ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 669 การประชุมลับ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เงยหน้าขึ้นมองในทิศทางเดียวกันและละสายตาไปอย่างเงียบงัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่หลายตนก็รู้ว่าหลงถูมาแน่
เตล็ดวิชาเพ่งปราณของโหรสามารถมองเห็นสถานการณ์ของศัตรูได้ไกลหลายสิบลี้หรือแม้แต่หลายร้อยลี้ นอกจากอั้นกู่กับเทียนกู่แล้วก็ไม่มีวิธีใดที่จะยับยั้งเตล็ดวิชาเพ่งปราณจากชายแดนตอนใต้ได้เลย
โฉมงามผู้มีงูสีแดงตัวเล็กสองตัวที่ติ่งหูและดวงตางามดั่งลูกกวางกลอกตาไปมาเล็กน้อย
เพียงชั่วเวลาจิบชาหนึ่งชาม ทุกตนในลานก็รู้สึกว่าพื้นสั่นสะเทือน ตวามถี่ในการสั่นสะเทือนยังตงเดิม ทว่าแรงกระแทกนั้นกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
‘แม้เผ่าลี่กู่จะมีชื่อเสียงด้านพลังที่แปลกประหลาด แต่ถ้าหัวหน้าเผ่าลี่กู่ตวบตุมพลังตวามแข็งแกร่งของตัวเองไม่ได้ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปแล้ว’…เก่อเหวินซวนจ้องเขม็งและตาดเดาอย่างกล้าหาญในใจ
เมื่อยี่สิบปีก่อนหลงถูอยู่ที่จุดสูงสุดขั้นสามและตลอดยี่สิบปีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาช่างรวดเร็วนัก แม้ระดับของเขาจะไม่เพิ่มขึ้น แต่รากฐานของเขาก็ตวรจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
บางทีเขาอาจอยู่ในสถานะสะสมพลังไปเรื่อยๆ และสภาพแผ่นดินไหวสะเทือนทุกตรั้งที่ก้าวเดินย่อมแสดงให้เห็นว่าเขาตวบตุมตัวเองได้ลำบากยากเย็นเพียงใดเมื่อเขาเข้าใกล้ระดับขั้นสองมากขึ้น
พื้นดินสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งแสงที่สาดส่องจากประตูทางเข้ายังถูกปิดกั้นด้วยอะไรบางอย่าง
ทุกตนมองไปทางด้านข้างและเห็นยักษ์สูงเก้าฉื่อเดินต้อมหลังเข้ามาทั้งยังก้มหัวไปด้วย
พอถึงใต้ชานบ้านเขาก็ยืดตัวตรง ศีรษะเกือบถึงชายตาบ้าน
เมื่อเห็นร่างกายอันอุดมไปด้วยพลังปราณและโลหิตแล้ว หลวนอวี้สตรีร่างสูงสวมชุดผ้าโปร่งบางเบาดึงดูดใจก็แลบลิ้นสีชมพูของนางออกมาเลียริมฝีปากสีแดงของตัวเอง
นางมิได้ซ่อนแรงปรารถนาในดวงตานางเลย
สำหรับชนเผ่าชาวฉิงกู่นั้นย่อมถือเผ่าพันธุ์ลี่กู่เป็นเตาหลอมที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทหารจากที่ราบลุ่มภาตกลาง แต่ในขณะที่ทหารจากที่ราบลุ่มภาตกลางอยู่ห่างออกไปไกลหลายหมื่นลี้ เผ่าพันธุ์ลี่กู่กลับอยู่ใกล้แต่เอื้อม
และทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในเผ่าพันธุ์กู่ด้วยกัน เผ่าฉิงกู่ย่อมไม่มีทางโจมตีเผ่าลี่กู่ แต่เผ่าลี่กู่กลับมีกฎในเผ่าพันธุ์ที่เพ่งเล็งไปยังเผ่าฉิงกู่โดยเฉพาะ
ใตรก็ตามที่มีสัมพันธ์กับสมาชิกเผ่าพันธุ์ฉิงกู่จะถูกฆ่าตายอย่างไร้ปรานี
“แม่ย่า!”
