ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 660 หารือ
เขตไป๋ซา เมืองเวิ่ง
ชีก่วงป๋อในชุดเครื่องแบบทหาร สวมผ้าคลุมสีแดง ยืนหน้าแผนที่ชิงโจวบนขาตั้ง ตั้งใจพินิจพิจารณา
ข้างหลังเขาคือพวกแม่ทัพค่ายทหารอวิ๋นโจว จีเสวียนสวมเสื้อเกราะ ข้างเอวสะพายดาบสงคราม นั่งตำแหน่งแรกซ้ายสุด
พวกแม่ทัพมีสีหน้าผ่อนคลาย แม้ยังนิ่งเงียบ แต่หน้าตาเปี่ยมด้วยความสุข
เวลาสามวันสั้นๆ ยึดเมืองอำเภอชายแดนชิงโจวเก้าแห่ง โจมตีแนวป้องกันแรกจนพ่ายแพ้ยับเยิน ทำให้กองทัพใหญ่มีแนวหลังที่มีเสถียรภาพ
ชีก่วงป๋อจ้องแผนที่ไม่วางตา พูดเสียงเรียบ “ทุกท่านอารมณ์ดีไม่น้อย ได้รับชัยชนะตั้งแต่เริ่มต้น คืนนี้ไม่สู้ร่ำสุราให้เมามาย”
แม่ทัพทุกท่านชะงัก จ้องมองกันและกันเงียบๆ ไม่มีคนพูดแทรก
ชีก่วงป๋อสั่งรองแม่ทัพข้างกายว่า
“เล่าสถานการณ์ในเมืองหน่อย”
รองแม่ทัพลุกขึ้น เหลียวมองแม่ทัพทุกท่านข้างโต๊ะ พูดเสียงขรึม
“ก่อนทหารอารักขาชิงโจวถอยทัพ เผาเสบียงอาหารในยุ้งฉางทุกแห่งของเมือง ในขณะเดียวกัน รวบรวมผ้าห่มและผ้าพับจำนวนมากมาเผาราบ นอกจากนี้ เศรษฐี พ่อค้า และคนร่ำรวยในเมืองย้ายออกก่อนแล้ว บัดนี้ในเขตไป๋ซา มีเพียงคนยากจนและผู้อพยพที่หิวจนไส้กิ่วไส้แขวน
“เมืองอำเภออีกเก้าแห่ง เป็นเช่นนี้ทั้งหมด”
“อะไรนะ”
แม่ทัพทุกท่านตกใจ
รองแม่ทัพพูดต่อ
“ก่อนหน้านั้น สมุหเทศาภิบาลชิงโจว ออกคำสั่งซ่อนข้าวย้ายของ หมู่บ้านนอกเมือง สิบหลังว่างเปล่าเก้าหลัง ค้นไม่เจอเสบียงอาหารแม้แต่น้อย”
ชีก่วงป๋อที่หันหลังให้ทุกคนพูดอย่างหดหู่
“หยางกงตัวดี ไร้เมตตาต่อทหาร นึกไม่ถึงเลยว่าเขายิ่งโหดร้ายกับชาวบ้าน ยามนี้ทุกท่านยังมีใจดื่มสุราหรือไม่”
แม่ทัพทุกท่านนิ่งเงียบ
พวกเขายึดแนวป้องกันชายแดนชิงโจวได้ มีแนวหลัง แต่มีเสถียรภาพหรือไม่ พูดยาก
จีเสวียนใคร่ครวญพูดว่า
“หยางกงไม่คิดจะปกป้องเมืองอำเภอชายแดนเก้าแห่งสุดชีวิตตั้งแต่แรก เขาอพยพเศรษฐีล่วงหน้า เหลือเพียงผู้อพยพและคนยากจน คิดจะมอบความวุ่นวายนี้ให้พวกเรา”
ชีก่วงป๋อชี้แผนที่ชิงโจว พยักหน้าพูดว่า
“ชิงโจวมีอาณาเขตหมื่นลี้ มีที่ว่างให้เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เหตุใดต้องปกป้องชายแดนสุดชีวิต? บัดนี้กองหนุนราชสำนักยังมาไม่ถึง เขาเลือกก่อกวนพวกเรา แทนที่จะต่อสู้จนตัวตาย คือวิธีที่ถูกต้อง
“ลูกไม้หนามยอกเอาหนามบ่งนี้ ใช้งานได้ยอดเยี่ยม”
