ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 67 การวิเคราะห์คดี
เมืองหลวงมีมณฑลสองแห่งผนวกเข้าด้วยกันคือไท่กังและฉางเล่อ
ซ่งถิงเฟิงกางสำนวนคดีอ่าน สวี่ชีอันและจูกว่างเสี้ยวยืนขนาบข้างซ้ายขวา และจดจ้องไปที่สำนวนคดี
สำนวนคดีมีเนื้อหาดังนี้
ทางเหนือของมณฑลไท่กังมีภูเขาต้าหวง ยอดเขาหลักสูงหนึ่งพันกว่าเมตร เทือกเขาทอดยาวสิบกว่าลี้[1] ข้างในเต็มไปด้วยปูนขาว[2]ที่หล่อเลี้ยงตระกูลฮุยหลายพันคนในบริเวณรอบๆ ตระกูลฮุยก็คือช่างฝีมือที่เก็บและผลิตปูนขาว ตั้งแต่กลางปี แม่น้ำในเขตภูเขาต้าหวงมีปีศาจตัวหนึ่งโผล่ออกมา มันมักจะขึ้นฝั่งมากินคนเป็นๆ มีคนตระกูลฮุยไม่น้อยที่ถูกปีศาจกิน
“ขาดรายละเอียด…” เมื่อสวี่ชีอันมือฉมังด้านการสืบสวนอ่านสำนวนคดีจบ เขาก็ตัดสินออกมา
นี่น่าจะเป็นคดีที่เพิ่งได้รับรายงานมา ดังนั้นจึงต้องการให้พวกเราไปตรวจสอบ และเกลาสำนวนคดี
หลี่อวี้ชุนมองทั้งสามคน และพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สวี่หนิงเยี่ยน กระชับดาบพกขึ้นสองนิ้ว ตำแหน่งที่ติดฆ้องทองแดงไม่ตรง เบี้ยวไปทางซ้ายหนึ่งนิ้ว”
…บ้าไปแล้ว เจ้าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำระยะสุดท้ายหรือไง สวี่ชีอันคิด แต่พูดว่า “ขอรับ!”
เมื่อเดินออกจากห้องชุงเฟิง เพิ่งจะข้ามธรณีประตู สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าเหยียบโดนก้อนบางอย่างกะทันหัน เขาก้มลงไปเก็บขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่จู่ๆ ก็แข็งทื่อไป
ตำลึงเงิน…หนักมาก
“ไปกันเถอะ” ซ่งถิงเฟิงหันไปเร่ง
“โอ้ ได้” สวี่ชีอันเก็บเศษเงินเข้าไปในอกเสื้อ และก้าวตามไป
…
ภายในห้อง หลี่อวี้ชุนหยิบถุงเงินที่ใส่ไว้ในกล่องออกมา และห้อยไว้ที่เอว เขากำลังจะออกประตูไป ก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก
เปิดถุงเงินเทเศษเงินกองหนึ่งออกมา นับอย่างละเอียด และขมวดคิ้วเป็นปม “ข้าทำหายสามตำลึงเงิน…”
ในฐานะคนที่ถูกสหายร่วมงานเยาะเย้ยว่า ‘หน้าเงิน’ เงินสามตำลึงก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดจนถึงฟ้ามืด
ทั้งสามคนอยู่ด้านนอกที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เห็นมือปราบของเมืองจิงจ้าว ซึ่งมีสามคนเช่นกัน คนที่เป็นผู้นำคือผู้หญิง และอีกสองคนที่เหลือก็ดูหนุ่มกว่าเล็กน้อย
เมืองจิงจ้าวเรียกกันทั่วไปว่าที่ว่าการเมือง
เครื่องแบบของมือปราบทั้งสามคนแตกต่างกับเครื่องแบบมือปราบของสวี่ชีอันไม่มาก สีดำจรดเท้า ตรงขอบปกเสื้อกับแขนเสื้อเป็นสีแดง
สิ่งที่ปักตรงหน้าอกไม่ใช่คำว่า ‘จับ’ แต่เป็นสัตว์รูปร่างคล้ายเสือในตำนานที่น่าเกรงขาม
ระดับหลอมปราณหนึ่งคน ระดับหลอมจิตสองคน…สวี่ชีอันสังเกตทั้งสามคนอย่างเงียบๆ
