ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 659 อำลา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองขาสองข้างของเสินซู แสงกระจ่างดุจละอองน้ำในตาซ้ายทำให้ไม่อาจเห็นอารมณ์ในดวงตานางได้ชัดเจน
แต่นางยังทำท่าทางจ้องมอง ไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน
ผ่านไปชั่วครู่ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางใช้เสียงนุ่มนวลน่ารักเป็นเอกลักษณ์ ยิ้มหวานพูดว่า
“ยามนั้นข้าเยาว์วัย แม้ไม่ได้ต่อสู้กับอาซูหลัว แต่รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเขา พูดตามตรง เรื่องที่เจ้าจะนำมือเท้าทั้งสี่ของเสินซูกลับมาได้ ข้ามั่นใจไม่ถึงห้าส่วน”
“นั่นเพราะข้าไม่ใช่จอมยุทธ์ที่แท้จริง”
สวี่ชีอันพูดเสียงเรียบ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหัวเราะ ’คิกๆ’ ยื่นมือซ้ายลูบแก้มขวา ยิ้มหวานพูดว่า
“ข้าถูกใจเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เย่จี เจ้าว่าข้ายกพวกพี่น้องหญิงของเจ้าให้เขาทั้งหมดเป็นอย่างไร”
เย่จีหนักใจขึ้นมา คำพูดนี้ขององค์หญิงหมายความว่า
ข้าถูกใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ อยากให้เขาเป็นราชบุตรเขยของอาณาจักรหมื่นปีศาจ
ด้วยพละกำลังของสวี่หลาง นับเป็นบุคคลผู้อยู่ในระดับสูงสุดของจิ่วโจว องค์หญิงจะกอบกู้แคว้น ย่อมต้องดึงตัวยอดฝีมือ ถูกใจเขาก็ไม่น่าแปลกใจ เขาพร้อมด้วยความสามารถและคุณสมบัตินี้…ในใจเย่จีรู้สึกต่อต้าน เพราะยามนี้สวี่ชีอันเป็นของนาง ถ้าพระนางถูกใจเขา เช่นนั้นตำแหน่งของตน เกรงว่าจะกลายเป็นสาวใช้แต่งเข้าบ้าน
แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจไม่สนใจฐานะ แต่ความรักนั้นแท้จริง แม้เป็นองค์หญิง แย่งชายผู้เป็นที่รักของนางอย่างโจ่งแจ้ง นางยังคงโกรธแค้นและไม่พอใจ
นอกจากไป๋จีแล้ว นังแพศยาพราวเสน่ห์เจ็ดตนนั้น แต่ละคนมีเสน่ห์เฉพาะตัว ย่อมต้องยั่วยวนสวี่หลางอย่างเต็มที่
พี่น้องหญิงของฝูเซียง แต่ละคนชุ่มฉ่ำหวานล้ำดุจฝนวสันตฤดูโปรยปรายในแดนสวรรค์? สวี่ชีอันใจกระตุกวูบ จากนั้นอดไม่ได้ที่จะมองจิ้งจอกขาวน้อยแวบหนึ่ง ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง เจ้าตัวน้อยผู้นี้ไม่นับ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเดินไปหน้าขาสองข้างของเสินซู ยกมือขึ้น กดบนท้องน่องเบาๆ
“ห้าร้อยปีมานี้ ข้าใช้ทั้งแรงกายแรงใจตลอดเวลา ใคร่ครวญว่าจะปลดผนึกช่วยเขาหลุดพ้นจากความลำบากได้อย่างไร ใคร่ครวญว่าจะนำพาปีศาจแดนใต้ยึดบ้านเกิดเมืองนอนคืนได้อย่างไร
“ในที่สุดวันนี้ก็อยู่ไม่ไกล”
องค์หญิงเจ้าอย่าพูดแต่ไม่ทำสิ ไม่มีรูปพวกนาง อย่างน้อยก็ให้ช่องทางติดต่อหน่อยก็ได้…สวี่ชีอันถือโอกาสถามว่า
“องค์หญิงคิดจะก่อจลาจล ยกทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ ยึดภูเขาสือว่านคืนยามใด”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางใคร่ครวญชั่วครู่ พูดเสียงอ่อนโยน
“รอข้ากลับจิ่วโจวก็จะปลุกเสินซู ยกทัพกำราบชาวแดนประจิม จับเป็นอาซูหลัว ให้เขาถอนผนึกสุดท้ายของเจ้า รวบรวมแขนขาทั้งหมดนอกจากศีรษะของเสินซูจนครบ จากนั้น บุกโจมตีอรัญตา”
