ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 665 กลับบ้าน
“เจ้าก็ไปอาบเสียหน่อย”
สวี่ชีอันมองดูลี่น่าพร้อมกับยกมือชี้ไปที่สระน้ำ และไม่ลืมสอบถาม “ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมีเสื้อผ้าสะอาดสำรองไว้ใช่หรือไม่”
“มีอยู่ มีอยู่”
ลี่น่าทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค จากนั้นก็กระโดดไปบนก้อนหิน และพุ่งลงสระน้ำ
สวี่ชีอันนั่งหันหลังอยู่บนหินผาขนาดใหญ่ ข้างตัวมีแค่มู่หนานจือและจิ้งจอกขาวน้อยที่นางอุ้มอยู่เท่านั้น
หลังจากหงอิงคุ้มกันพวกเขามาที่นี่แล้ว ก็กลับไปที่ภูเขาสือว่านเลย
“นางคือหมายเลขห้า สมาชิกพรรคฟ้าดินของพวกเรา แม่นางน้อยเผ่าลี่กู่ในซินเจียงตอนใต้ อาศัยอยู่จวนตระกูลสวี่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด”
สวี่ชีอันอธิบาย “พวกเราวางแผนไปซินเจียงตอนใต้สักครา เลยพานางไปด้วย”
มู่หนานจือคลึงหัวของจิ้งจอกขาวน้อยอยู่ นางมองไปทางสระน้ำ พยักหน้าอย่างสงบ และพูดแสดงความเห็นอย่างเมินเฉย
“หน้าตาไม่เลว รูปร่างก็ดี แค่โง่ไปหน่อย ใช้ชีวิตปะปนอยู่ในยุทธภพคนเดียวจะต้องเสียเปรียบแน่นอน”
นางหมายถึงแม่นางน้อยจากซินเจียงตอนใต้ ไม่นึกเลยว่าจะปล่อยตัวตามสบายเปลื้องผ้าอยู่ริมสระอย่างแจ่มแจ้ง โดยไม่คิดจะหันไปมองบุรุษที่อยู่ด้านหลังเลย
หากไม่ใช่เพราะโง่เกินไป ก็เป็นเพราะมีเจตนาอื่น
พฤติกรรมที่เป็นฝ่ายนำสวัสดิการมาส่งถึงหน้าสวี่ชีอันนี้ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนา สำหรับมู่หนานจือแล้ว นางกำลังยั่วยุตนเองอยู่
สวี่ชีอันยิ้มและไม่ช่วยแก้ตัวให้กับลี่น่า
สตรีล้วนมีจิตใจคับแคบและไม่มีเหตุผลในเรื่องแบบนี้ ให้เหตุผลกับนางว่าลี่น่าจะมีความคิดชั่วร้ายอะไรได้ ลี่น่าไม่ได้มีความคิดอะไรเลย นางจะคิดว่าเจ้ากำลังเล่นลิ้นและปกป้องชู้รักอยู่
ผ่านไปครึ่งเค่อ สองศิษย์อาจารย์ที่ชำระล้างคราบสกปรกออกแล้ว ก็กลับมาพร้อมชุดที่สะอาดเรียบร้อย
“พี่หญ่าย”
สวี่หลิงอินพุ่งเข้ามา ราวกับหมูน้อยที่ทั้งอ้วนท้วนและอ้อนแอ้นกระโดดไปมาท่ามกลางโขดหิน ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงปลิวว่อนอยู่ด้านหลัง นางโผเข้าหาอ้อมกอดของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันกอดน้องสาวโดยไม่ขยับเขยื้อน จากนั้นก็ดันนางให้กับมู่หนานจือ
“รบกวนเจ้าช่วยนางผูกมวยผมเด็กผู้ชายหน่อย”
เขาถือโอกาสรับจิ้งจอกขาวน้อยที่มู่หนานจือส่งมาด้วย
ลูกตาดำแป๋วของไป๋จีสังเกตดูสวี่หลิงอินด้วยความอยากรู้
“นางเป็นน้องสาวของเจ้านี่!”
