ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 661 ล้อมเวยช่วยจ้าว
ซุนเสวียนจีหรือ
ศิษย์ของท่านโหราจารย์น่ะรึ
เหล่าขุนนางพินิจมองซุนเสวียนจีด้วยความฉงนระคนประหลาดใจ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักศิษย์พี่ซุนผู้ต่ำต้อย คนที่นั่งอยู่นอกจากสวี่ซินเหนียนรวมถึงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่งสำนักอวิ๋นลู่แล้ว พวกขุนนางต่างก็ไม่รู้จักซุนเสวียนจีผู้นี้เลย
ด้วยเหตุนี้ ‘คำอธิบาย’ ของผู้พิทักษ์หยวนจึงมีความสำคัญยิ่ง
เหตุใดคนผู้นี้จึงล่วงรู้ความในใจของข้าได้…สวี่ซินเหนียนออกแรง ‘กระแอม’ ทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปหาซุนเสวียนจีพลางว่า
“ท่านผู้นี้คือศิษย์พี่รองแห่งสำนักโหราจารย์ ศิษย์คนที่สองของท่านโหราจารย์ ซุนเสวียนจี”
“เป็นศิษย์ของท่านโหราจารย์จริงด้วย แขกมาถึงเรือนชานมิได้ออกหน้าต้อนรับ!” เหล่าขุนนางแสดงท่าทางพยักหน้า
สวี่ซินเหนียนกล่าวเสริมว่า “โหรขั้นสาม”
ครืน…เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ขุนนางบุ๋นนำโดยหยางกง และแม่ทัพซึ่งนำโดยโจวมี่ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน
“ศิษย์พี่ซุน เลื่อมใสมานานแล้ว!”
“ศิษย์พี่ซุนจะมาชิงโจวของเราก็น่าจะบอกกล่าวล่วงหน้า พวกข้าจะได้จัดงานเลี้ยงใหญ่”
“ตอนที่ข้าอยู่ชิงโจว เคยได้ยินว่าศิษย์พี่ซุนเป็นอัจฉริยบุคคลแห่งสำนักโหราจารย์ในยุคนี้ จึงเลื่อมใสมานานแล้ว แต่ไม่ได้พบสักที วันนี้ได้สมปรารถนา แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้วละ”
บรรยากาศในตำหนักเสนาบดีอบอุ่นขึ้นทันใด ใบหน้าของเหล่าขุนนางและแม่ทัพอาบด้วยรอยยิ้มแห่งความฮึกเหิม
เมื่อหยางกงกดมือ ในตำหนักจึงเงียบลง ฆราวาสจื่อหยางลูบเคราพลางยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า
“พี่ซุนมาเพื่อสนับสนุนชิงโจวหรือ”
แม้ซุนเสวียนจีจะเป็นโหรขั้นสาม ทว่าอายุน้อยกว่าหยางกงมากนัก ในฐานะปัญญาชนผู้มีคุณธรรมแห่งลัทธิขงจื๊อ เขามิอาจเอ่ยปากเรียก ‘ศิษย์พี่ซุน’ ออกมาได้
เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าแห่งความปีติของเหล่าขุนนางในตำหนักก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อครู่เพิ่งถกกันเรื่องปัญหาด้านกำลังทหารอยู่ทีเดียว เนื่องจากหวั่นใจในความแข็งแกร่งของสำนักพุทธ
ชั่วพริบตาก็มีโหรผู้อยู่ระดับเหนือมนุษย์มาอยู่ฝั่งตน
แม้ขุนนางที่นั่งอยู่จะมิใช่ผู้บำเพ็ญตน แต่กลับคุ้นเคยกับโหรเป็นอย่างดี โหรผู้เชี่ยวชาญการหลอมปราณและค่ายกล พลังทำลายล้างระดับสูงซึ่งระเบิดในสนามรบนั้นมิอาจเทียบได้กับทหารกเฬวราก
หยางกงสั่งให้คนย้ายเก้าอี้มาทันที และให้ซุนเสวียนจีนั่งข้างตน ด้านผู้พิทักษ์หยวนก็ยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ซุนอย่างรู้หน้าที่