เมื่อล้อมตีเมือง แทบอยากให้สถานการณ์ของอีกฝ่ายยิ่งแย่ยิ่งดี ดีที่สุดขาดอาวุธขาดเสบียง ทุกที่มีแต่ผู้อพยพ
แต่เมื่อยึดเมืองได้ สิ่งที่ทัพกบฏต้องทำคือรักษาความมั่นคง ถ้าที่เหล่านี้เกิดความวุ่นวาย จะกลับกลายเป็นภาระ
แน่นอน ถ้าเพียงหวังปล้นสะดมเป็นหลัก มองข้ามเรื่องพวกนี้ได้ อย่างมากก็ฆ่าทิ้งให้หมด
สถานการณ์เช่นนี้ควรใช้เมื่อคนต่างเผ่ารุกราน แต่ทัพกบฏอวิ๋นโจวต้องการรวบรวมใจคน ครอบครองความชอบธรรม ย่อมทำเช่นนี้ได้ยาก
“เขาจะใช้คนยากจนและผู้อพยพถ่วงพวกเรา เฮอะ โชคดีที่ล้อมเมืองครั้งนี้ทหารชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายมากนัก พวกนี้ล้วนเป็นแหล่งทหารชั้นยอด”
แม่ทัพท่านหนึ่งพูด
ไม่ว่าแผนการอะไรก็ตามล้วนมีสองด้านเสมอ
จีเสวียนมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า
“หยางกงซ่อนข้าวย้ายของ เผาธัญญาหาร ไม่เหลือข้าวสักเม็ดให้พวกเรา แรงกดดันมหาศาลของฝ่ายเราจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นี่คือมีดทื่อแล่เนื้อ ค่อยๆ ลดทอนสายสนกลในของพวกเรา”
เป้าหมายของหยางกงชัดเจนยิ่งนัก ณ ชิงโจว จะบั่นทอนพละกำลังของทัพกบฏมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
แม่ทัพทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคนฉลาด ประสบการณ์โชกโชน มองปัญหานี้ออกได้ไม่ยาก
จีเสวียนเผยยิ้มทันที “เพียงแต่ เขาดูถูกพวกเราแล้ว”
ชีก่วงป๋อพูดเสียงเรียบ “ราชครูเตรียมการหลายปี สายสนกลในลึกซึ้ง ชิงโจวเล็กๆ จะบั่นทอนจนสูญสิ้นได้อย่างไร ถือโอกาสเกณฑ์ทหารแจกโจ๊กทำทาน อาศัยสิ่งนี้เผยแพร่ชื่อเสียงกองทัพคุณธรรมของพวกเรา”
แม่ทัพทุกท่านยิ้มมองหน้ากัน
ชีก่วงป๋อพูดว่า “ถึงเวลาพระนักรบแดนประจิมออกโรง ข้าส่งคนไปขอคำแนะนำจากราชครูแล้ว”
…
ที่ทำการสมุหเทศาภิบาลชิงโจว
ลานด้านหลัง โต๊ะกลมในห้องโถงเต็มไปด้วยอาหารอร่อย ลี่น่ากับสวี่หลิงอินหมอบบนโต๊ะกินอย่างตะกละตะกลาม
อาจารย์กับศิษย์หน้าพองเป็นซาลาเปาเหมือนกัน
“วันๆ กินปลา กินเนื้อตากแห้ง ข้าเข้าห้องน้ำยังต้องนั่งยองอยู่นาน” ลี่น่าพูดคำหยาบคายอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย แม้นางหน้าตางดงามก็ตาม
บนเรือขาดผักผลไม้สด
“อาจารย์ ข้าอึได้สบาย” สวี่หลิงอินพูดอวดเสียงดัง แสดงออกว่าตนเองเก่งกว่าอาจารย์
“พวกเราต้องเหลือไว้ให้คุณชายรองหรือไม่”