ใช่สิ เจ้าเป็นลูกจิ้งจอก นางเป็นลูกมนุษย์…สวี่ชีอันทำเสียง “อืม” แล้วพูดแนะนำ
“หลิงอิน นี่คือไป๋จี น้องสาวของสหายคนหนึ่งของพี่ใหญ่ เจ้ากับเขาต้องปฏิบัติต่อกันดีๆ”
“ได้เลยพี่ใหญ่”
สวี่หลิงอินออกแรงพยักหน้า ยื่นมืออวบอ้วนไปลูบหัวไป๋จีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปแอบกลืนน้ำลาย
“เจ้ากลืนน้ำลายทำไม” สวี่ชีอันซักถาม
“ข้าไม่ได้กลืนน้ำลาย” สวี่หลิงอินเล่นลิ้น
“เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเมื่อครู่เจ้ากลืนน้ำลาย”
“ข้าหิวแล้วน่ะสิ…”
ขณะที่ฟังสองพี่น้องคุยกันอยู่นั้น ไป๋จีเข้าไปหดตัวอยู่ในอ้อมกอดสวี่ชีอันอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กน้อย
รอจนมู่หนานจือช่วยเสี่ยวโต้วติงผูกมวยผมเด็กชายเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็ถามขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงดูตกอับเช่นนี้”
ลี่น่าได้ยินก็เผยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“พวกเราพบกับอุปสรรคตลอดทาง คนที่ราบกลางที่พบเจอระหว่างทาง ถ้าไม่อยากนอนกับข้า ก็อยากกินหลิงอิน แต่ทั้งหมดถูกพวกเราตีจนหนีไปแล้ว ต่อมามีคนชราคนหนึ่งบอกข้าว่า ให้พวกข้าปลอมเป็นประชาชนผู้หนีภัย หลิงอินแสร้งเป็นคนโง่ เช่นนี้ก็ไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจแล้ว จะข้ากับหลิงอินทำตามที่บอก แล้วก็ไม่พบกับอุปสรรคจริงๆ ด้วย”
คำพูดเรียบง่ายไม่กี่ประโยคทำให้สวี่ชีอันรู้ในฉับพลันว่าสถานการณ์ของอวี่โจวเลวร้ายเพียงใด
มีผู้ลี้ภัยที่หิวจนเป็นบ้าเริ่มกินมนุษย์แล้ว
และขอให้เป็นหญิงสาวที่รูปร่างสวยงามเท่านั้นแหละ หากไม่มีกำลังในการปกป้องตัวเอง ท่ามกลางโลกที่วุ่นวายเช่นนี้ ก็จะตกเป็นของเล่นของผู้อื่น
นิสัยของมนุษย์คือสัตว์ป่าที่จอมปลอมและดุร้าย กฎหมายคือคุกที่กักขังพวกมัน ศีลธรรมคือโซ่ตรวนที่ผูกมัดพวกมันไว้ แต่ระเบียบค่อยๆ พังทลายลง สัตว์ป่าดุร้ายตัวนี้จะหลุดจากการผูกมัด คนโบราณกล่าวว่า ระเบียบกฎเกณฑ์ถูกทำลาย บ้านเมืองต้องล่มสลาย ความหมายก็เป็นเช่นนี้นั่นเอง…สวี่ชีอันทอดถอนใจ
ฝูงชนก่อกองไฟขึ้นริมน้ำตกสามชั้น สวี่ชีอันล่าไก่ป่า กวางป่าและสัตว์อื่นๆ มาเกือบสิบตัว ตั้งหม้อเหล็กหุงข้าวต้มเนื้อ หลังจากดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว คนกลุ่มนี้ก็มุ่งหน้าลงใต้ เข้าสู่เขตซินเจียงตอนใต้
…
ค่ายทหารอวิ๋นโจว กระโจมของผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ชีก่วงป๋อยืนอยู่ตรงหน้าแผนที่ชิงโจวที่วางอยู่บนที่ตั้ง ใช้กิ่งไผ่ชี้เมืองที่อยู่บนแผนที่ทีละแห่ง
“ลำดับต่อไป อยากจะเคลื่อนทัพบุกเข้าเมืองชิงโจว พวกเราจำเป็นต้องตีฝ่าแนวป้องกันสามด่าน แนวป้องกันด่านแรกคืออำเภอซงซาน ตงหลิง หว่านจวิ้น ข้าต้องการให้พวกเจ้ายึดเมืองทั้งสามให้ได้ภายในห้าวัน”