เมื่อทุกคนนั่งลงอีกครั้ง หยางกงจึงถามว่า
“ทางด้านท่านโหราจารย์เป็นอย่างไรบ้าง”
ซุนเสวียนจีเหลือบมองผู้พิทักษ์หยวน ผู้พิทักษ์หยวนรู้ใจกันดี หลังจากดวงตาสีฟ้าใสพินิจอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยภาษาราชการของต้าฟ่งอย่างพอถูไถว่า
“อาจารย์จะตรึงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และศิษย์พี่ใหญ่ไว้ พวกท่านเพียงรักษาชิงโจวก็พอ”
ทุกคนจึงไม่ถามมากอีก พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระดับนั้นได้ รู้เพียงว่าท่านโหราจารย์จะรั้งยอดฝีมือเหนือมนุษย์จากทัพกบฏได้ก็พอแล้ว
ซุนเสวียนจีผู้นี้อาจจะโอหังไปหน่อย…กลับกัน เป็นท่าทีของซุนเสวียนจีนี่ละที่จะดึงดูดให้พวกระดับสูงของชิงโจวตำหนิ
จางเซิ่นกลับขมวดคิ้วมุ่น
“ท่านโหราจารย์จะรั้งพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไว้ได้ แต่มิอาจรั้งพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์อื่นๆ ของอรัญตาได้ เมื่อทัพใหญ่แดนประจิมมาถึง สถานการณ์จะน่าเป็นห่วงนะขอรับ”
เหล่าขุนนางบุ๋นและแม่ทัพต่างเผยสีหน้ากลัดกลุ้ม กระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปแล้ว
แท้จริงแล้วพวกเขาหาได้กลัวศึกสงคราม สิ่งที่กลัวคือการมองไม่เห็นความหวังหรือมองเห็นจุดจบของสงครามแล้วต่างหาก
ซุนเสวียนจีได้ฟังก็มองไปยังผู้พิทักษ์หยวนทันที
อีกฝ่ายก็กำลังมองเขา หลังจับเสียงในใจของเขาแล้วจึงเอ่ยว่า
“ไม่ต้องสนใจสำนักพุทธ พวกเขาไม่มีกำลังจะดูแลผู้อื่นหรอก แม้จะส่งทหารไปโจมตีต้าฟ่งแต่ก็เป็นจำนวนไม่มากนัก ยิ่งมิอาจส่งผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์มาได้”
หยางกงมองมาด้วยความงุนงง
จางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
เหล่าขุนนางระดับสูงที่โต๊ะต่างมองหน้ากัน มิอาจเข้าใจความหมายของผู้พิทักษ์หยวนได้ชั่วขณะ
ไม่กี่อึดใจต่อมา ข้าหลวงชิงโจวจึงเอ่ยหยั่งเชิงว่า
“เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าไม่ต้องสนใจสำนักพุทธหรือ”
ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้า
ผู้บัญชาการโจวมี่เอ่ยเสริมว่า
“ไม่มีกำลังจะดูแลผู้อื่นรึ”
ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้าอีกครั้ง
ภายในตำหนักเสนาบดีเงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยวาจาอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าของเหล่าขุนนางเผยให้เห็นอารมณ์แปลกๆ และซับซ้อนชนิดที่อยากจี้ถามต่อจนรอไม่ไหว ทั้งกลัวด้วยว่าตนจะหุนหันเกินไปทำให้ตกใจในคำตอบ
ข้าหลวงชิงโจวกดเสียงต่ำอย่างมิอาจควบคุมแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยว่า
“หมายความว่าอย่างไร”