ลี่น่าพูดเช่นนี้ แต่กลืนอาหารเร็วกว่าเดิม
ระหว่างนั่งเรือไปชิงโจว จางเซิ่นอาจารย์ผู้มีพระคุณของสวี่เอ้อร์หลาง อีกทั้งหลี่มู่ไป๋มาหาถึงที่นี่ พาศิษย์มาชิงโจวล่วงหน้า
แน่นอนว่าสวี่เอ้อร์หลางไม่ทิ้งลี่น่ากับหลิงอินอยู่บนเรือเด็ดขาด จึงเดินทางมาด้วยกัน
“พี่รอง พี่รองไม่หิว”
สวี่หลิงอินพูดตอบแทนสวี่เอ้อร์หลาง
“ไม่หิว งั้นก็ช่วยไม่ได้…”
ลี่น่าพูดอย่างจริงจัง
ห้องประชุมสมุหเทศาภิบาล
สวี่เอ้อร์หลางยกถ้วยชาลายครามขึ้นจิบน้ำชาร้อน นิ่งเงียบตั้งใจฟัง
หยางกงสมุหเทศาภิบาลชิงโจวในชุดขุนนางสีแดงเลือดนกนั่งอยู่ตำแหน่งหลักของโต๊ะยาวไม้พะยูงหอม ฆราวาสจื่อหยางศิษย์สำนักอวิ๋นลู่ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วที่ราบกลางท่านนี้ซูบผอมลงมาก
เขาไม่ได้นอนหลับมาห้าวันแล้ว หน้าตาซีดเซียวยากที่จะซ่อนความเหนื่อยล้า แต่สายตาของเขายังคงเฉียบคม จิตวิญญาณยังคงเต็มเปี่ยม ราวกับมีพละกำลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“…ยามนี้สถานการณ์ชิงโจวก็เป็นเช่นนี้ ไม่อาจปกป้องชายแดนไว้ได้”
หยางกงจบการอธิบายยืดยาว ยกถ้วยชาขึ้นจิบน้ำให้ชุ่มคอ หันหน้ามองจางเซิ่น
“จิ่นเหยียนคิดว่าอย่างไร”
ในหมู่สหายร่วมสำนักสองท่านที่เดินทางไกลมารับตำแหน่งนายทหารฝ่ายเสนาธิการ จางเซิ่นเชี่ยวชาญยุทธวิธีการรบ คือยอดฝีมือผู้ซึ่งหยางกงต้องการตัวด่วน
จางเซิ่นพยักหน้าพูดว่า
“ถ้าเป็นข้า จะไม่ให้พ่อค้าเศรษฐีและผู้ลากมากดีพวกนั้นออกไป ทัพกบฏย่อมต้องเลือกทำสงครามยืดเยื้อ ถึงเวลาเมืองแตก ก็ถึงเวลาพวกเขาบ้านแตกสาแหรกขาด
“ไม่อยากบ้านแตกสาแหรกขาด งั้นก็ช่วยปกป้องคูเมืองสุดชีวิต เช่นนี้ถึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะลดทอนกำลังทหารทัพกบฏ เพียงแต่ นี่คือภายใต้สถานการณ์ที่ราชสำนักมีผู้ช่วย จื่อเชียน วิธีพบกันครึ่งทางนี้ของเจ้า ทำได้ไม่เลว”
พูดไป เขามองศิษย์คนโปรดไป นึกอยากทดสอบ ยิ้มพูดว่า
“ฉือจิ้ว เจ้ามาวิเคราะห์สถานการณ์ชิงโจวให้ทุกท่านฟังหน่อย”
ข้าหลวงชิงโจว ผู้บัญชาการ ตุลาการความมั่นคง รวมทั้งขุนนางบู๊และบุ๋นใต้บัญชาพวกเขาทยอยเหลียวมอง
สวี่ซินเหนียนไม่ได้ประหม่า ยืดตัวตรง กวาดตามองทุกคนช้าๆ
“ข้าคิดว่า ปกป้องชิงโจวได้นานเท่าใด ก็ปกป้องนานเท่านั้น ก่อนอื่นใต้เท้าทุกท่านต้องเข้าใจสามข้อ
“หนึ่ง สภาพแวดล้อมของอวิ๋นโจว!