เขาใช้กิ่งไผ่ชี้ไปที่อักขระสองตัว ‘ซงซาน’ แล้วกล่าว
“โดยเฉพาะซงซาน ทิศใต้ติดกับยอดเขาชันอันตราย ทิศตะวันตกคือแม่น้ำซง ล้วนเป็นทิศทางที่โจมตีได้ยาก อยากจะบุกยึดเมือง คงได้แต่บุกทะลวงจากประตูเมืองทิศตะวันออกและประตูเมืองทิศเหนือเท่านั้น สถานที่แห่งนี้ก็เหมือนกับตะปูตัวหนึ่ง ปิดทางตายในการเข้าเมืองของพวกเราทางด้านตะวันตก หยางกงจะต้องส่งกองกำลังทหารที่เกรียงไกรไปเฝ้า พวกเจ้าใครจะไปช่วยอาจารย์ดึงตะปูตัวนี้ออกมา”
จีเสวียนกล่าวราบเรียบ “ภายในสามวัน สามารถทำลายเมืองนี้ได้”
เขาแสดงออกมาว่าต้องการรับภารกิจนี้
ชีก่วงป๋อส่ายหน้า “เจ้าไปไม่ได้ เจ้าต้องไปตีตงหลิง ล่อซุนเสวียนจีนออกมาให้ข้า ดึงความสนใจของชิงโจวออกไป”
“แม่ทัพใหญ่ โปรดวางใจมอบให้ข้าเถิด!”
ในที่นั่งประชุม นายพลรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งลุกขึ้นมา ตาข้างซ้ายของเขาเป็นสีขาวเทา ว่างเปล่าไร้ความรู้สึก ราวกับไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว แต่ตาขวาของเขาเปล่งประกายแสงเย็นสะท้านอย่างดุเดือด
คนผู้นี้ชื่อว่าจัวเฮ่าหราน ฉายานาม ‘มือสังหารจัว’ นิสัยชอบต่อสู้และสังหาร ตอนที่บ้าคลั่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ สตรี เด็ก หรือว่าหนุ่มฉกรรจ์ ในสายตาของเขาแล้วไม่มีความแตกต่างใดๆ เลย
ตอนที่เป็นโจรร้ายยึดภูเขานั้น ปล้นสะดมพ่อค้าโดยไม่เคยไว้ชีวิตใครมาก่อน ห่างกันไม่กี่วันยังนำกองโจรไปสังหารประชาชนธรรมดาตายเป็นเบือ เสพติดการฆ่าคน
ด้วยเหตุที่อารมณ์ดุร้าย ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากนายพลคนอื่นๆ ในค่ายทหารอวิ๋นโจว แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคนผู้นี้มีความสามารถในการบัญชาทางทหารและความสามารถในการสู้รบที่แข็งแกร่งมาก
ชีก่วงป๋อเคยเอ่ยปากชมด้วยตนเองว่า คนผู้นี้คือนายพลที่ปรีชาสามารถและพบเจอได้ยาก
“ดี!”
ชีก่วงป๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โจมตีอำเภอซงซานไม่ได้ภายในห้าวัน เจ้าก็ไสหัวกลับมาล้างถังอุจจาระซะ”
จัวเฮ่าหรานเลียริมฝีปาก ตาขวาเปล่งประกายแสงเยือกเย็นที่ดูฮึกเหิมและเย็นยะเยือก
หลังจากจัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว ชีก่วงป๋อยิ้มกล่าว
“หากโชคดีล่ะก็ ไม่ถึงครึ่งเดือนพวกเราจะมีกองกำลังเสริมใหม่”
จีเสวียนขมวดคิ้ว “สำนักพุทธต้องการรักษากำลังเพื่อรับมือกับปีศาจทักษิณ ทางด้านสำนักพ่อมด ราชครูเคยส่งคนไปเจรจาแล้ว แต่พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ปฏิเสธจะเป็นพันธมิตร”
ตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา “เผ่าพันธุ์กู่หรือ”
ชีก่วงป๋อพยักหน้า และมองดูบรรดานายพลที่เผยสีหน้าดีใจออกมาเช่นกัน
“ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ เก่อเหวินซวนไปที่ใดแล้ว”