ยังจะบุกโจมตีอรัญตา? ยึดศีรษะเสินซูคืน? ถ้าเป็นเช่นนี้ พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยังจะร่วมมือกับอวิ๋นโจวโจมตีที่ราบกลางต่อไปได้หรือไม่…สวี่ชีอันหัวแล่น ลอบฮึกเหิมขึ้นมา
“พระนางกลับจิ่วโจวยามใด” เขาถาม
“ยังต้องใช้เวลาอีกหน่อย ในระหว่างนั้น ข้าจะให้เย่จีและคนอื่นๆ ลักลอบเรียกเผ่าพันธุ์ปีศาจที่กระจายอยู่ทั่วจิ่วโจวกลับมา รวมพลกองทัพต้องใช้เวลา”
สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย เตรียมการสงครามไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น
“องค์หญิง ท่านรู้หรือไม่ว่าเสินซูคือราชันอสูร”
สวี่ชีอันถามโพล่งออกมาราวกับดินระเบิด
ซุนเสวียนจีและเย่จีมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
…จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพูดช้าๆ
“กระทั่งใกล้จบสงครามพุทธและปีศาจ ข้าถึงรู้ว่าเขาคือราชันอสูร”
ไม่รู้แม้แต่ฐานะพ่อแท้ๆ ของตน ดูเหมือนว่ายามนั้นเสินซูกับเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจจงใจปิดบัง สวี่ชีอันถามอีก
“เช่นนั้นในร่างท่านก็มีโลหิตอสูร? แต่เหตุใดผู้พิทักษ์ชิงมู่บอกว่าเจ้าคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์”
จิ้งจอกเก้าหางหันหลังทันที นัยน์ตากระจ่างจ้องเขาเขม็ง ผ่านไปสักพัก ถึงหัวเราะเบาๆ พูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่ไขคดีดุจเทพ ชื่อเสียงสมคำร่ำลือ ประมาทเล็กน้อย เกือบถูกเจ้ารู้สายสนกลในหมดสิ้น”
เว้นวรรคเล็กน้อย นางถอนใจพูดว่า
“ข้าไม่ใช่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์ ข้าเกิดมาแปดหาง ยามนั้นท่านแม่ใช้ภาพลวงตาหลอกลวงฝูงปีศาจ ให้พวกเขาคิดว่าข้าคือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์
“เมื่อใกล้จบสงครามพุทธและปีศาจ ท่านแม่รู้ตัวว่ายากจะพ้นเคราะห์ แบ่งพลังปราณของนางส่วนหนึ่ง ถ่ายทอดสู่ร่างกายข้า
“ข้าได้รับพลังปราณของนาง ถึงขับเลือดอสูรออกไป กลายร่างเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางบริสุทธิ์ ในยามนั้นเอง ข้าถึงรู้ฐานะที่แท้จริงของเสินซู”
สวี่ชีอันเข้าใจทันที “ดังนั้นพระนางออกทะเลตามหาเผ่าพันธุ์เดียวกัน เพื่อสายเลือดบริสุทธิ์รุ่นต่อไป?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้า จากนั้นส่ายหน้า ยิ้มแย้มพูดว่า
“ถ้าถูกใจ ก็สานสัมพันธ์เป็นคู่หู พากลับจิ่วโจวช่วยข้ากอบกู้อาณาจักรหมื่นปีศาจ ถ้าไม่ถูกใจ ก็ฆ่าทิ้ง แย่งชิงพลังปราณ เตรียมพร้อมเพื่อลูกหลานในอนาคตของข้า
“ยามนี้ ข้าเอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า แต่ทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต หมู่เกาะมากมาย นอกโพ้นทะเลยังมีจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหรือไม่ ยามนี้ข้าก็ไม่กล้าแน่ใจ”
จากคำพูดนี้ของนาง สวี่ชีอันจำแนกส่วนสำคัญได้สองข้อ
หนึ่ง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ค่อยมั่นใจเรื่องก่อกบฏ จึงออกทะเลตามหาเผ่าพันธุ์เดียวกัน หวังดึงตัวเข้าใต้บัญชา
สอง เพราะงมเข็มในมหาสมุทร แผนนี้ไม่แน่ไม่นอนเกินไป นางเหมือนจะเปลี่ยนความคิด มีแผนใหม่
เห็นว่าพูดคุยได้สักพักแล้ว เย่จีรีบถามว่า
“องค์หญิง แขนขาส่วนนี้ของไต้ซือเสินซู ดีหรือชั่วเจ้าคะ?”
