี่ชีอันเป็นฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังจากการถูกโจมตีซ้ำๆ จากจอมยุทธ์
ด้วยความแข็งแกร่งของอาซูหลัว ด้วยอาการบาดเจ็บจากพลังเต๋าแยกขันธ์ที่ ‘ไม่มีสิ้นสุด’ แม้ว่าจะไม่สามารถสังหารจอมยุทธ์ผู้เป็นอมตะได้ หากแต่สามารถทำให้สถานภาพและความแข็งแกร่งของเขาลดหลั่นลง
ความสมดุลของชัยชนะจึงเอนเอียง
พอเห็นฉากนี้แล้ว ภิกษุวัดหนานฝ่าต่างส่งเสียงโห่ร้อง ราวกับรู้สึกโล่งใจอย่างแท้จริง
อาซูหลัวผู้สูงส่งอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้
ผู้สูงส่ง เป็นคำเรียกขานของเหล่าสาวกพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเวลาหลายพันปี สาวกส่วนใหญ่ของพระองค์ได้ถูกทำลายล้างในแม่น้ำแห่งกาลเวลา
สำนักพุทธในปัจจุบัน ผู้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้สูงส่ง มีเพียงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ พระโพธิสัตว์กว่างเสียน และอีกคนคือบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรผู้นี้
และเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์หลิวหลี ผู้สูงส่งอย่างพระอรหันต์ถือเป็นดาวรุ่งในพระพุทธศาสนา
“ท่านทั้งหลายร่วมสร้างค่ายกลโดยเร็ว ปิดล้อมลานประจิม อย่าปล่อยให้โจรกับสหายร่วมคิดหนีไปได้” เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุพากันออกจากวัดตั้งกองกำลังช่วยกันดับไฟ และจับผู้วางเพลิง
ภิกษุเฒ่าหนวดเคราและคิ้วขาวตะโกน
“ขอรับ ผู้อาวุโสผานฝ่า!”
เหล่าภิกษุเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ กลืนเอาความกลัวและตื่นตระหนกหายไป
ซุนเสวียนจีไม่ได้อยู่เฉยๆ เมื่อซูฉีอัน ‘ต้อน’ อาซูหลัวไว้ เขายืนอยู่บนขอบป้อมปืนพลางค่อยๆ อ้าแขนออก
ค่ายกลทรงกลมปรากฏขึ้นจากขมับเขา พร้อมกับลวดลายดูเหมือนเปลวไฟบิดเบี้ยว
ป้อมปืนสิบสองอันลอยเด่นอยู่ในอากาศ เคลื่อนเข้าไปในค่ายกล ทันทีที่สัมผัส ตัวปืนหล่อด้วยเหล็กกล้าหลอมละลายอย่างรวดเร็ว ขจัดเอาสิ่งสกปรกออก ก่อนกลายเป็นเหล็กเหลวเปล่งประกาย
เหล็กหลอมเหลวลอยอยู่เหนือศีรษะซุนเสวียนจี ก่อนย้อมเสื้อคลุมสีขาวกลายเป็นส้ม
ค่ายกลครั้งที่สองก่อตัวขึ้น ปกคลุมเหล็กหลอมเหลวจำนวนมาก ท่ามกลางเสียง “ฟู่ๆ” เหล็กเหลวคลายความร้อนอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างเหล็กเหลวกำลังคายความร้อน กระบอกปืนขนาดใหญ่ถูกขัดเกลาจนแน่นหนา จากนั้นตัวปืนจึงก่อตัวขึ้น
ต้นแบบปืนใหญ่ขนาดยักษ์ได้ถือกำเนิด
พ่อมดผู้ควบคุมการก่อร่างสร้างค่ายกล ได้กล่าวอำลาเครื่องหลอมและเปลวเพลิง
จากนั้น ซุนเสวียนจีกรีดกรายนิ้วมือ วาดรูปค่ายกลกลางอากาศ ปืนแต่ละกระบอกมีรูปร่างที่แตกต่างกัน เป็นสัญลักษณ์ของพลังด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน พวกมันถูกสลักอย่างเป็นระเบียบบนปืนใหญ่ยักษ์
หรือใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวปืน หรือใช้ในการรวบรวมพลังวิญญาณ…ในหลายสิบอึดใจ จึงก่อร่างสร้างตัวหลายสิบรูปแบบ
ปืนใหญ่วิเศษที่มีปากกระบอกขนาดใหญ่ได้รับการขัดเกลาลุล่วงแล้ว
‘เป๊าะ!’