ทันใดนั้นจางเซิ่นก็เอ่ยว่า
“จะว่าไป เหตุใดจึงมีเผ่าปีศาจอยู่ข้างกายพี่ซุนได้เล่า”
ผู้พิทักษ์หยวนหันไปเหลือบมองซุนเสวียนจีอีกครั้ง ก่อนจับเสียงในใจเขาแล้วเอ่ยว่า
“ข้าเพิ่งกลับจากซินเจียงตอนใต้ และได้ร่วมมือกับสวี่ชีอันเพื่อคลายผนึกศัตรูฉกาจของสำนักพุทธ ปีศาจทักษิณจึงใช้โอกาสนี้ยกพลโจมตีภูเขาสือว่านและยึดดินแดนกลับคืน หากสำนักพุทธส่งกองทัพใหญ่กรีธามาทางบูรพาก็จะตกอยู่ในอ้อมแขนของปีศาจทักษิณ”
เพิ่งกลับมาจากซินเจียงตอนใต้…
ร่วมมือกับฆ้องเงินสวี่คลายผนึกศัตรูฉกาจของสำนักพุทธ…
ปีศาจทักษิณกำลังจะฟื้นฟูอาณาจักร ยึดดินแดนเก่ากลับคืน สำนักพุทธยุ่งเกินกว่าจะดูแลผู้อื่น…
เหล่าขุนนางในตำหนักตกตะลึงกับข่าวดีที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้านี้ ต่างมีสีหน้างงงัน เหม่อลอยไปพักใหญ่
“เช่นนี้นี่เอง!”
ทันใดนั้นหยางกงซึ่งพลันได้สติก็เอ่ยอย่างโล่งใจว่า
“ข้าก็ว่าทำไมสวี่หนิงเยี่ยนถึงไม่มาป้องกันชิงโจว ที่แท้เขาวางแผนไว้แต่แรกแล้ว และแอบดอดไปซินเจียงตอนใต้เพื่อเผาสวนดอกไม้หลังสำนักพุทธ ร่วมมือกับอาณาจักรหมื่นปีศาจตรึงกำลังสำนักพุทธ ประเสริฐ ประเสริฐแท้!”
จางเซิ่นส่ายหน้าเล็กน้อย “หนิงเยี่ยนสมควรเป็นปรมาจารย์ด้านตำราพิชัยสงคราม เขาเชี่ยวชาญกลยุทธ์ลึกซึ้ง น่าเลื่อมใสอย่างแท้จริง เช่นนี้ก็คลี่คลายวิกฤตครั้งใหญ่ของต้าฟ่งไปได้แล้ว”
หลี่มู่ไป๋อุทานว่า “เว่ยเยวียนมีผู้สืบทอดแล้ว”
ยามนี้ขุนนางระดับสูงของชิงโจวถึงค่อยตั้งสติกลับมาอย่างสมบูรณ์ แม่ทัพตบโต๊ะด้วยความฮึกเหิม ใบหน้าของขุนนางบุ๋นอาบด้วยรอยยิ้ม ไหล่ของทุกคนรู้สึกเบาสบายราวกับได้พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ไม่ทันไรพี่ใหญ่ก็ทำเรื่องใหญ่โดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว…สวี่ซินเหนียนรีบถามว่า
“พี่ใหญ่ของข้าบาดเจ็บหรือ เหตุใดเขาไม่มากับท่านด้วย”
ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยแทนซุนเสวียนจีว่า
“เขายังอยู่ซินเจียงตอนใต้ และจะไม่มาชิงโจวในเวลาอันสั้นนี้”
ฆ้องเงินสวี่ต้องแน่ใจว่าปีศาจทักษิณจะดำเนินการได้อย่างราบรื่น…เหล่าขุนนางพยักหน้า
เมื่อผู้พิทักษ์หยวนพูดจบจึงเอ่ยว่า “เหตุใดพวกท่านจึงเอ่ยถึงแต่สวี่ชีอัน ไม่เอ่ยถึง…”
จู่ๆ เขาก็พูดไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำ หายใจไม่ออก ลำคออุดกลั้น ท่าทางประหนึ่งจะขาดอากาศหายใจตาย
ผู้พิทักษ์วานรขาวส่ายหัวอย่างแรงให้ซุนเสวียนจี สื่อว่าตนจะไม่พูดพล่อยๆ
“ฮู่ ฮู่…”
จากนั้นเขาก็กลับมาหายใจอีกครั้ง ด้วยอาการอ้าปากหอบหนัก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
ทุกคนไม่เข้าใจภาพตรงหน้านี้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรเอ่ยถาม หยางกงยิ้มพลางว่า