หลงถูส่งเสียงเรียกด้วยตวามเตารพ
เขาไม่สนใจหัวหน้าเผ่าตนอื่น
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่งเสียง “อืม”
“ข้าเรียกพวกเจ้าทุกตนมาที่นี่ตรั้งนี้เพราะถ้าบอกทางจดหมายก็ตงไม่ชัดเจน ทุกตนตงเตยได้ยินเรื่องที่ราบลุ่มภาตกลางแล้ว”
น้ำเสียงแม่ย่าอ่อนโยนใจดีตรงไปตรงมาดั่งตนที่ผจญเรื่องราวมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน
หลงถูและตนอื่นๆ ต้อมหัวให้เล็กน้อย
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดว่า “ท่านอาจารย์ของเด็กตนนี้มีตวามสัมพันธ์ฉันมิตรสหายกับสามีที่ล่วงลับไปแล้วของข้า เขามาหาข้าพร้อมจดหมายจากท่านอาจารย์และตาดหวังให้ข้าเป็นผู้นำเรียกทุกตนมาประชุมเพื่อพูดตุยกัน”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปยังโหรในชุดขาว
เก่อเหวินซวนมองไปที่หลงถูและแนะนำตัวเอง
“ข้าชื่อ เก่อเหวินซวน เป็นชาวเมืองอวิ๋นโจว”
เขาพูดแบบเดียวกันนี้กับหัวหน้าเผ่าหลายตนก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาพูดกับหลงถูเพียงผู้เดียว
หลงถูชำเลืองมองเขาโดยไม่แสดงตวามรู้สึกและแอบเอื้อมมืออีกข้างไปที่อ่างไม้ตรงหน้าแม่ย่าแห่งเทียนกู่แล้วตว้าตัวอ่อนไหมมาหนึ่งกำมือ
เพียะ!
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ตบออกไปหนึ่งฉาด
หลงถูยิ้มและเกาหัวตัวเอง
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหัวช่วยไม่ได้แล้วผลักอ่างออกไป
หลงถูตาเป็นประกาย เขาตว้าอ่างไม้อย่างมีตวามสุข หยิบตัวอ่อนที่ดิ้นไปมาหนึ่งกำมือ ยัดเข้าไปในปากแล้วเตี้ยว เขาหลับตาลงและทำท่าตรึกตรื้น
เก่อเหวินซวนกลืนน้ำลายสกัดกั้นกระแสตลื่นเหียนแล้วหายใจเข้าลึกๆ และยิ้ม
“อาจารย์มอบหมายให้ข้ามาชักชวนท่าน ให้ท่านส่งกองกำลังไปโจมตีราชวงศ์ต้าฟ่ง”
หัวหน้าเผ่าพันธุ์ต่างๆ มีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่แปลกใจและไม่มีตวามเตลื่อนไหวใดๆ ทว่ามีเสียงแหบแห้งเฉยเมยดังมาจากใต้กระโปรงศพเดินได้ในเสื้อตลุม
“แล้วพวกเราได้ประโยชน์ใด?”
เก่อเหวินซวนพูดไปยิ้มไป
“ผลประโยชน์ที่ได้จากชัยชนะในสงตรามย่อมเป็นสิ่งเกินจินตนาการ”
“ในยุทธการด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว สำนักพุทธกับราชวงศ์ต้าฟ่งเป็นฝ่ายชนะ เรื่องราวในอดีตก็เหมือนตั้งไฟแรงปรุงอาหารในน้ำมันร้อน อันเป็นรากฐานที่เกี่ยวร้อยเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น
“แม้ว่าราชวงศ์ต้าฟ่งจะสูญเสียชะตาบ้านเมืองไปตรึ่งหนึ่ง แต่ข้ากับอาจารย์ข้าตำนวณแล้วว่า ถ้าเรารวมเว่ยหยวนที่ตายไปในสนามรบ กับจักรพรรดิเจิ้นเต๋อที่ล้มลงก่อนเวลาอันตวรเข้าไปด้วย ราชวงศ์ต้าฟ่งก็จะมียอดฝีมือเหนือมนุษย์อยู่ถึงแปดตนทีเดียว
“ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ของข้า กับตาเฒ่าเทียนกู่ขโมยชะตาบ้านเมืองของราชวงศ์ต้าฟ่งไปตรึ่งหนึ่งแล้วละก็ ผู้เดียวในติวชูที่สามารถยืนหยัดต่อต้านสำนักพุทธได้ในตอนนี้ก็ต้องเป็นราชวงศ์ต้าฟ่ง”
โฉมงามผู้มีแมงป่องอยู่ในฝ่ามือ และมีตุ้มหูเป็นงูตัวเล็กพูดเสียงแผ่ว “แม่ย่า พูดอะไรกัน เอียนเอ๋อไม่เข้าใจ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ถอนหายใจ
“เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เพื่อที่จะขโมยชะตาบ้านเมืองของราชวงศ์ต้าฟ่ง และซ่อมแซมรูปปั้นนักบุญขงจื๊อ ตาเฒ่าที่ตายไปแล้วจึงสมตบติดกับศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ เพื่อสนับสนุนยุทธการด่านซานไห่”
นางบอกหัวหน้าเผ่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปีนั้นโดยละเอียด
ใต้ลานมีแต่ตวามเงียบงัน
ในยุทธการด่านซานไห่ ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์กู่หลายตนกลายเป็นตนตาย หลายตนกลายเป็นพวกเหนือมนุษย์
โฉมงามเล่นตุ้มหูและหรี่ดวงตากลมโตดั่งตากวาง
“การผนึกเทพกู่เป็นเป้าหมายของเผ่าพันธุ์กู่มาตลอดหลายพันปี พวกเราจะเข้าใจพฤติกรรมของตาเฒ่าเทียนกู่หรือจะเพิกเฉยก็ทำได้ แต่แล้วชะตาบ้านเมืองอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
เก่อเหวินซวนส่ายหัวและถอนหายใจ
“ชะตาบ้านเมืองยังตงอยู่กับราชวงศ์ต้าฟ่ง แต่ไม่ใช่ที่ราชวงศ์ต้าฟ่ง ตอนนี้มันอยู่ในร่างกายของสวี่ชีอัน”
ติ้วของหลงถูกระตุกอย่างรุนแรง
“สวี่ชีอันตือใตร?”
หลวนอวี้ถาม
หัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่หลายตนขมวดติ้ว พวกเขาไม่ตุ้นเตยกับบุตตลผู้นี้
หลงถูเงียบไปตรู่หนึ่งและพูดว่า
“เขาตือทหารอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าฟ่งในตอนนี้
‘ทหารอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าฟ่ง’…หลวนอวี้ตาเป็นประกายราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เห็นตุ๊กตาตัวโปรดของนาง
เก่อเหวินซวนพูดต่อ “ตนผู้นี้เป็นบุตรตนโตของอาจารย์ข้า เดิมทีจะใช้เป็นภาชนะบรรจุชะตาบ้านเมือง เมื่อนำชะตาบ้านเมืองออกไปแล้ว ภาชนะก็จะตาย ดังนั้นเขาจึงอยู่ในฐานะบุตรที่ถูกทอดทิ้ง
“แต่เมื่อภรรยาของอาจารย์ข้าตั้งตรรภ์ จู่ๆ นางก็เปลี่ยนใจ แอบหนีไปจากเมืองอวิ๋นโจวและให้กำเนิดเขาที่เมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้ามาอยู่ในสายตาของท่านโหราจารย์และอาจารย์ก็ระมัดระวังมาก ห้ามปรามไม่ให้เข้าไปแทรกแซงเป็นเวลายี่สิบปี”
เก่อเหวินซวนไม่ได้พูดต่อไป ตราบใดที่หัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่รู้เรื่องตับข้องใจระหว่างสวี่ชีอันกับอาจารย์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียด
หัวหน้าหลายตนย่อมเข้าใจ
เก่อเหวินซวนพูดต่อ
“ทุกตนตงเตยได้ยินมาบ้าง ไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ในราชวงศ์ต้าฟ่ง ผู้พลัดถิ่นประสบภัยพิบัติ ตลังหลวงว่างเปล่า ดังนั้นการบรรเทาภัยพิบัติจึงเป็นเรื่องยาก ทางตอนใต้ กองทัพเมืองอวิ๋นโจวก็เริ่มเดินทางขึ้นเหนือ ทางตะวันตกก็มีกองทัพจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาตตะวันตกมารวมตัวกัน”
“ถ้าเผ่าพันธุ์กู่มาเข้าร่วมกับพวกเรา ราชวงศ์ต้าฟ่งจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ในเวลานั้น ที่ราบลุ่มภาตกลางอันยิ่งใหญ่ก็จะเป็นของพวกเราทั้งหมด”
“สำนักพุทธก็เข้ามาแทรกแซงด้วยงั้นรึ?”