หญิงสาวที่เป็นผู้นำประสานมือคำนับ และพูดว่า “ใต้เท้าทั้งสาม ข้าน้อยหลี่ว์ชิง ข้าสั่งให้คนนำม้าไปที่ประตูเมืองแล้ว พวกเราขึ้นรถม้าแล้วค่อยคุยกันเถิด”
การขี่ม้าคือการรีบเดินทาง การนั่งรถม้าคือการให้พื้นที่ทุกคนพูดคุยเรื่องต่างๆ โดยไม่เสียเวลา
สถานะของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นสูง เมื่อเจ้าหน้าที่จับกุมของที่ทำการปกครองอื่นเห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็จะยอมก้มหัวให้เป็นปกติ ทว่าถึงแม้หญิงสาวระดับหลอมปราณคนนี้จะเรียกใต้เท้า แต่กิริยาท่าทางก็ไม่ได้ถ่อมตนหรือดื้อดึง
รถม้าขนาดใหญ่จอดอยู่ริมถนน เข้าไปนั่งหกคนก็ยังไม่แออัดเกินไป
สามคนจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน และอีกสามคนจากที่ว่าการเมืองก็นั่งอีกฝั่งหนึ่ง แยกกันอย่างชัดเจน
ซ่งถิงเฟิงแนะนำตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วก็แนะนำจูกว่างเสี้ยวกับสวี่ชีอัน
“คนนี้พวกเจ้าน่าจะไม่คุ้นเคย ตอนคดีเงินภาษีเขาถูกขังอยู่ที่ที่ว่าการเมือง”
มือปราบสามคนของเมืองจิงจ้าวพินิจสวี่ชีอันอย่างถี่ถ้วน
หัวหน้ามือปราบหญิงที่เรียกตัวเองว่าหลี่ว์ชิงประสานมือคำนับ “ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
คดีเงินภาษีเป็นคดีที่ที่ว่าการเมืองจัดการ ในฐานะหัวหน้ามือปราบของที่ว่าการเมือง นางจำสวี่ชีอันได้
ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าคนคนนี้ค่อนข้างมีความสามารถ จึงโน้มน้าวท่านผู้ว่าราชการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ดึงเขาเข้ารับราชการที่ที่ว่าการเมือง…
เมื่อหลี่ว์ชิงเห็นสวี่ชีอันกลายเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล นางก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
สวี่ชีอันพูดคำที่ถ่อมตัวสองสามคำด้วยรอยยิ้ม และลอบมองหัวหน้ามือปราบสาว
ผู้หญิงเป็นหัวหน้ามือปราบหายากมาก
ผู้หญิงในราชวงศ์ต้าฟ่งไม่ได้ถูกเลี้ยงดูในห้องทุกคน สำหรับหญิงสาวที่มีพรสวรรค์สูงมาก ที่ทำการปกครองแต่ละแห่งจะให้การอบรมอย่างแน่นอน
หัวหน้ามือปราบสาวคนนี้หน้าตางดงาม อายุประมาณสามสิบต้นๆ คิ้วหนากว่าผู้หญิงทั่วๆ ไป มาดเท่ดุดัน
ภายในเรือนร่างอันงดงามเผยให้เห็นความปราดเปรียวราวกับเสือดาวตัวเมีย หน้าอกนูนจึงน่าจะสวมชุดชั้นในที่รัดหน้าอก
พูดไปแล้ว จนถึงตอนนี้สวี่ชีอันเพิ่งรู้ว่าเหตุใดจึงไม่ส่งต่อคดีเงินภาษีให้กรมอาญา แต่เป็นที่ว่าการเมืองกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลร่วมมือกันคลี่คลายคดี ตอนนั้นเขายังรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้
เพราะกรมอาญามีนอกมีในกับรองเจ้ากรมโจวแห่งกรมการคลัง และมีผู้สมรู้ร่วมคิด
รายละเอียดเหล่านี้ จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งจะกระจ่างแจ้ง