ซุนเสวียนจีดีดนิ้ว ลวดลายบนลำปืนก็สว่างขึ้นทีละอัน ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยลวดลายบนกระบอกปืนเปล่างแสงสว่างทั้งหมด
พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเริ่มรวมตัวกัน กลุ่มแสงขนาดเท่ากำปั้นสว่างวาบจากปากกระบอกปืน ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณ กลุ่มลำแสงยิ่งขยายกว้างขึ้น
กระบวนการนี้ใช้เวลาราวๆ สิบวินาที ทันใดนั้นซุนเสวียนจีก็ตะโกนขึ้น
“ยุบลง!”
สิ้นเสียง อาซูหลัวผู้ระเบิดพลังกำลังไล่ล่าโจมตีสวี่ชีอันอย่างดุเดือด จนหน้าอกพลันยุบตัว ตามด้วยท้องน้อย ซี่โครง หลังและไหล่…อาการยุบตัวต่างระดับกันเกิดขึ้นทั่วร่างกาย
ผิวสีทองเข้มแตกระแหงเป็นขุยราวกับเครื่องปั้นลายคราม
ทันทีที่พลังเทพวชิระของเขาล้มเหลวลง อวัยวะภายในทั้งหมดได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง รวมถึงลมปราณอ่อนกำลังลง
หยกสลาย!
สวี่ชีอันเริ่มการบดขยี้หยกสลาย คืนความเสียหายที่เขาได้รับถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์
นี่คือขีดจำกัดที่หยกสลายทำได้
สวี่ชีอันอาศัยตอนอาซูหลัวบาดเจ็บ แทรกซึมกับร่างเงาปรากฏตัวอยู่ในระยะไกลๆ
‘เป๊าะ!’
ซุนเสวียนจีดีดนิ้ว
ตู้ม!
กระบอกปืนพ่นแสงเจิดจ้าออกมา ก่อนลำแสงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งหมี่จะห่อหุ้มอาซูหลัว
วัดหนานฝ่าทั้งหมดส่องสว่างด้วยลำแสงนี้สว่างไสวราวกับกลางวัน
เหล่าภิกษุต่างจ้องมองลำแสงนี้เหมือนกับกำลังมองดวงตะวัน จนดวงตาที่เกิดระคายเคืองหลั่งน้ำตาระอุอุ่นออกมา
พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์พลิกผันกะทันหันตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
แข็งแกร็งมาก...สวี่ชีอันหรี่ตา จับจ้องลำแสงนี้ตาไม่กะพริบ
ปลายยอดเจดีย์พุทธะ ปรากฏร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ แสงทองอำไพที่โปรยลงมาจากขวดหยก ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาและเมื่อรวมกับความสามารถในการรักษาตนอันแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นสาม พลังระดับเต๋าแยกขันธ์จะค่อยๆ ขับออกมาทีละนิด
สมกับเป็นพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ซึ่งเป็นของเลื่องชื่อด้านพลังสงครามในสำนักพุทธขั้นสอง แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับกระบี่สยบดินแดน แต่เมื่อสะสมไว้ไม่มากก็น้อย ก็สามารถควบคุมการรักษาตนของจอมยุทธ์ขั้นเหนือชั้นได้…
การต่อสู้เพียงลำพัง ข้าคงเอาชนะอาซูหลัวไม่ได้ หยกสลายเองก็คืนความเสียหายได้เพียงหกสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ฆ่าศัตรูแปดร้อยตนเจ็บพัน โชคดีแท้ๆ ที่มีร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ…
สวี่ชีอันในใจยังคงหวาดผวา
ยอดฝีมือสำนักพุทธผู้อยู่ขั้นสองผนวกสาม มีพละกำลังมากพอจะข่มขวัญ
การยิงถล่มเต็มอัตราของศิษย์พี่ซุนร่วมกับอาการบาดเจ็บที่หยกสลายของข้าก่อไว้ แม้อาซูหลัวจะไม่ตายในทันที แต่คงพอให้คุกคามไม่ได้อีก
สถานการณ์โดยรวมถูกกําหนดไว้แล้ว!
