ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 666 เผ่าลี่กู่
ลูกธนูที่ยิงในระยะประชิดนั้นรวดเร็วกว่ามาก แฝงไปด้วยพลังในการเจาะทะลุทองและหิน ยิงใส่หน้าอกของลี่น่า
‘ติ๊ง!’
ลี่น่าดีดลูกธนูกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย
นางหันไปมองศิษย์น้อยที่ไร้เดียงสา และสวี่ชีอันกับมู่หนานจือทีหนึ่ง นางอายสุดที่จะทนได้ จึงตะคอกด้วยความโมโห
“หาเรื่องโดนตี!”
พลังระเบิดของขาเรียวยาวทั้งสองน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง นางดีดตัวขึ้นมา และหมุนตัวเตะชายหนุ่มที่ยิงธนูจนกระเด็นออกไป
ก่อนที่ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมอีกคนจะดึงดาบกระดูกออกมา นางก็บิดเอวเหวี่ยงแขวน วาดแขนขวาเป็นรูปครึ่งวงกลม พอมีเสียงฝ่ามือดัง ‘ป้าบ!’ ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมก็หมุนอยู่กับที่สองรอบ และล้มลงพื้นท่ามกลางดวงดาวสีทองที่หมุนติ้วๆ
ชายหนุ่มเผ่าลี่กู่สองคนโดนตี แต่ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่นานก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มที่ยิงธนูจ้องมองลี่น่าอย่างระแวง
“เป็นลี่น่าจริงๆ ด้วย เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไป ขาวเหมือนกับบรรดาหญิงสาวในที่ราบกลาง”
พอได้แลกมือกัน ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่
เท้าที่รวดเร็วและรุนแรง ฝ่ามือที่ปราดเปรียว ไม่ผิดแน่
ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมกล่าวเสริม
“ทั้งยังอ้วนขึ้นด้วย”
สภาพอากาศซินเจียงตอนใต้ร้อนอบอ้าว พลังแสงอาทิตย์รุนแรง คนในพื้นที่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในซินเจียงตอนใต้มีผิวดำ กล้ามเนื้อและผิวหนังเป็นสีแทน
แต่ลี่น่าบำรุงอยู่ในจวนตระกูลสวี่มาครึ่งค่อนปี หลบเลี่ยงการทำลายผิวของพลังแสงอาทิตย์ ประกอบกับแอบกินโอสถชะลอวัยของอาหญิง ผิวหนังจึงขาวละเอียดอ่อน ซึ่งแตกต่างจากชายหนุ่มเผ่าพันธุ์กู่ทั้งสองอย่างสิ้นเชิง
“หรือพวกเจ้าจำใบหน้าของข้าไม่ได้” ลี่น่าเอามือเท้าเอว
“ไม่แน่อาจแปลงโฉมก็ได้!”
ชายที่ยิงธนูเถียงไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ทำเสียง “ฮึๆ” อย่างได้ใจ
“เมื่อครู่ข้ากำลังทดสอบความสามารถของเจ้า ลี่น่าตัวจริงจะต้องรับลูกธนูข้าได้”
ลี่น่าสำลักอยู่ครู่หนึ่ง นางไม่มีอะไรจะเถียงจึงหันไปกล่าวกับสวี่ชีอันและคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คนเผ่าลี่กู่ของข้าระมัดระวังและฉลาดรอบคอบมาโดยตลอด เมื่อครู่พวกเขากำลังทดสอบข้า”
ไม่ใช่สิ คนที่ราบกลางสามารถเรียกชื่อพวกเขาออกมาได้หรือ จะว่าไปแล้วหากเป็นการแปลงโฉมจริง ใครจะสามารถแปลงโฉมคนซินเจียงตอนใต้ให้มีผิวขาวสวยงามได้ นี่ไม่ใช่การโอ้อวดอย่างแจ่มแจ้งหรือ…สวี่ชีอันแขวะอยู่ในใจ
สวี่หลิงอินใช้พลังส่งเสียง “อา” ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวในภายหลัง
“ยังดีที่อาจารย์ท่านเป็นคนซินเจียงตอนใต้อย่างแท้จริง”
พอชายหนุ่มที่ยิงธนูเห็นว่าเด็กสาวในที่ราบกลางมีสีหน้าหวาดกลัว เขาก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมา และกล่าวว่า
“ลี่น่า พวกเขาเป็นใคร”
“นางคือศิษย์ในที่ราบกลางของข้า นี่คือพี่ชายของศิษย์ข้า ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงได้รับการดูแลจากพวกเขา”
ลี่น่าแนะนำสวี่ชีอันกับสวี่หลิงอินให้กับคนในเผ่าทั้งสอง และมองข้ามมู่หนานจือไปเพราะไม่สนิทกับนาง
จากการแนะนำของนาง สวี่ชีอันก็รู้ชื่อชายหนุ่มเผ่าพันธุ์กู่ทั้งสองคน
ชายหนุ่มที่ยิงธนูชื่อถู่หลง แขนทั้งสองเรียวยาว กล้ามเนื้อได้สัดส่วน แค่มองก็รู้ว่าเป็นมือธนูฟ้าประทาน
ชายใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมชื่อมู่โถว เนื่องจากตอนคลอดออกมามีใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ว่า ‘มู่โถว’
“ศิษย์หรือ”
มู่โถวตกใจมาก “เจ้าเป็นลูกสาวหัวหน้าเผ่า จะแอบรับศิษย์ด้วยตนเองได้อย่างไร ทั้งยังเป็นคนที่ราบกลางด้วย บรรดาผู้อาวุโสจะตีเจ้าได้”
ถู่หลงขมวดคิ้วมุ่น ถึงจะไม่คล้อยตามด้วย แต่มองออกว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
เคล็ดวิชาของเผ่าพันธุ์กู่ไม่ถ่ายทอดให้กับคนนอก แม้แต่ในเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดด้วยกันเอง ก็หวงแหนเป็นอย่างมาก มีความยึดมั่นในฝักฝ่ายของตนเอง
นับประสาอะไรกับการรับเด็กสาวจากที่ราบกลางเป็นศิษย์ ประจักษ์ชัดว่าฝ่าฝืนกฎของเผ่า เป็นการกระทำต้องห้ามที่สำคัญของเผ่าพันธุ์กู่
“ข้าไม่กลัวพวกเขาหรอกนะ บรรดาผู้อาวุโสล้วนเป็นขั้นสี่ ข้าก็ขั้นสี่เช่นกัน ใครจะตีใครยังไม่สามารถพูดได้”
ลี่น่าทำเสียงขึ้นจมูก “ตาเฒ่าคนใดกล้าลงมือ ข้าจะตีให้ตายในหมัดเดียว”
“หัวหน้าเผ่าจะตีเจ้าเป็นคนแรก!”
มู่โถวน้ำเสียงเคร่งขรึม
ผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองพร้อมกัน และกล่าวด้วยความตกใจ
“เจ้าเลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้วหรือ”
ลี่น่าไม่ทันได้กระหยิ่มยิ้มย่องก็ตะโกนออกมา
“ศิษย์ที่ข้ารับมาผู้นี้ คือบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในผู้คนนับหมื่น เป็น เป็นพรสวรรค์ที่ไม่เคยปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์มาก่อน”
นางพยายามใช้คำศัพท์ที่มีไม่มากของตัวเองมาบรรยายสวี่หลิงอิน
มู่โถวกับถู่หลงชะงักฝีเท้าและมองดูเสี่ยวโต้วติงที่ดูซื่อๆ ทีหนึ่งก่อนถาม
“พรสวรรค์หรือ มื้อหนึ่งกินข้าวได้กี่ถ้วยล่ะ”
ลี่น่าทำเสียงขึ้นจมูก
“มื้อหนึ่งหลิงอินสามารถกินข้าวได้สิบถ้วย ไม่รวมกับข้าว”
มู่โถวกับถู่หลงสบตากันทีหนึ่งด้วยสีหน้าที่ดูซาบซึ้งเล็กน้อย
“เป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากจริงๆ แล้วอย่างไร กฎก็คือกฎ เจ้าก็เป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์ แต่เจ้ากล้าแอบถ่ายทอดเคล็ดวิชาเผ่าพันธุ์กู่ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน”