“อวิ๋นโจวมีภูมิอากาศอบอุ่นชื้น พื้นดินอุดมสมบูรณ์ ทุกครอบครัวล้วนมีเสบียงอาหารส่วนเกิน อีกทั้งด้านหลังติดทะเลกว้างใหญ่ นาเกลือนับไม่ถ้วน ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา กลุ่มกบฏแอบแทรกซึมสำนักงานขนส่งของราชสำนัก ลักลอบขนส่งแร่เหล็กนับไม่ถ้วน ไม่ขาดแคลนเกลือ เหล็ก และเสบียง
“ดินแดนอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ สมุหเทศาภิบาลหยางหวังใช้ผู้อพยพและคนยากจนถ่วงอีกฝ่าย น้ำน้อยแพ้ไฟเท่านั้น”
“ตามความหมายของใต้เท้าสวี่ กลยุทธ์ของสมุหเทศาภิบาลหยางไม่เหมาะสม?” ข้าหลวงชิงโจวขมวดคิ้วแน่น
สวี่ซินเหนียนส่ายหน้า “กลยุทธ์ของสมุหเทศาภิบาลหยางย่อมไม่ผิดพลาด แต่ต้องเปลี่ยนส่วนสำคัญสักหน่อย ไม่ต้องคิดว่าจะถ่วงพวกเขา แต่ต้องบั่นทอนความเกรียงไกรฮึกเหิมของพวกเขา”
เขามองแผนที่ชิงโจวและอวิ๋นโจวบนกำแพงนั้นข้างหลังหยางกง พูดเสียงขรึม
“พวกเรากลับอวิ๋นโจวอีกครั้ง ทุกคนยังจำอีกชื่อหนึ่งของอวิ๋นโจวได้หรือไม่
“เฝ่ยโจว!
“นับแต่จักรพรรดิเกาจู่ อวิ๋นโจวถูกกลุ่มกบฏราชวงศ์ก่อนยึดครอง กลายเป็นโจรภูเขา เดือดร้อนในพื้นที่นั้น หกร้อยปีมานี้ ภัยโจรอวิ๋นโจวยังไม่ได้รับการแก้ไข
“ใต้เท้าทุกท่านยังจำได้หรือไม่ ครั้งก่อนที่จัดทำสมุดปกเหลืองใหม่ อวิ๋นโจวมีประชากรเท่าใด”
ขุนนางทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีคนรู้
พวกเขาเป็นขุนนางชิงโจว จะรู้เรื่องอวิ๋นโจวได้อย่างไร
หยางกงใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ กวาดตามองขุนนางทุกคนอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง พูดช้าๆ
“ครั้งสุดท้าย รัชศกหยวนจิ่งที่สามสิบ ราษฎรอวิ๋นโจวที่มีบันทึกในสมุดทั้งหมดแปดแสนสามหมื่นครัวเรือน ประชากรประมาณสามล้านห้าแสนคน”
นี่คือข้อมูลเมื่อแปดปีก่อน
สวี่เอ้อร์หลางประสานมือ พูดต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ถ้าจำไม่ผิด ทุกครั้งที่จัดทำสมุดปกเหลืองใหม่ ประชากรอวิ๋นโจวล้วนลดลงอย่างรวดเร็ว นี่ก็คือสิ่งแลกเปลี่ยนจากภัยโจรอาละวาด”
ยามนี้ ขุนนางทุกคนเข้าใจแล้วว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
“ประชากรจำกัดจำนวนกองทัพของพวกเขา รวมทั้งหลายสิบปีที่ผ่านมา ล้วนฝึกทหารบำรุงกองทัพอย่างหลบๆ ซ่อนๆ” สวี่เอ้อร์หลางใช้กำปั้นเคาะโต๊ะเบาๆ พูดเสียงดังกังวาน
“ความเกรียงไกรฮึกเหิมของทหารไม่เพียงพอ ก็คือข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มกบฏ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม พยายามบั่นทอนความเกรียงไกรฮึกเหิมของพวกเขา นี่ถึงเป็นสิ่งที่พวกเราต้องทำ”
“มีเหตุผล!” ทุกคนพยักหน้าช้าๆ
จางเซิ่น หยางกง และหลี่มู่ไป๋ สามคนมองหน้ากันยิ้มแย้ม
สวี่ซินเหนียนชูสองนิ้ว พูดว่า
“สอง กำลังรบ!