นางยังกังวลว่าหลังจากปลุกขาสองข้างของเสินซู มันจะยอมร่วมมือกับสวี่ชีอันถอนตะปูตอกวิญญาณหรือไม่
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางใคร่ครวญชั่วครู่ พูดว่า
“ที่จริงเดาง่ายยิ่งนัก แขนขวาที่ผนึกอยู่ก้นทะเลสาบซังผอ นิสัยอ่อนโยนเมตตา แขนซ้ายในเจดีย์พุทธะ โหดร้ายกระหายเลือด ลำตัวกลับองอาจห้าวหาญ งั้นนิสัยของขาข้างนี้ ก็ไม่รวมทั้งหมดข้างต้น
“อาจเปรียบเทียบได้ไม่ง่ายนัก แต่ไม่ถึงขนาดชั่วร้ายโหดเหี้ยม พวกเจ้าตัดสินด้วยตนเองเถอะ”
พูดจบ แสงกระจ่างดุจละอองน้ำในตาซ้ายของเย่จีจางหาย นางไปแล้ว
สวี่ชีอันกับซุนเสวียนจีมองหน้ากันแวบหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งหยิบอาวุธเวทมนตร์เช่นเจดีย์พุทธะและดาบไท่ผิงออกมา อีกฝ่ายพร้อมใจวาดค่ายกล
ทว่ามันเป็นค่ายกลที่โหรขั้นสามต้องวาดทีละขีด แสดงว่าต้องเป็นค่ายกลอัศจรรย์อย่างแน่นอน
เมื่อซุนเสวียนจีวาดค่ายกลเสร็จสิ้น สวี่ชีอันให้สัญญาณ เย่จีก้าวไปข้างหน้า นิ้วโป้งจิกนิ้วก้อย บีบเลือดวิญญาณสองหยดออกมา หยดลงบนขาสองข้าง
เลือดแดงฉานถูกขาสองข้างของเสินซูซึมซับในชั่วพริบตา ไม่นาน ขาสองข้างนี้มีชีวิตขึ้นมา
พวกมันกระโดดลงจากโต๊ะกะทันหัน ขาซ้ายเตะหวดใบหน้างามดุจบุปผาของเย่จี ขาขวาจู่โจมท้องน้อย
เย่จีหน้าถอดสีเล็กน้อย เบี่ยงตัวถอยหลัง
‘วิ้งๆ’…ขาสองข้างถูกฉากกั้นแสงสว่างที่เลื่อนขึ้นมาขวางไว้ นั่นคือค่ายกลของซุนเสวียนจี…วาดพื้นเป็นปราการ
ขาสองข้างของเสินซูวิ่งวุ่นทั่วถ้ำหิน ขาซ้ายไปทางซ้าย ขาขวาไปทางขวา เมื่อพบว่าสองฝ่ายแยกจากกัน ขาซ้ายรีบวิ่งไปทางขวา ขาขวารีบขยับไปทางซ้าย
จากนั้นชนกันดัง ‘พลั่ก’ ล้มลงทั้งคู่
พวกมันพยายามรักษาความสอดคล้อง รักษาจังหวะเดียวกัน แต่ล้มเหลวทุกครั้งเพราะแต่ละข้างคิดต่างกัน
นี่คือนิสัยด้านการแสดงของเสินซู? ผู้ชื่นชอบละครสัตว์? สวี่ชีอันอ้าปากเล็กน้อย ตกตะลึง
ซุนเสวียนจีกับเย่จีมีสีหน้าคล้ายกับเขา ทั้งตกตะลึงงงงวย ทั้งพยายามกลั้นหัวเราะ
“ไต้ซือเสินซู…”
สวี่ชีอันกระแอมเล็กน้อย ขัดจังหวะการแสดงของขาสองข้าง
ขาสองข้างของเสินซูหยุดนิ่ง ถูกสวี่ชีอันดึงดูดความสนใจ ชั่วครู่ต่อมา จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกมันปะทุขึ้นอย่างแรงกล้า ราวกับนักรบผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ หันมาโจมตีสวี่ชีอัน
ขาขวาลอยขึ้นกลางอากาศ มุ่งถีบหน้าผากสวี่ชีอัน ขาซ้ายจู่โจมเป้ากางเกงสวี่ชีอันอย่างไร้คุณธรรม
สวี่ชีอันยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า คว้าข้อเท้าขาซ้ายและขวาไว้
ขาสองข้างของเสินซูดุจถูกคีมตรึงไว้ทันที ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น
ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกันสักพัก เศษวิญญาณของเสินซูส่งผ่านความคิดออกมา
“เจ้าหนุ่ม ข้ายอมรับในความแข็งแกร่งของเจ้า”
“ไต้ซือถูกผนึกห้าร้อยปี อยู่ในสภาวะอ่อนล้าเท่านั้น” สวี่ชีอันปล่อยข้อเท้า ประสานมือพูดว่า “ผู้น้อยสวี่ชีอัน มีความเกี่ยวข้องกับท่านมากนัก”