ลำแสงยังคงรักษาลมปราณไว้ประมาณยี่สิบครั้ง ก่อนหมดความแข็งแกร่งแล้วค่อยๆ สลายไป
เงาร่างอาซูหลัวนั่งขัดสมาธิปรากฏท่ามกลางสายตาของทุกคน ลำแสงโจมตีจนเป็นหลุมลึกและเขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางหลุม
จีวรบนร่างกายถูกเผาไหม้ ผิวหนังบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรผู้นี้เกือบไหม้เกรียม ยังเผยให้เห็นเนื้อสีแดงอ่อนนุ่มที่ละลายเหมือนขี้ผึ้ง
สิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดคือศีรษะและเนื้อหนังเขาถูกเผาจนเห็นกะโหลกที่ไหม้เกรียม
อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าหลอมรวมกันเหมือนหุ่นขี้ผึ้งละลาย หลงเหลือเพียงสองเบ้าตากลายเป็นหลุมดำ ลูกตาหายไป
หยกสลายของสวี่ชีอันทำให้ร่างทองของอาซูหลัวแหลกสลาย อวัยวะภายในบาดเจ็บสาหัส
แม้เขาจะใช้วิชาฉานในตอนต้านทาน ‘วิถีกระสุน’ แต่สถานการณ์ไม่นำพา จึงเผชิญหน้ากับการโจมตีของพ่อมดขั้นสามและยากที่จะหลบหนี
ต้องฆ่าเขาตอนที่เขายังบาดเจ็บ…ร่างกายสวี่ชีอันผสานเข้ากับร่างเงา โผล่ออกมาจากทางด้านหลังอาซูหลัว
ดาบไท่ผิงเชือดเฉือน!
หากไม่ได้ปลุกพลังเทพวชิระ วัดจากสภาพอาซูหลัวในตอนนี้แล้ว กายหยาบเขาไม่สามารถต้านทานคมดาบไท่ผิงได้
เพียงตัดศีรษะออก แล้วส่งมอบให้ซุนเสวียนจีปิดผนึก สิ่งที่อาซูหลัวต้องเผชิญก็คือการสูญเสียพลังจนหมดสิ้น
ตึง ตึง ตึง…
เวลานี้ สวี่ชีอันได้ยินเสียงกลอง หนักหน่วงและชวนอึดอัด
แม้จะรู้สึกฉงนใจ หากแต่สิ่งนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟันดาบไท่ผิง
ตึง!
เสียงเสียดสีของโลหะดังฟังชัด ดาบไท่ผิงบาดผ่านประกายเพลิง แต่มันไม่สามารถเฉือนศีรษะอาซูหลัวได้ เพราะถูกฝ่ามืออีกฝ่ายยกประกบไว้
ฝ่ามือสีดำทมิฬ
ผิวหนังที่ถูกไฟคลอกของอาซูหลัวสร้างขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว กะโหลกขมับที่ถูกถลกให้เห็นเนื้อแดงสด ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังสีดำ
ภายในไม่กี่อึดใจ อาซูหลัวก็หายจากอาการบาดเจ็บ ขณะเดียวกันรูปร่างของเขาก็เปลี่ยนไป ทั่วร่างกายมืดมนราวกับย้อมหมึกเหมือนอสุรกายในอเวจี
“นานมาแล้วที่ข้าไม่ได้ปลดปล่อยพลังแห่งสายเลือด นานเสียจนข้าเกือบลืมว่าข้าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าอสูร”
ชั่วอึดใจ อาซูหลัวกระดิกนิ้ว ดาบไท่ผิงก็กระเด็นออกจากมือสวี่ชีอัน
จนกระทั่งถึงเวลานี้ สวี่ชีอันถึงตระหนักว่า จังหวะกลองที่หนักอึ้งนั้น คือเสียงหัวใจของอาซูหลัว
นี่มัน…ครั้นเห็นรูปลักษณ์อาซูหลัวเช่นนี้ ม่านตาสวี่ชีอันขยายออกเล็กน้อย สีหน้าตกใจและตื่นตระหนกปรากฏชัด
เขาเสียศูนย์เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวความแข็งแกร่งของอาซูหลัว
แต่เพราะเขาเคยเห็นใครอีกคนที่มีผิวมืดมนแบบนี้มาก่อน
ร่างธรรมสีดำทมิฬของเสินซู
พลังแห่งสายเลือด นี่หรือพลังแห่งสายเลือดของเผ่าอสูร!
เสินซูผู้นั้นคือ…
………………………………………………