“เนื้อหาของสำนวนคดีดูเรียบง่ายและรายละเอียดส่วนใหญ่ก็ไม่ชัดเจน ที่ว่าการเมืองของพวกเจ้ารับช่วงต่อคดีมาก่อน พวกเรามาแลกเปลี่ยนกันเถิด” ซ่งถิงเฟิงพูด
“ปีศาจปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่”
“ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม” เสียงของหัวหน้ามือปราบสาวแหบเล็กน้อย น่าดึงดูดมาก
“มีคนเห็นรูปลักษณ์ของปีศาจชัดๆ หรือไม่” ซ่งถิงเฟิงถามอีกครั้ง
“แรกเริ่ม คนตระกูลฮุยในท้องถิ่นมักจะหายตัวไป เมื่อทุกคนออกตามหาก็พบรอยอุ้งเท้าของปีศาจกับคราบเลือดข้างๆ แม่น้ำ หลังจากนั้นคนตระกูลฮุยก็หายไปทีละคน รอยอุ้งเท้าที่ริมแม่น้ำก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ… หัวหน้าหมู่บ้านประจำท้องถิ่นรวมพลคนตระกูลฮุยหว่านแหในแม่น้ำ วางแผนจะตามล่าฆ่าปีศาจ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ แหถูกกัดขาดอย่างง่ายดาย…”
‘เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ!’ สวี่ชีอันคิดในใจ
ซ่งถิงเฟิงฟังจบ ก็ขมวดคิ้วและถามว่า “สิ่งที่ข้าสงสัยคือ เรื่องเกิดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม เหตุใดจึงเพิ่งมารายงานตอนนี้”
“ปีศาจกินเพียงแค่คนตระกูลฮุยที่เข้าไปในภูเขา ไม่ได้โจมตีหมู่บ้าน ดังนั้นตอนแรกนายอำเภอไท่กังจึงไม่ใส่ใจ จนถึงตอนนี้คนที่ตายเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงส่งเจ้าหน้าที่จับกุมไปร่วมกันตามล่าฆ่าปีศาจกับตระกูลฮุย แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา”
ตอนที่หลี่ว์ชิงกำลังพูดก็มองไปทางสวี่ชีอันเป็นระยะ แต่สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังคือ อัจฉริยะที่คลี่คลายคดีเงินภาษีคนนี้ ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
“หลังจากนั้นเกิดเหตุอีกสองสามครั้ง นายอำเภอไท่กังก็ไม่เต็มใจจะดูแลอีก หรืออาจพูดได้ว่าเมื่อการตรวจสอบข้าราชสำนักใกล้เข้ามา เขาไม่เพียงไม่จัดการคดีเท่านั้น กลับยังวางแผนระงับไว้อีก”
จูกว่างเสี้ยวพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เช่นนั้นเหตุใดจึงยังรายงาน”
หลี่ว์ชิงเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดว่า “เหล่าคนตระกูลฮุยไม่กล้าขึ้นภูเขาไปเผาถ่าน แต่ภาษีก็ยังต้องจ่าย จึงไม่มีวิธีอื่น พวกเขาอ้อมไปถนนไกลๆ เพื่อขึ้นภูเขา และหลีกเลี่ยงแม่น้ำ แต่สุดท้ายก็เกิดอุบัติเหตุ…คนกว่ายี่สิบคนที่เข้าไปในภูเขาเพื่อเผาถ่านครั้งนั้นไม่ได้กลับมาอีกเลย คนตระกูลฮุยละแวกนี้ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ จึงแจ้งมายังที่ว่าการเมือง”
ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวมองหน้ากัน และไม่ได้พูดอะไรอีก