“แจ้งเรื่องนี้กับเหล่าทหารเพื่อเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจ ข้าได้ยินมาว่าเหล่าทหารแนวหน้าต่างกำลังเฝ้ารอให้หนิงเยี่ยนมานั่งรักษาการณ์ชิงโจว”
ตำนานที่ว่าสวี่ชีอันสังหารกองกำลังสองแสนนายของสำนักพ่อมดด้วยดาบเล่มเดียวที่ด่านอวี้หยางและนำศีรษะแม่ทัพศัตรูมาได้นั้น ฝังลึกอยู่ในหัวใจของผู้คน โดยเฉพาะทหารกล้าที่ต่อสู้ในสนามรบยิ่งบูชาเขาราวเทพเจ้า
พวกทหารของชิงโจวยังเฝ้าหวังด้วยว่า ฆ้องเงินสวี่จะมาชิงโจวและกวาดล้างกลุ่มกบฏเล็กๆ เพียงหกหมื่นนายได้ในคราวเดียว
“ถูกแล้ว ไปเร็วเข้า!”
ข้าหลวงชิงโจวยิ้มพลางว่า “เก้าอำเภอเขตชายแดนถูกกลุ่มกบฏยึดครอง ทำลายขวัญกำลังใจของทหารเราเป็นอย่างมาก ถึงเวลาแล้วที่จะประกาศเรื่องนี้ออกไป เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพและสร้างความเชื่อมั่นให้ราษฎร”
เมื่อถึงคราวที่การศึกไม่ราบรื่น จึงมิอาจมองข้ามความสำคัญของการสร้างอุดมการณ์ได้
…
ภายในเขตไป๋ซา
ในสวนดอกไม้ด้านหลังของอาคารซึ่งมีทางเข้าสามทาง
ข้างโต๊ะหินภายในศาลา มีโหรในชุดสีขาวพลิ้วไหวนั่งดื่มชาอยู่กับพระโพธิสัตว์ห่มจีวรที่เปลือยหน้าอกครึ่งหนึ่ง
“คิดไม่ถึงเลยว่ากำลังของอาณาจักรต้าฟ่งที่อ่อนแอมาจนถึงตอนนี้ ทว่าอาจารย์โหรยังแข็งแกร่งได้เช่นนี้ ข้าไม่เคยดูแคลนเขา แต่ข้าก็ยังประเมินเขาต่ำเกินไป”
สีหน้าของสวี่ผิงเฟิงซีดขาวเล็กน้อย
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ประคองถ้วยชาพลางเอ่ยเสียงทุ้ม
“ตอนนั้นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งสามารถสู้แบบหนึ่งต่อสามได้สบายๆ กระทั่งอู่จงบุกโจมตีเมืองหลวงและสังหารจักรพรรดิผู้ขลาดเขลา เขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังและถูกพวกเราตัดหัว
“ตอนนี้อาศัยกำลังของเราสองคนไปงัดข้อกับเขาโดยไม่รู้ผลแพ้ชนะได้ก็เป็นความน่ายินดีแล้ว ท่านน่าจะรู้ว่า สำนักพุทธมิอาจให้พระโพธิสัตว์องค์อื่นมาช่วยท่าน พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเชื่อว่า ปีศาจทักษิณจะฉวยโอกาสก่อเรื่องและยึดคืนภูเขาสือว่านในซินเจียงตอนใต้”
สวี่ผิงเฟิงพยักหน้าช้าๆ
“ข้อนี้เป็นความจริงที่ชะตาของปีศาจทักษิณยังไม่ถึงจุดจบ ทว่าหากไม่มีอาณาเขต พวกเขาก็ประหนึ่งสร้างวิมานในอากาศ ขอเพียงอยู่รอดไปอีกห้าร้อยปี ชะตากรรมของปีศาจทักษิณก็จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”
“สำนักพุทธจะส่งทหารเดินทัพไปเหลยโจวเมื่อไร”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เอ่ย
“รอให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์รวบรวมกำลังพลเสร็จแล้วก็จะติดต่อข้ามา ตอนข้าเข้าไปในที่ราบกลาง อาณาจักรต่างๆ ในดินแดนประจิมทิศได้ตระเตรียมเสบียงอาหารและยุทธปัจจัยไว้แล้ว ดูท่าคงจะเร็ววันนี้ล่ะ”