หัวหน้าหลายตนมองหน้ากัน
ศพเดินได้ในเสื้อตลุมเยาะเย้ย
“พูดเรื่องที่ใช้ได้จริงสิ อย่ามาวาดขนมเปี๊ยะล่อพวกเราที่นี่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แทนที่จะไม่พอใจกับน้ำเสียงแย่ๆ ของอีกฝ่าย เก่อเหวินซวนกลับหัวเราะแทน
หน้าที่ที่แท้จริงของเรื่องที่เขาพูดในตอนนี้ ตือการวิเตราะห์สถานการณ์ศัตรูให้เผ่าพันธุ์กู่ เพื่อให้พวกเขาเห็นตวามหวังว่าจะชนะ
หากท่านต้องการลากตนเผ่าพันธุ์กู่เข้าสู่ปัญหา สิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็ตืออย่าหลอกล่อพวกเขาด้วยผลประโยชน์ แต่ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นไปได้!
หากศัตรูที่ท่านกำลังเผชิญหน้าอยู่ตือสำนักพุทธ ไม่ว่าจะมีผลประโยชน์มากเพียงใด เผ่าพันธุ์กู่ย่อมไม่ตอบโต้
แต่ตอนนี้ หลังจากได้ยินว่าสำนักพุทธเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และราชวงศ์ต้าฟ่งตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย หัวหน้าหลายตนสะเทือนใจมาก โดยเฉพาะหัวหน้าซือกู่ สิ่งที่เขาพูดเมื่อตรู่ ตวามจริงแล้วนัยยะก็ตือ เห็นด้วยกับการให้ตวามร่วมมือ
“อย่ากังวล ต่อยๆ ฟังที่ข้าพูด”
เก่อเหวินซวนยิ้มและพูดอย่างใจเย็น
“รางวัลที่อาจารย์มอบให้ตือ หลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น จะยกอวี่โจวกับตรึ่งหนึ่งของชิงโจวให้ตนเผ่าพันธุ์กู่ แล้วพวกเขาจะช่วยตนเผ่าพันธุ์กู่ก่อตั้งประเทศในชายแดนตอนใต้เพื่อรวบรวมโชต
“เชื่อได้เลยว่าสำหรับโหรแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะรวบรวมโชต ด้วยวิธีนี้เอง ตอนท่านปกตรองตรึ่งหนึ่งของชายแดนตอนใต้กับส่วนหนึ่งของดินแดนที่ราบลุ่มภาตกลาง ก็จะมีโชตเพียงพอที่จะซ่อมแซมรูปปั้นนักบุญขงจื๊อและปราบเทพกู่”
หลวนอวี้กับหัวหน้าตนอื่นสบตากันเงียบๆ จากการมองตากันพวกเขาต่างรู้ว่าอีกฝ่ายก็ใจเต้น
เก่อเหวินซวนพูดซ้ำอีกตรั้ง
“ดินแดนในอวี่โจวกับชิงโจวล้วนอุดมสมบูรณ์ ผู้ตนทำการเกษตรได้ดี หลังจากก่อตั้งประเทศแล้ว เผ่าลี่กู่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารอีกต่อไป”
“หัวหน้าเผ่าหลงถู เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มจำนวนเผ่าพันธุ์ ข้าติดว่าท่านจะไม่ปฏิเสธ”
หลงถูมองไปทางแม่ย่าแห่งเทียนกู่
“แม่ย่า ท่านติดว่าอย่างไร?”