เก่อเหวินซวนคือศิษย์ของราชครู ขณะเดียวกันก็เป็นนายพลมากความสามารถที่เมืองเฉียนหลงส่งมา คนผู้นี้เชี่ยวชาญในเรื่องสติปัญญาและแผนการ มีวิธีการจัดการทหารและตั้งค่ายกลขั้นสุดยอด
นายพลหนุ่มมากความสามารถเช่นนี้ เดิมทีควรมีตำแหน่งในกระโจมผู้บัญชาการทหาร
แต่หลังจากอวิ๋นโจวเริ่มต้นต่อสู้ทางด้านการเมือง เขากลับหายไปไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย
ชีก่วงป๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ตั้งแต่ทหารของข้าไปจากอวิ๋นโจว ท่านโหราจารย์ก็ราวกับเป็นดาบเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่เหนือศีรษะข้า ราชครูกับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ตรึงเขาเอาไว้แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ถูกท่านโหราจารย์ตรึงเอาไว้เช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ราชครูไม่มีเวลาวางแผนอย่างอื่น สถานการณ์ของภูเขาสือว่าน อาณาจักรหมื่นปีศาจผูกพันธมิตรกับสวี่ชีอันก็คือตัวอย่าง โชคดีที่ราชครูคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว ทิ้งแผนอันชาญฉลาดไว้ให้เก่อเหวินซวนไปจัดการ”
จีเสวียนพยักหน้าช้าๆ
หลังจากเริ่มต้นต่อสู้ทางด้านการเมือง ราชครูกับท่านโหราจารย์ก็โถมตัวเข้าใส่กระดานหมาก จากอดีตที่เคยต่อสู้ในที่ลับ เปลี่ยนเป็นโรมรันพันตีกันในที่เปิดเผย
ขณะที่เขากับเจียหลัวซู่ตรึงท่านโหราจารย์ไว้นั้น ก็ถูกท่านโหราจารย์ตรึงเช่นกัน ไม่มีพลังไปวางแผนอย่างอื่นอีก
ในช่วงระหว่างเวลานี้ กลับให้โอกาสสวี่ชีอันกระโดดโลดเต้นเสียด้วยซ้ำ นี่ถึงเกิดสถานการณ์ตึงเครียดบนภูเขาสือว่านอย่างในตอนนี้
“ข้าว่าแล้วเชียว ราชครูวางแผนแม่นยำมาโดยตลอด อยู่ๆ จะไม่มีวิธีการได้อย่างไร”
“ไม่มีสำนักพุทธแล้ว แต่หากมีเผ่าพันธุ์กู่ยกทัพช่วยเหลือ ผลลัพธ์ยังคงเหมือนกัน เผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้สะสมความแค้นกับต้าฟ่งมานาน จะต้องยกทัพมาแน่นอน พวกเรารอกองกำลังเสริมอย่างเงียบๆ ก็พอ”
บรรดานายพลเชื่อใจสวี่ผิงเฟิงมาก
…
สองวันต่อมา กลุ่มคนสี่คนและจิ้งจอกหนึ่งตัวเดินออกจากภูเขาร้างมาถึงริมถนนหลวงที่ราบเรียบ
ภายใต้การนำทางของลี่น่า กลุ่มคนสี่คนและจิ้งจอกหนึ่งตัวหลบหลีกเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในระหว่างทางอย่างชาญฉลาด ในที่สุดก็มาถึงเขตอิทธิพลของเผ่าลี่กู่
“มุ่งหน้าไปอีกแปดสิบลี้ก็เป็นเขาป๋อ กองบัญชาการใหญ่ของเผ่าลี่กู่เรา”
ลี่น่ากระโดดโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความปีติยินดีที่ได้กลับบ้าน
ด้านหลังของนาง สวี่หลิงอินกุมดาบไท่ผิงฟันขวากหนามมาตลอดทางเพื่อเปิดทางให้กับทุกคน