สวี่ชีอันฟังพวกเขาใช้ภาษาซินเจียงตอนใต้พูดคุยกันราวกับเสียงนกเพรียกร้องแล้วก็ขมวดคิ้วถาม
“พวกเจ้าคุยอะไรกัน”
ลี่น่าพ่นลมหายใจออกมา และพูดอธิบาย
“พวกเขาบอกว่าข้าแอบรับคนที่ราบกลางเป็นศิษย์ จะถูกบรรดาผู้อาวุโสลงโทษอย่างเฉียบขาด”
“ข้าเคยได้ยินว่าวิชากู่ของเผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้ของพวกเจ้าจะไม่ถ่ายทอดให้คนนอก แต่กฎที่เป็นรูปธรรมนั้นเป็นเช่นใด”
สวี่ชีอันกล่าวจบก็มองหน้านางเพื่อรอคำอธิบาย
“กฎที่เป็นรูปธรรมน่ะหรือ…” ลี่น่านึกกฎของเผ่าอยู่ครู่หนึ่งและกึ่งพูดกึ่งท่องออกมา
“ถ่ายถอดวิชากู่ให้กับผู้ที่เป็นทาสโดยไม่ได้รับอนุญาต เฆี่ยนสามหมื่นหกพัน…อืม เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน จำนวนการเฆี่ยนก็แตกต่างกัน เผ่าลี่กู่ของพวกเราเยอะสุด ถ่ายทอดวิชากู่ให้กับต่างเผ่าโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะคนที่ราบกลาง ลงโทษตาย! อาจารย์ต้องตาย ศิษย์ก็ต้องตายด้วย”
สวี่ชีอันมองดูนางเงียบๆ
“ทำไมเจ้าถึงไม่แจ้งให้ชัดเจนก่อนรับหลิงอินเป็นศิษย์ ในเมื่อเจ้ารู้กฎของเผ่าตนเอง ทำไมถึงยังพาหลิงอินกลับมาซินเจียงตอนใต้อีก”
หากลี่น่ากล้าพูดว่า ‘ลืมไป’ สวี่ชีอันสาบานว่าจะต้องทุบตีนางจนอุจจาระราดเลยทีเดียว
ผิดไปจากที่คาดไว้ ลี่น่าพูดมีเหตุมีผลอย่างฉะฉาน
“ในยุคบรรพกาล พลังของเทพเจ้ากู่แผ่ขยายเป็นวงกว้างออกไปนอกเหวลึก บรรพบุรุษของพวกเราผ่านความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานับหมื่นนับพัน แสวงหาเคล็ดวิชาที่ใช้พลังของเทพเจ้ากู่ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็มีเผ่าพันธุ์กู่เจ็ดเผ่าพันธุ์ใหญ่ เคล็ดวิชาคือพื้นฐานในการตั้งตัวของเผ่าพันธุ์กู่เรา พลังของเทพเจ้ากู่แผ่ขยายออกจากกลางเหวลึก เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นให้กลายเป็น ‘กู่’ ว่าตามหลักการแล้ว ใครก็สามารถใช้พลังนี้ได้ เพียงแค่เรียนรู้เคล็ดวิชาที่ประสานรับกัน ด้วยเหตุนี้เผ่าพันธุ์กู่ให้ความสำคัญกับเคล็ดวิชามาก แอบถ่ายทอดคือโทษตาย”
มิน่าล่ะบรรพบุรุษตระกูลไฉถึงติดอยู่ที่ระดับศพเหล็ก ดูท่าคงไม่ได้เรียนเคล็ดวิชาที่ต่อเนื่อง…สวี่ชีอันกล่าวด้วยความโมโห
“ไม่ใช่ว่าเจ้าจำได้อย่างชัดเจนหรอกหรือ แต่ที่เจ้าทำมันถูกหลักทำนองคลองธรรมหรือ”
ลี่น่าไม่ลนลานแม้แต่น้อย และกล่าวต่อ
“กู่เจ้าชะตาที่เติบโตเต็มที่มีเก้าระดับ แต่ละระดับมุ่งตอบโต้หนึ่งขั้น เมื่อกู่เจ้าชะตาจะเลื่อนขั้นนั้น จำเป็นต้องเสริมเคล็ดวิชาของเผ่าพันธุ์ตนเองและพลังของเทพเจ้ากู่ ถึงจะพัฒนากู่เจ้าชะตาจนถึงขีดสุดได้ เพียงมีเคล็ดวิชา ไม่มีพลังของเทพเจ้ากู่ ก็สามารถเลื่อนระดับได้ รากฐานก็อาจไม่มั่นคง พลังต่อสู้ก็ห่างชั้นจากยอดฝีมือระดับเดียวกันมาก ดังนั้นข้าถึงพาหลิงอินมาซินเจียงตอนใต้นี่แหละ”