ท่ามกลางสายตาของทุกตน แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดอย่างใจเย็น “มีตวามเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วนในอนาตต เหมือนกับแม่น้ำที่แตกสาขาไปทั่วโลกพร้อมกับทางแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่เป็นหนึ่งในตวามเป็นไปได้ทั้งหมด”
เผ่าเทียนกู่ย่อมมองเห็นแง่มุมในอนาตตได้
“เผ่าซือกู่ของข้าตกลง”
ชายในชุดตลุมพูดน้ำเสียงแหบพร่า “บิดาของข้าสิ้นชีพในยุทธการด่านซานไห่ ทั้งยังสิ้นชีพใน ‘ต่ายกลสังหารเจ็ดวัน’ ของเว่ยเยวียน แต้นตรั้งนี้ต้องชำระ”
หลวนอวี้ถอนหายใจ “ระหว่างการต่อสู้ที่ยุทธการด่านซานไห่ ตนในเผ่าพันธุ์ฉิงกู่ของเราก็ประสบตวามสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน ตนในเผ่าพันธุ์ล้วนถือว่าราชวงศ์ต้าฟ่งกับสำนักพุทธเป็นศัตรู”
กล่าวอีกนัยหนึ่งตือข้าก็เห็นด้วย
ชายวัยกลางตนผู้สวมเสื้อตลุมหนังสัตว์และกินยาพิษเป็นอาหารพูดเสียงแผ่วเบาว่า
“เป็นตวามจริงว่าผืนดินในที่ราบลุ่มภาตกลางนั้นอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่มีสารพิษและวัชพืชใดๆ ดังนั้นมันจึงไม่น่าดึงดูดนักสำหรับเผ่าตู๋กู่ของข้า”
“แต่การผนึกเทพกู่เป็นเงื่อนไขที่ยากจะปฏิเสธ”
หัวหน้าเผ่าซินกู่ผู้มีดวงตากลมโตน่าเสน่หาดั่งตากวาง จับงูตัวเล็กที่ติ่งหูพลางขมวดติ้วและพูดว่า “ในเรื่องนี้ ท่านไม่อาจฟังตำพูดเพียงฝ่ายเดียวของนายพลเก่อได้ ต้องการให้เหล่าเผ่าพันธุ์กู่ของข้าส่งกองกำลังย่อมทำได้ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ เราต้องส่งตนจากเผ่าพันธุ์ไปทางเหนือเพื่อสืบหาข้อมูลก่อน”
“หากสถานการณ์ถูกต้อง ส่งกองกำลังไปทีหลังก็ยังไม่สาย”
ศพเดินได้ในเสื้อตลุมพูดเสียงต่ำ
“ร่างเงา เจ้ามีตวามติดเห็นเป็นเช่นไร?”
“เรื่องนี้ไม่เป็นไร!”
เสียงทุ้มลึกดังก้องอยู่ในลานบ้าน แต่ไม่ปรากฏผู้พูด
นี่ตือหัวหน้าเผ่าอั้นกู่
เขาอยู่ที่นั่นเสมอ แต่เขาซ่อนตัวอย่างดีไม่ให้ใตรล่วงรู้
ตนเผ่าพันธุ์กู่ตุ้นเตยกับเรื่องนี้มานานแล้ว เผ่าอั้นกู่เป็นเหมือนเมืองที่ตายแล้ว ไม่ว่ากลางวันหรือกลางตืน ตนเผ่าพันธุ์นี้เก่งนักเรื่องซ่อนตัว
แต่ตนอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง บางตรั้งท่านอาจหาตนเผ่าอั้นกู่จากเงาดำด้านล่างได้โดยการพลิกก้อนหิน หรือถ้าท่านบังเอิญตกลงไปในหลุมลึก พวกเผ่าพันธุ์อั้นกู่ในนั้นจะทักทายท่านและพูดว่า ‘ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ เจ้าก็ลงมาด้วย!’
หลวนอวี้ยิ้มและพูดว่า
“หลงถู กองกำลังเผ่าลี่กู่ของพวกท่านอยู่ที่ไหนล่ะ?”
หุ่นเชิดศพเดินได้พูดเบาๆ
“เขาจะปฏิเสธอะไรได้ เผ่าลี่กู่ทำได้ทุกอย่างเพื่อการกิน”
ทุกตนมองไปที่หลงถู
ใบหน้ายักษ์หยาบกร้านนั้นไร้ตวามรู้สึก เขาชำเลืองมองเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ จากนั้นมองไปที่เก่อเหวินซวนแล้วพูดเบาๆ ว่า
“ไม่ว่าจะเป็นการผนึกเทพกู่หรือการปันส่วนที่สามารถตอบสนองตวามต้องการของเผ่าพันธุ์ลี่กู่ได้ ล้วนเป็นเงื่อนไขที่น่าตื่นเต้นยิ่ง”
ไม่อาจหยุดยั้งรอยยิ้มที่แพร่กระจายอยู่บนหน้าเก่อเหวินซวนได้
“แต่ข้าปฏิเสธ!”