“กำลังรบของระดับบรรลุธรรมคือปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามในสงคราม บางครั้ง ผู้แข็งแกร่งบรรลุธรรมท่านหนึ่งถึงขนาดสามารถพลิกผลแพ้ชนะในสงครามทั่วไป”
เขาใช้คำว่าสงคราม ‘ทั่วไป’ เพราะในโลกนี้มีสงครามขนาดใหญ่ เช่น สงครามด่านซานไห่
สงครามกวาดล้างกลุ่มอำนาจใหญ่ในจิ่วโจวเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งบรรลุธรรมท่านเดียวยากจะพลิกผันสถานการณ์การรบ ไม่ใช่ระดับบรรลุธรรมไม่แข็งแกร่งพอ แต่ยอดฝีมือบรรลุธรรมที่เข้าร่วมสงครามเยอะเกินไป ไม่น่าแปลกใจ
แน่นอน ถ้าเป็นลำดับขั้นสุดยอดหรือจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลี่มู่ไป๋ถามทันที “ผู้นำทัพศัตรูคือผู้ใด”
หยางกงพูดว่า “แซ่ชี ชื่อก่วงป๋อ เป็นคนไร้นาม”
จางเซิ่นเลิกคิ้ว “คนไร้นามบัญชาสามเหล่าทัพ?”
หยางกงพูดช้าๆ “ไร้นาม ไม่เท่ากับไร้ฝีมือ ในทางตรงกันข้าม คนผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก เขาส่งทหารขับไล่ผู้อพยพ จากนั้นให้ยอดฝีมือปะปนในหมู่ผู้อพยพหลอกลวงทหารอารักขา เข้าใกล้กำแพงเมืองอย่างง่ายดาย เมืองอำเภอหวงหลิ่งในชายแดน ก็ถูกโจมตีไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ยืนหยัดเพียงวันเดียวก็ถูกตีเมืองแตก”
จางเซิ่นยิ้มเยาะพูดว่า “แม่ทัพรักษาเมืองเมตตาใจอ่อน ปล่อยให้ผู้อพยพเข้าใกล้ ควรประหารชีวิต!”
โจวมี่ผู้บัญชาการชิงโจวถอนใจพูดว่า “ตายในหน้าที่แล้ว”
หลี่มู่ไป๋พูด “กล่าวคือ ยังไม่รู้ว่าผู้นำทัพท่านนี้เป็นระดับบรรลุธรรมหรือไม่”
หยางกงส่งเสียง “อืม”
“นอกจากพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิงที่มีหน้าที่ควบคุมโหราจารย์ ในทัพกบฏยังไม่ปรากฏระดับบรรลุธรรม เพียงแต่ เป็นไปได้สูงว่าซ่อนตัวอยู่ ไม่ได้ออกหน้า”
ในฐานะยอดฝีมือขั้นสี่แห่งลัทธิขงจื๊อ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่ราบกลาง หยางกงไม่มีข้อบกพร่องและจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดในด้านสติปัญญาและนิสัย
ความหยิ่งผยองประมาทศัตรูจะไม่เกิดขึ้นกับเขาเด็ดขาด
“ราชสำนักไม่ขาดแคลนยอดฝีมือบรรลุธรรมเช่นกัน” สวี่ซินเหนียนพูด
ครู่หนึ่งนี้ สิ่งแรกที่แวบผ่านในสมองขุนนางทุกคน ไม่ใช่ซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์ แต่เป็นสวี่ชีอันที่มีชื่อเสียงบารมีสะเทือนเลื่อนลั่นผู้นั้น
“ข้อสาม คือผู้ช่วย!”