สวี่ผิงเฟิงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีมาก หากสองกองทัพประสานงานกัน ไม่เกินสามเดือนก็จะเข้าถึงเมืองหลวงได้ รอจนข้าหล่อหลอมโชคชะตาตลอดทางจนถึงเมืองหลวง สถานการณ์อาจารย์โหรก็สายเกินแก้แล้ว”
เขายิ้มพลางจิบชาอึกหนึ่งแล้วถามว่า
“จัดกำลังในซินเจียงตอนใต้ไว้เหมาะสมหรือยัง”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พยักหน้า “มีอาซูหลัวนั่งรักษาการณ์ภูเขาสือว่าน แม้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะปรากฏตัวด้วยตัวเองก็มิอาจทำอะไรเขาได้”
สวี่ผิงเฟิงหัวเราะ
เวลานั้นเอง เจียหลัวซู่ก็วางถ้วยชาลง แล้วเหยียดมือขวาพร้อมกับกางฝ่ามือออก
แสงสีทองพุ่งขึ้นกลางฝ่ามือกลายเป็นชามทองคำใบหนึ่ง แล้วม่านแสงสีทองอ่อนๆ ก็พวยพุ่งออกจากชามทองคำ
ท่ามกลางม่านแสง ภิกษุรุ่นเยาว์ผู้มีริมฝีปากแดงฟันขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เจียหลัวซู่ ซินเจียงตอนใต้เกิดเรื่องแล้ว”
น้ำเสียงของภิกษุรุ่นเยาว์เลือนรางว่างเปล่าราวกับมาจากฟากฟ้า ทั้งฟังไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เด็กหรือชรา
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “มีเรื่องอะไร”
ภิกษุรุ่นเยาว์เอ่ยว่า
“สวี่ชีอันและซุนเสวียนจีร่วมมือกันโจมตีอาซูหลัว ทำลายผนึกเจดีย์ และเอาชิ้นส่วนขาของเสินซูไป”
สวี่ผิงเฟิงหรี่ตา น้ำในถ้วยชาในมือเกิดเป็นระลอกคลื่น
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เอ่ยช้าๆ ว่า “เขาทำได้อย่างไร”
ภิกษุรุ่นเยาว์ไม่ตอบ หากเอ่ยต่อว่า
“ข้าให้ตู้เอ้อร์กลับไปที่อรัญตาและจัดวางทหารในเขตชายแดนซินเจียงตอนใต้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจทักษิณหวนกลับมา
“แขนขวาของเสินซูถูกผนึกอยู่ในซังผอ และหลุดไปในคดีซังผอ แขนซ้ายที่ถูกผนึกอยู่ในเจดีย์พุทธะได้ถูกพุทธบุตรเอาไปแล้ว ส่วนลำตัวก็ตกอยู่ในมือของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง บัดนี้ขาทั้งคู่ของเสินซูก็หายไปอีก นอกจากส่วนหัว ร่างกายก็ครบหมดแล้ว
“ข้าคาดไว้ไม่ผิด การยึดคืนภูเขาสือว่านเป็นเพียงก้าวแรกของปีศาจทักษิณ พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่ท่านไม่อยู่อรัญตาจึงบุกเข้าโจมตี
“ยกเลิกแผนการกรีธาทัพไปบูรพา ข้าทำได้เพียงส่งกองกำลังชั้นยอดสองหมื่นนายบุกโจมตีเหลยโจวเพื่อก่อความวุ่นวาย
“ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
เงาร่างของภิกษุรุ่นเยาว์หายไปในม่านแสงสีทอง
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิงนิ่งเงียบ
…
ด้านในหัวเมืองเมืองเวิ่ง เหล่าแม่ทัพซึ่งกำลังหารือเรื่องการทหารพากันต้อนรับทหารที่มารายงานข่าว
“แม่ทัพใหญ่!”