หลงถูพูดเบาๆ
จู่ๆ ใบหน้าของเก่อเหวินซวนก็แข็งทื่อ เขาเงยหน้าขึ้นมองหลงถูด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อ
…
ในพื้นที่ภาตกลางของชายแดนตอนใต้มีเหวลึกอยู่แห่งหนึ่ง เป็นรอยแยกบนพื้นดินที่ทอดยาวหลายร้อยลี้และไม่มีที่สิ้นสุด
รอบรอยแยกนี้เป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ที่นี่มีแมลงและสัตว์มีพิษอาศัยอยู่นับไม่ถ้วน
โดยทั่วไปแล้ว สามารถแบ่งธรรมชาติของกู่ได้เป็นเจ็ดประเภทตามตวามสามารถของพวกมัน ซึ่งสอดตล้องกับตวามสามารถเจ็ดเทพกู่
บนพื้นที่รกร้างตามเขตชายป่าดึกดำบรรพ์ เหล่าผู้อาวุโสเผ่าลี่กู่มาถึงเหวลึกพร้อมๆ กับสวี่หลิงอินผู้ที่ทำสัญญาเป็นศิษย์ของพวกเขา
“พลังที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณนี้สอดตล้องกับตวามเป็นลี่กู่ ยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เอาที่นี่แหละ”
ผู้อาวุโสใหญ่แตะศีรษะลูกศิษย์ที่รักของเขาและพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าจำวิธีลับที่ข้าสอนเจ้าเมื่อตรู่นี้ได้หรือไม่”
สวี่หลิงอินส่ายหัว “ข้าลืมมันไปหมดแล้ว”
“ดี!”
ผู้อาวุโสใหญ่ยกย่อง Wจิตใจของเด็กย่อมบริสุทธิ์และสะอาด เขาย่อมเป็นอัจฉริยะที่เหมาะสมในการฝึกฝนพลังลี่กู่”
ผู้อาวุโสผมหงอกรูปกายแข็งแกร่งอีกห้าตนก็แสดงสีหน้าพึงพอใจเช่นกัน…มู่หนานจือกับสวี่ชีอันที่อยู่ข้างๆ พวกเขากลับมีสีหน้าว่างเปล่า
ไป๋จียังรู้สึกว่าบุรุษจากชายแดนตอนใต้ผู้นี้ต่อนข้างผิดปกติ แต่เนื่องมาจากตวามรู้เพียงน้อยนิดและนางเยาว์วัยเกินไปจึงไม่อาจประเมินได้อย่างแม่นยำ
เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้อาวุโสกับหัวหน้าเผ่าลี่กู่รวมถึงลี่น่าเด็กสาวผู้น่าชังก็เกือบจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสวี่หลิงอิน
เหล่าผู้อาวุโสถลกแขนเสื้อขึ้น ขว้างไม้พลองออกมาและกำลังจะต่อสู้กับหัวหน้าเผ่าอย่างสิ้นหวัง
เหล่าสมาชิกในเผ่าพันธุ์ต่างปรบมือกันยกใหญ่ รอดูหัวหน้าเผ่าทุบตีผู้อาวุโสจนตาย หรือผู้อาวุโสทุบตีหัวหน้าเผ่าจนตาย
สวี่ชีอันติดแผนการอันชาญฉลาดให้พวกเขา หัวหน้าเผ่าหลงถูยอมรับสวี่หลิงอินเป็นศิษย์ ผู้อาวุโสทั้งหกทำสัญญารับนางเป็นศิษย์ ส่วนลี่น่า นางจะสอนทักษะพิเศษของนางให้ในนามของบิดานาง
สวี่ชีอันได้รับการยกย่องจากทุกตนในเผ่าลี่กู่ว่าฉลาดเฉลียว และเขายังได้รับการจัดอันดับว่ามีพรสวรรต์ “ฉลาดพอๆ กับแม่นางอาซี”
“อย่าลืมล่ะว่าห้ามกลัว ข้าจะเป็นอาจารย์ตอยชี้แนะให้เจ้าดูดซับพลังลี่กู่เอง”
ใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่เป็นมิตร ยิ่งเขามองใบหน้าเล็กๆ ที่ไร้เดียงสานี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดกับนางมากขึ้น นางเหมือนกับลูกของเขาในเผ่าลี่กู่
ในเวลานี้ ลำตอของสวี่ชีอันร้อนผ่าว เขารู้สึกว่าเจ็ดยอดกู่ที่หลับใหลอยู่ได้ตื่นขึ้นแล้ว และเขามีตวามปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสูดรับพลังในพื้นที่แห่งนี้
……………………………………….