“ข้ารู้สึกได้ ในร่างเจ้ามีร่างกายส่วนหนึ่งของข้า”
เสินซูพูดอย่างทะนงตัว “แต่ นี่จะไม่กลายเป็นเหตุผลที่ข้าออมมือ รอข้าฟื้นคืนสภาพเดิม ก็จะสู้ตายกับเจ้า เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลว เลือดวิญญาณในร่างกายก็น่าอร่อยยิ่งนัก”
นิสัยชอบต่อสู้ อืม เสินซูคือราชันอสูร เผ่าอสูรชอบต่อสู้โดยกำเนิด ขาสองข้างนี้สืบทอดความชื่นชอบในการต่อสู้ส่วนหนึ่งนั้นของเสินซู…สวี่ชีอันเข้าใจทันที
“ข้าช่วยไต้ซือฟื้นคืนสภาพเดิมได้ เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยน ท่านต้องช่วยข้าถอนตะปูตอกวิญญาณในร่างกาย”
ขาสองข้างของเสินซู ‘พินิจ’ เขา ยิ้มเยาะพูดว่า
“ได้ คู่ต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง ข้ายิ่งตื่นเต้น”
รอข้าถอนตะปูตอกวิญญาณ ก็จะโยนลำตัวออกมา ให้พวกเจ้าทั้งสองสู้กันเอง…สวี่ชีอันมองซุนเสวียนจี
“ผนึกผู้อาวุโสอีกครั้งเถอะ”
ด้วยสภาพขาสองข้างของเสินซูในยามนี้ ไม่มีเรี่ยวแรงถอนตะปูตอกวิญญาณให้เขาด้วยซ้ำ
ซุนเสวียนจีผนึกขาสองข้างของเสินซูเสร็จ เก็บเข้ากล่องไม้ สวี่ชีอันถามว่า
“ศิษย์พี่ซุน จากนี้จะทำอย่างไรต่อไป”
ซุนเสวียนจีตวัดพู่กันเขียนว่า “ไปชิงโจว สนับสนุนทหารอารักขา”
เขามองเย่จีแวบหนึ่ง จากนั้นเขียนว่า “มีเรื่องอยากขอแม่นาง”
เย่จีรีบพูด “ศิษย์พี่ซุนสั่งมาได้เลย”
ซุนเสวียนจีเขียนบนกระดาษว่า “ข้าอยากพาปีศาจวานรไปด้วย ไม่มีเหตุผลพิเศษอะไร เห็นเขามีคุณสมบัติไม่เลว อยากรับเป็นศิษย์”
เย่จีมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง อีกฝ่ายพูดว่า
“ผู้พิทักษ์หยวนมีประโยชน์พิเศษอะไร”
เย่จีส่ายหน้า ยิ้มพูดว่า “นี่เป็นเรื่องดี”
…
ในหุบเขา กองไฟลุกโชน
ซุนเสวียนจียืนมือไพล่หลัง ข้างกายมีผู้พิทักษ์หยวนที่มีท่าทางไม่ค่อยเต็มใจยืนอยู่ด้วย
เย่จีนำฝูงปีศาจในหุบเขาอำลา ผู้พิทักษ์หยวนไม่ใช่ปีศาจเล็กๆ มีฐานะตำแหน่งระดับหนึ่ง
รู้ว่าผู้พิทักษ์หยวนจะติดตามโหรแห่งสำนักโหราจารย์เดินทางสู่ที่ราบกลาง ฝูงปีศาจอาลัยอาวรณ์ อำลาทั้งน้ำตา
ผู้พิทักษ์หงอิงสองตาแดงก่ำ
“ผู้พิทักษ์หยวน ข้าได้ยินว่าเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่ จิตใจคับแคบ คิดเล็กคิดน้อย เจ้าไปถึงที่ราบกลาง จำไว้ว่าต้องระวังคำพูดและการกระทำ แม้มีศิษย์พี่ซุนปกป้องเจ้า แต่เจ้าอย่าได้ทำตามใจตน”
ผู้พิทักษ์วานรขาวมีสีหน้าว่างเปล่า
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ยันไม้เท้าก้าวไปข้างหน้า ตบไหล่ผู้พิทักษ์หยวน
“หนุ่มสาวควรออกผจญภัยโลกกว้าง ภูเขาสือว่านเล็กเกินไป ไม่อาจรั้งเจ้าไว้ได้ ที่ราบกลางเป็นถิ่นกำเนิดอัจฉริยะ เต็มไปด้วยอารยธรรม ไปผจญภัยสักหน่อยนับเป็นประโยชน์ แต่ต้องกลับมานะ ใบไม้ร่วงคืนสู่ราก ชายแดนใต้ถึงเป็นบ้านของเจ้า”
ผู้พิทักษ์วานรขาวมีสีหน้าว่างเปล่า
เหมียวโหย่วฟางก็ก้าวไปข้างหน้า ตบไหล่ผู้พิทักษ์หยวน
“เจอกันที่ราบกลาง!”