ทหารประสานมือโค้งคำนับพลางว่า “ท่านราชครูส่งข่าวมาว่า แดนประจิมจะส่งทหารชั้นยอดจากทั้งสองกองทัพไปก่อกวนชายแดนเหลยโจวเพื่อตรึงกำลัง แต่จะไม่ร่วมมือกับพวกเราในการโจมตีต้าฟ่ง”
สีหน้าของแม่ทัพแต่ละกองพันพลันแข็งทื่อ
ชีก่วงป๋อเอ่ยเสียงเข้มว่า “เพราะเหตุใด”
ทหารกล่าวว่า “สวี่ชีอันร่วมมือกับกากเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจโจมตีซินเจียงตอนใต้รวมถึงอรัญตา สำนักพุทธจัดวางทหารรออยู่ ไม่มีเวลามาสนใจกับเรา”
“อะไรนะ”
“คนแซ่สวี่จะโจมตีอรัญตารึ”
“เขาถือดีอะไรน่ะ อาศัยวรยุทธ์ขั้นสามกระจอกๆ ของเขาโจมตีอรัญตาน่ะรึ”
“สำนักพุทธก็ถือเป็นจริงเป็นจังกับเขาเกินไปกระมัง”
แม่ทัพแต่ละกองพันต่างตกตะลึงจนหน้าถอดสี และถกกันด้วยความเคียดแค้น
สวี่ชีอัน…สีหน้าของจีเสวียนดำดิ่ง มือทั้งสองกำหมัดแน่น
…
หลังการประชุม สวี่ซินเหนียนผู้หิวโหยก็ตรงไปยังด้านในห้องโถง
เวลานี้ผ่านมื้อกลางวันไปแล้ว อีกทั้งวันนี้เขาก็ไม่มีเวลากระทั่งจะกินมื้อเช้าด้วยซ้ำ จากนั้นก็เข้าร่วมประชุมกับอาจารย์จางเซิ่นแล้วหารือเกี่ยวกับกิจการทางการทหารกับขุนนางระดับสูงของชิงโจวอีก
ตอนนี้เขาหิวจนไส้จะขาดแล้ว
หลังก้าวข้ามธรณีประตูและมาถึงโถงด้านในของที่ทำการสมุหเทศาภิบาล สิ่งที่สวี่ซินเหนียนเห็นก็คือโต๊ะอาหารอันระเกะระกะและจานกับข้าวที่ถูกกวาดจนเกลี้ยง
อาหารทั้งโต๊ะไม่เหลือถึงเขากระทั่งน้ำแกงใส
‘น้องสาวผู้นี้ไม่เอาไหนก็ช่างเถอะ…ยังมีลี่น่าอีก ไม่มีที่ในเมืองหลวงสำหรับนางแล้ว…’ สวี่ซินเหนียนหันหลังจากไปอย่างเงียบงัน
………………………………………………..
[1] ในสมัยสงครามรัฐ กองทัพฉีใช้วิธีปิดล้อมรัฐเว่ย บังคับให้รัฐเว่ยถอนทหารที่โจมตีรัฐจ้าว และทำการกอบกู้รัฐจ้าว จึงใช้อ้างถึงกลยุทธ์การโจมตีทางด้านหลังของศัตรูแล้วบังคับให้ศัตรูที่กำลังโจมตีล่าถอย