สวี่ซินเหนียนมีสีหน้าจริงจัง “ความหมายของข้า คือผู้ช่วยของทั้งสองฝ่าย สำนักพุทธร่วมมือกับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว งั้นกองทัพแคว้นต่างๆ แดนประจิม ช้าเร็วก็ต้องบุกรุกด่านชายแดน”
“เมื่อราชสำนักถูกบังคับให้เข้าสู่สงครามทั้งสองด้าน ผู้ช่วยและยุทธปัจจัยที่ชิงโจวหาได้ก็จะลดลงอย่างมาก ในทางกลับกันทัพกบฏอวิ๋นโจว ราวกับพยัคฆ์ติดปีก นี่เกี่ยวข้องกับปัญหากำลังรบข้อสองเช่นกัน”
บรรยากาศห้องประชุมเคร่งขรึม ทุกคนลอบขมวดคิ้ว แววตาแฝงความกังวล
ทัพกบฏอวิ๋นโจวดุเดือดรุนแรง ที่ราบกลางเต็มไปด้วยภัยพิบัติผู้อพยพ ชิงโจวจะต้านทานทัพกบฏ เดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้ว
ยามนี้ต้องเผชิญการบุกรุกของแคว้นต่างๆ แดนประจิม เมื่อราชสำนักทำสงครามสองด้าน ย่อมต้องไม่ทันได้ปกป้องชิงโจว
ด้วยความแข็งแกร่งของสำนักพุทธ อาจเกิดสถานการณ์ชิงโจวยังทำสงครามอย่างยากลำบาก กองทัพแดนประจิมโจมตีถึงเมืองหลวง
“ถ้าทำให้กองทัพแคว้นต่างๆ แดนประจิมไม่กล้าบุกรุกชายแดนได้ก็คงดี” ข้าหลวงชิงโจวพูดอย่างหดหู่
‘คนโง่เพ้อฝัน’…ผู้บัญชาการโจวในฐานะขุนนางบู๊หัวเราะเยาะในใจ ถ้าเว่ยกงยังมีชีวิตอยู่ อาจทำให้สำนักพุทธหวาดกลัว ไม่กล้าเปิดฉากสงคราม
บัดนี้ต้าฟ่ง ผู้ใดทำให้สำนักพุทธหวาดกลัวได้
ต่อให้เป็นโหราจารย์ สำนักพุทธก็ไม่กลัว เพราะผู้ยิ่งใหญ่ผู้ปกครองแดนประจิมนี้ ไม่ขาดแคลนสุดยอดฝีมือ
แต่ผู้บัญชาการที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกเช่นเว่ยเยวียนนี้ จิ่วโจวมีน้อยจนนับนิ้วได้
“นี่คือทางตัน!”
หลี่มู่ไป๋ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์หมากรุกส่ายหน้าช้าๆ “เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะควบคุมสำนักพุทธ สำนักพุทธยกทัพบุกรุกแดนบูรพาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
หยางกงพ่นลมหายใจออกช้าๆ “ดังนั้น สิ่งที่พวกเราต้องทำ คือต่อให้เสี่ยงชีวิต ก็ต้องบั่นทอนความเกรียงไกรฮึกเหิมของทัพกบฏมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรื่องอื่นที่เหลือ มอบให้ทุกท่านไปจัดการเถอะ”
จนปัญญาโดยแท้
“เมื่อเว่ยกงสิ้นชีพ กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวก็ยกทัพก่อกบฏ สำนักพุทธแดนประจิมฉวยโอกาสที่ราบกลางไร้ยอดฝีมือ ฉีกสัญญา หันมาแว้งกัด พวกเรากลับทำอะไรไม่ได้…” ข้าหลวงชิงโจวเคียดแค้นชิงชัง
สวี่ซินเหนียนนิ่งเงียบ สำนักพุทธแดนประจิมเข้มแข็งเกรียงไกร มีทหารและแม่ทัพจำนวนมาก ซ้ำยังมีพระอรหันต์พระโพธิสัตว์บัญชาการอรัญตา ผู้ยิ่งใหญ่พวกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เล่ห์เพทุบายปลิ้นปล้อนจะหลอกลวงได้
ยามนี้ จู่ๆ เขาก็เห็นในมุมห้องประชุมมีคนเพิ่มมาสองคน คนหนึ่งสวมชุดขาว หน้าตา ท่าทาง และส่วนสูงธรรมดา อีกคนปากยื่น หน้าตาอัปลักษณ์ราวกับวานร สองตาสีครามเข้มกระจ่าง ดุจมองทะลุไปถึงใจคน
“ศิษย์พี่ซุน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
สวี่ซินเหนียนตกใจ
เขารู้จักศิษย์รองโหราจารย์ท่านนี้
‘เขามาตั้งแต่ยามใด’…หยางกงและคนอื่นๆ งงงวย ทยอยหันหน้าเหลียวมองไป
ผู้พิทักษ์หยวนกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง จากนั้นพูดว่า
“ใจพวกเขาบอกข้า นี่คือผู้ใด เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ซุนเสวียนจี? ศิษย์โหราจารย์ไม่มีคนปกติบ้างเลยหรือ”
ผู้พิทักษ์หยวนพูดจบ ตกใจ รีบปฏิเสธความเกี่ยวข้อง ชี้สวี่ซินเหนียนพูดว่า
“ประโยคสุดท้ายนั้นเขาเป็นคนพูด”
สวี่ซินเหนียน “!!!”
……………………………………………………