มู่หนานจือเอ่ยปากแทรก “พานางมากินแส้หรือ”
วิธีการพูดละมุนละไมที่น่าสมควรตายเป็นอย่างยิ่ง
ลี่น่าไม่พอใจเล็กน้อย “ไอ้หยา เจ้าฟังข้าพูดจบก่อนสิ เจ้านี่นะไม่สนิทกันสักหน่อย ทำไมต้องขัดคำพูดข้าด้วย”
ว่าให้มู่หนานจือไปประโยคหนึ่งแล้ว นางก็กล่าวต่อ
“แอบถ่ายทอดเคล็ดวิชาถือเป็นโทษตายอย่างแน่นอน ทว่าเพียงให้หลิงอินได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสและท่านพ่อของข้า กลายเป็นศิษย์ของข้าอย่างแท้จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์กู่ของพวกเราก็ออกไปหาบุคคลผู้มีพรสวรรค์ด้านนอกอยู่บ่อยๆ จากนั้นพากลับมารับการทดสอบจากเผ่า ผ่านการทดสอบก็จะได้รับอนุญาต”
สวี่ชีอันเข้าใจแผนการของลี่น่าในทันที นางอยากพาหลิงอินกลับมารับการทดสอบจากเผ่า ให้นางกลายเป็นคนของเผ่าพันธุ์กู่อย่างสมบูรณ์ เช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับการเลื่อนขั้นในภายหน้าแล้ว
“ทว่า…” ลี่น่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เผ่าพันธุ์รุ่นก่อนยังไม่เคยรับคนที่ราบกลางเป็นศิษย์ เชลยศึกกลับมีไม่น้อย แต่ข้าคิดว่านี่ไม่มีปัญหา เพราะหลิงอินเป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์มาก่อน ท่านพ่อกับผู้อาวุโสจะต้องยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษอย่างแน่นอน”
ทำไมข้าถึงไม่เชื่อนะ ฟังดูแล้วไว้ใจไม่ได้เลย…สวี่ชีอันได้ยินมู่หนานจือถามด้วยรอยยิ้มเยาะ
“เผ่าพันธุ์กู่ของพวกเจ้ามีตำราประวัติศาสตร์ด้วยหรือ”
“ไม่มี” ลี่น่าตอบ
“…” สวี่ชีอันพูดอยู่ในใจ ข้าจะตีนางจนอุจจาระราดเลย
ภายใต้การนำทางของมู่โถวกับถู่หลงชายหนุ่มเผ่าลี่กู่ พวกเขาข้ามเนินเขาสูงลูกหนึ่งไปถึงเขาป๋อที่เป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าลี่กู่มาหลายยุคหลายสมัย
ยืนอยู่บนเนินเขาสูงทอดสายตามองออกไป เขาป๋อก็เหมือนกับกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน ทอดยาวติดกันหลายร้อยลี้ ปิดกั้นทางเหนือทั้งหมด
ท่ามกลางขุนเขามีเมฆหมอกปรากฏรางๆ กลิ่นอายดั้งเดิมแผ่ออกมาสุดลูกหูลูกตา
ตีนเขาคือพื้นที่ราบกว้างขวางแห่งหนึ่ง แม่น้ำปกคลุมอย่างหนาแน่น ที่นาถูกแบ่งเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ พืชผลการเกษตรที่แตกต่างกัน ก็มีสีสันที่แตกต่างกัน สีสันต่างๆ รวมเข้าด้วยกันเป็นภาพสีน้ำมันที่สวยวิจิตรตระการตา
ระหว่างทุ่งนากับพื้นที่ราบมีเงามนุษย์ที่ดูเหมือนมดตัวเล็กกำลังเร่งมือทำงานอยู่ บ้างก็ทอดแหจับปลา บ้างก็ทำการเพาะปลูก
กระท่อมหลังคาจากและบ้านดินแต่ละหลังกระจายอยู่ตามภูเขาและทุ่งนา ก่อตัวเป็นกลุ่มก่อสร้างที่มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ทิวทัศน์งดงามมาก ราวกับชนบทขนาดใหญ่ที่ไม่มีการแก่งแย่งช่วงชิงกับโลกภายนอก
มู่โถวที่มีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมกระแอมไอก่อนกล่าว “อะแฮ่ม!”