“ในที่สุดก็มีถนนแล้ว…”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์มากนัก ”เจ้ายังไม่ยอมรับว่าตนเองหลงทางอีกหรือ เหตุใดถึงไม่เดินถนนหลวงนี้ตั้งแต่แรก เจาะจงแต่จะปีนและข้ามสันเขา”
“ไอหยา ไม่ใช่หลงทาง ข้าพาพวกเจ้ามาทางลัดต่างหาก ถือโอกาสหลบหลีกเผ่าพันธุ์ที่น่ารำคาญเหล่านั้นด้วย”
ลี่น่าพูดอธิบาย
สวี่ชีอันเขย่ามู่หนานจือที่อยู่บนหลัง รับรู้ถึงเรือนร่างอรชรที่อวบอิ่มและอ่อนนุ่มของเทพบุปผากลับชาติมาเกิด และกล่าวออกมา
“เอาล่ะ มุ่งหน้าต่อ”
เส้นทางภูเขานั้นเดินยาก ไม่นานมู่หนานจือก็ทนไม่ไหวแล้ว ทำได้แค่ให้สวี่ชีอันแบกไว้บนหลังเท่านั้น
ตอนนี้เดินออกจากภูเขาใหญ่แล้ว เดิมทีควรจะวางนางลง แต่เรือนร่างที่อ่อนนุ่มของมู่หนานจือ บั้นท้ายที่กลมเด้ง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์สัมผัสหรือมือสัมผัส ล้วนทำให้สวี่ชีอันยากที่จะตัดใจ
มู่หนานจือไม่ได้ขอเดินเองด้วยเช่นกัน คู่ชู้ชื่นต่างก็รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
เส้นทางแปดสิบลี้ หากเดินทางละก็คงใช้เวลาราวๆ หนึ่งวัน คนกลุ่มหนึ่งเดินไปได้ครึ่งชั่วยาม ภูเขาร้างก็ลดน้อยลง พื้นที่ราบค่อยๆ เพิ่มขึ้น สภาพอากาศของซินเจียงตอนใต้อบอุ่นและชุ่มชื้น ภูเขายังคงเป็นสีเขียว วัชพืชข้างทางขึ้นเป็นลูกคลื่น
ภัยหนาวของที่ราบกลางไม่ส่งผลกระทบถึงที่นี่เลยแม้แต่น้อย
‘ฟิ้ว!’
ทันใดนั้น เสียงแผดร้องโจมตีเข้ามาจากทางด้านซ้ายและชี้ตรงที่สวี่ชีอัน
เขาไม่ได้หยุดฝีเท้าลง หันหน้าไปเป่าเบาๆ พลังนั้นน่ากลัวมาก ลูกธนูที่แผดเสียงราวกับสายฟ้าถูกพัดออกไปราวกับขนปุยสีขาวตามเม็ดหลิวที่ล่องลอยตามลม
ชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดหนังสัตว์ และแบกเขาวัวพุ่งออกจากพุ่มไม้เตี้ยทางด้านซ้าย
ผิวหนังของพวกเขาเป็นสีดำ ดวงตาทั้งคู่เป็นสีฟ้าอ่อน ผมหยิกโดยธรรมชาติ
“พวกเจ้าไม่ใช่กลุ่มพ่อค้า เข้ามาในเขตอิทธิพลของเผ่าลี่กู่เราไม่ได้”
ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่อยู่ทางด้านซ้ายใช้ภาษาซินเจียงตอนใต้กล่าวประณามเสียงดัง
ชายหนุ่มที่อยู่ทางขวาตั้งลูกธนูเล็งเป้ามาที่สวี่ชีอัน
เขาเป็นบุรุษเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม
ทว่าชายหนุ่มเผ่าลี่กู่ทั้งสองคนไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูมากนัก คิดว่าคงเป็นเพราะการมีอยู่ของสวี่หลิงอินทำให้พวกเขาไม่ระมัดระวัง
“ถู่หลง มู่โถว เป็นข้าเอง เป็นข้าเอง”
ลี่น่าโบกมือทั้งสองด้วยความดีใจ ประจักษ์ชัดว่ารู้จักชายหนุ่มคู่นี้
“เจ้าเป็นใคร”
ชายใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมจ้องมองนางอย่างหวาดระแวง
ลี่น่าถูกถามจนอึ้งไปเลย นางชี้หน้าตนเองกล่าว “เป็นข้าเอง ข้าคือลี่น่าไง!”
“เหลวไหล ผิวขาวนวลเช่นนี้ แค่มองก็รู้ว่าเป็นหญิงสาวจากที่ราบกลาง”
ชายหนุ่มที่ถือธนูปล่อยสายธนูยิงใส่ลี่น่าไปหนึ่งดอก
……………………………………