ฝูงปีศาจทยอยกล่าวอำลา น้ำตาคลอเบ้า ท่าทางอาลัยอาวรณ์
ซุนเสวียนจีเห็นว่าพอสมควรแล้ว พยักหน้าให้สวี่ชีอัน ฝ่ามือกดไหล่ผู้พิทักษ์หยวน เกิดแสงสว่างวาบห่อหุ้มสองคน หายไปจากหุบเขา
…
กลางอากาศ ป้อมปืนกระโจนทะยานอย่างต่อเนื่อง ซุนเสวียนจียืนมือไพล่หลัง เปี่ยมด้วยท่าทางของผู้วิเศษ เขาจ้องผู้พิทักษ์หยวน
นัยน์ตาสีครามกระจ่างของผู้พิทักษ์หยวนมองเขา พูดว่า
“ใจศิษย์พี่ซุนถามข้าว่า เหตุใดเมื่อครู่เย็นชาเช่นนี้ ไม่ได้อำลาพวกเผ่าพันธุ์เดียวกัน”
ซุนเสวียนจีพยักหน้าอย่างพอใจ แสดงออกว่านี่คือสิ่งที่ตนเองอยากถาม
ผู้พิทักษ์หยวนนิ่งเงียบชั่วครู่ พูดว่า
“ใจหงอิงบอกข้าว่า ลิงน่ารำคาญตัวนี้ไปได้เสียที มารดาเอ๊ย ข้ามีความสุขเสียจริง คืนนี้ร่ำสุราถึงรุ่งสาง เฉลิมฉลองสักหน่อย”
ไม่รอซุนเสวียนจีโต้ตอบ เขาพูดต่อ
“ใจผู้พิทักษ์ชิงมู่บอกข้าว่า ลิงน่ารำคาญตัวนี้ไปได้เสียที ถ้าเขาไม่ไป ศักดิ์ศรีในชีวิตบั้นปลายของผู้ชราก็ไม่ปลอดภัยแล้ว
“ใจปีศาจน้อยตัวอื่นบอกข้าว่า รีบไปๆ…”
ซุนเสวียนจีปากอ้าตาค้าง เขาตระหนักได้ทันที ตนเองพาผู้พิทักษ์หยวนไปด้วยอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้
…
เมืองชิงโจว เขตไป๋ซา
ชีก่วงป๋อขึ้นสู่กำแพงเมือง ก้มมองคูเมืองที่มีไฟสัญญาณสว่างจ้า
ทัพอวิ๋นโจวเพิ่งยึดเมืองใหญ่ที่สุดในชายแดนแห่งนี้ได้ นับแต่นี้ไป แนวป้องกันที่สร้างจากเก้าเมืองอำเภอในชายแดนชิงโจวถูกล้มล้างโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเขตปกครองทัพอวิ๋นโจว
ทัพอวิ๋นโจวมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น แต่ชีก่วงป๋อในฐานะผู้นำทัพไม่ดีใจแม้แต่น้อย
“เรียกแม่ทัพทุกฝ่าย มาหารือที่เมืองเวิ่ง”
ชีก่วงป๋อพูดเสียงขรึม
“ขอรับ!”
รองแม่ทัพสะพายดาบทหาร สาวเท้าก้าวออกไป
…………………………………………….