“พวกเรามาส่งแค่นี้ ยังต้องกลับไปลาดตระเวนต่อ”
เขาพูดด้วยภาษาราชการของที่ราบกลางที่ไม่ค่อยจะดีนัก
สวี่ชีอันได้ยินมานานแล้วว่า พ่อค้าทางตอนใต้ทำการค้ากับคนซินเจียงตอนใต้อยู่บ่อยๆ เช่นเครื่องเคลือบ ใบชา แพรต่วน เกลือ เหล็ก และสินค้าต้องห้ามอื่นๆ
ดูท่าจะเป็นจริงตามนั้น หากเผ่าพันธุ์กู่ไม่แก่งแย่งช่วงชิงกับโลกภายนอก คนที่นี่จะพูดภาษาราชการของที่ราบกลางได้อย่างไร
ถู่หลงที่แบกธนูพิจารณาลี่น่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขากล่าวด้วยคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยน้ำใสใจจริงและแฝงความหมายลึกซึ้ง
“กลับบ้านแล้วตากแดดให้มากๆ หน่อย ผิวขาวละเอียดแบบนี้น่าเกลียดจะตาย มิเช่นนั้นจะไม่มีคนยอมแต่งกับเจ้า”
กล่าวจบเขาก็มองมู่หนานจือทีหนึ่ง
‘มองข้าทำไม…’ มุมปากพระชายากระตุก รู้สึกว่าตนเองถูกกล่าวแฝงไปด้วย
แม้หน้าตาของนางจะธรรมดาพื้นๆ แต่ผิวหนังยังนวลเนียนเกลี้ยงเกลาอยู่
หลังจากบอกลาถู่หลงกับมู่โถวแล้ว กลุ่มคนสามคน สุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว และเด็กหนึ่งคนก็เดินตามทางที่ลาดเอียงไปด้านล่างจนเข้าสู่พื้นที่ราบ
ลี่น่าทักทายคนเผ่าลี่กู่ตามระหว่างทางอย่างเบิกบานใจ
“อาอาซัง ข้ากลับมาแล้ว”
“ลี่น่าหรือ ทำไมถึงขาวจนเป็นหญิงอัปลักษณ์เลย!”
“อาเฮยปา ข้ากลับมาแล้ว”
“ลี่น่ากลับมาแล้วหรือ คนข้างกายเจ้าผู้นี้คือทาสที่เจ้าชิงมาจากที่ราบกลางใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ เป็นสหายของข้า”
“ยายฉาน ข้ากลับมาแล้ว”
“คือลี่น่าหรือ ลี่น่ากลับมาแล้วนี่ ยายสายตาไม่ค่อยดี เจ้าเข้ามาใกล้หน่อย ยายจะบอกเจ้านะ เดิมทีเมื่อตอนต้นปียายอยากไปหาหัวหน้าเผ่าเพื่อพูดคุยเรื่องการหมั้น หลานยายยังไม่แต่งงาน พวกเจ้าเติบโตมาด้วยกัน…ช่างเถอะ ยายคิดว่าพวกเจ้าไม่ค่อยเหมาะสมกันมากนัก”
สวี่ชีอันสังเกตคนเผ่าลี่กู่อย่างเงียบๆ พวกเขาบางคนสวมชุดที่ทำจากผ้า บางคนสวมชุดทำจากหนังสัตว์ รูปร่างสูงใหญ่และกำยำกว่าคนที่ราบกลางมาก พวกเขาไม่ใช้ปศุสัตว์ไถนา แต่ใช้กำลังคน
พวกเขาแค่คนเดียวก็สามารถลากสินค้าประมงที่หนักหลายร้อยจินได้ คนเดียวก็สามารถแบกเรือลำเล็กๆ วิ่งไปมาได้
“ดูเหมือนคนจะน้อย…”
หวังจากสวี่ชีอันสังเกตดูแล้วก็แสดงความคิดเห็น
“ทุกคนต่างก็ไปล่าสัตว์หมดน่ะสิ” ลี่น่ากล่าวอย่างเศร้าใจ
“ซินเจียงตอนใต้ของพวกเราแห้งแล้ง ไม่ดีเหมือนที่ราบกลางของพวกเจ้าที่มีของกินมากมาย คนเผ่าลี่กู่ของพวกเรา แต่ละวันต้องทำงานเหนื่อยจนมืดค่ำเพื่อให้มีกิน แต่ก็ยังกินไม่อิ่ม”
ที่เศร้าใจไม่ใช่เพราะพวกเจ้ากินเก่งเกินไปหรอกหรือ…สวี่ชีอันไม่ได้พยายามโต้แย้ง ขณะที่เดินตามนางผ่านพื้นที่ราบ ก็มีบ้านเรือนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินก็กว้างขวางและราบเรียบมากขึ้น
พวกเขามาถึงกลุ่มสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สุดที่อยู่บนเขาป๋อ สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนชั้นสูงของเผ่าลี่กู่
บ้านของลี่น่าอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุดของกลุ่มสิ่งก่อสร้าง คือลานขนาดใหญ่ที่มีทางเข้าสองด้าน
บนขอบของลานขนาดใหญ่ยังมีกระท่อมมุงจาก และบ้านดินสร้างขึ้นติดกัน ตามที่ลี่น่าบอกไว้ คนที่พักอยู่ด้านในคือทาสรับใช้บ้านนาง
“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว…”
ลี่น่าส่งเสียงดังลั่น ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักกฎเอาเสียเลย
ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังเข้ามา พื้นดินสั่นสะเทือนตาม มนุษย์ยักษ์ที่สูงเก้าฉื่อผู้หนึ่งเดินออกมาจากในเรือน
คนผู้นี้สวมชุดและเสื้อคลุมยาวที่เย็บจากหนังสัตว์ สวมกางเกงยาวที่ทำจากผ้าป่าน เปลือยเท้าเปล่า ใบหน้าเหลี่ยมเล็กน้อย อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าที่ดูดุดันห่างไกลจากคำว่าประณีตมาก
ดวงตาเป็นสีครามเข้ม เส้นผมมองไม่ออกว่าหยิกโดยธรรมชาติหรือไม่ เพราะมีเพียงชั้นบางๆ ปกคลุมหนังศีรษะอยู่ คล้ายกับภิกษุเพิ่งสึกที่ผมเริ่มยาว
ร่างของเขาสูงใหญ่กว่าเทพอารักษ์สำนักพุทธมาก
ทุกย่างก้าวล้วนทำให้พื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย ราวกับไม่สามารถรับน้ำหนักของเขาได้
พอเห็นบุตรสาวที่กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ได้จากกันมานานนมกาเล หลงถูก็อึ้งไปชั่วขณะ หลังจากพยักหน้าแล้วก็กล่าวเสียงต่ำทุ้มด้วยความปลื้มใจ
“ดูท่าเจ้าคงประสบเรื่องราวมากมายในที่ราบกลาง ถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดินเช่นนี้”
กล่าวจบเขาก็กวาดสายตามองสวี่ชีอันและคนอื่นๆ และหยุดอยู่ที่สวี่หลิงอิน
“คนเหล่านี้คือทาสที่เจ้าจับมาหรือ”
“พวกเขาไม่ใช่ทาส เป็นสหายที่ข้ารู้จักในที่ราบกลางเจ้าค่ะ” ลี่น่าให้มือข้างหนึ่งจับศีรษะของเสี่ยวโต้วติง
“นี่คือศิษย์ที่ข้ารับมา”
‘ศิษย์…’ ดวงตาทั้งคู่ของหลงถูคมกริบในฉับพลัน กลิ่นอายราวกับอสูรร้ายยุคดึกดำบรรพ์ปกคลุมไปทั่วลานหน้า
………………………………………