ตุบๆ…
เวลานี้ สวี่ชีอันเคาะเก้าอี้ยาว มองไปทางทั้งสามคนจากเมืองจิงจ้าว และถามว่า “พวกเจ้ามีแผนที่ของภูเขาต้าหวงกับหมู่บ้านใกล้เคียงหรือไม่”
“มีสิ เมื่อคำนึงถึงระดับของปีศาจที่ไม่รู้จัก พวกเราวางแผนจะสอบสวนด้วยตัวเองก่อน ไม่พาตระกูลฮุยในท้องถิ่นไป เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งไม่อาจดูแลได้” หลี่ว์ชิงมองไปทางสหายร่วมงานที่นั่งข้างๆ สหายร่วมงานหยิบแผนที่ออกมาจากในห่อผ้าที่พกติดตัวไว้
สวี่ชีอันรับแผนที่ไป และคลี่ออกช้าๆ นี่คือแผนที่ภูมิประเทศของภูเขาต้าหวง
หลังจากดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็พูดว่า “ข้ามีการคาดเดาอย่างหนึ่ง ข้าคิดว่าควรจะบอกให้พวกเจ้ารู้”
ทุกคนในรถม้ามองมา ซ่งถิงเฟิงหรี่ตาด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของหัวหน้ามือปราบสาวเป็นประกายเล็กน้อย และนั่งตัวตรง “เชิญพูด”
สวี่ชีอันพูดว่า “มันโจมตีประชาชนอย่างมีหลักการ หรืออาจพูดได้ว่ามันมีจุดประสงค์อันแรงกล้าบางอย่าง บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ปีศาจก่อความวุ่นวายธรรมดาๆ”
หลี่ว์ชิงขมวดคิ้วอันงดงาม “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”
“แรกเริ่มมันกินแค่คนตระกูลฮุยที่เข้าใกล้ริมแม่น้ำ จากนั้นขอบเขตก็เริ่มขยายแผ่ออกไปด้านนอกทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ จนกระทั่งเข้าไปกินคนตระกูลฮุยในภูเขา นี่ไม่ใช่การล่าเหยื่อธรรมดาๆ”
“ประการแรก แม่น้ำที่ภูเขาต้าหวงสายนี้ทอดยาวไปหลายร้อยลี้ และภายในแม่น้ำไม่ขาดแคลนปลากับกุ้ง การเลือกอาหารของสัตว์ป่าตัดสินจากสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ความชอบส่วนตน หากรอบข้างไม่ขาดแคลนอาหาร มันจะไม่ตามหาไกล เพื่อกินของอร่อย มันจงใจเข้าไปในภูเขาเพื่อล่าประชาชน”
“ประการที่สอง หากมันเป็นปีศาจก่อปัญญา ซึ่งแตกต่างกับสัตว์ป่า ก็คือชอบกินคน เช่นนั้นมันก็จะไม่เมินเฉยหมู่บ้านใกล้เคียง แต่มันกลับไม่ทำ มันกินเพียงคนตระกูลฮุยที่เข้าไปใกล้ภูเขาต้าหวง”
“จากการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาและพฤติกรรม นี่เป็นแรงขับที่มีจิตใต้สำนึก”
‘จิตวิทยาและพฤติกรรม?!’ หลี่ว์ชิงถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “กำหนดอาณาเขตหรือ”
ไม่รอสวี่ชีอันตอบ ซ่งถิงเฟิงส่ายหน้า “ไม่ หากมันเป็นปีศาจก่อปัญญา มันคงไม่กำหนดอาณาเขตด้วยวิธีเช่นนี้ การกำหนดอาณาเขตที่ชานเมืองของเมืองหลวง ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย และหากมันเป็นเพียงสัตว์ป่าที่ดุร้าย มันจะไม่กระทำพฤติกรรมเช่นขับไล่คนตระกูลฮุย”
หลี่ว์ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รูม่านตาหดลงเล็กน้อย “ในภูเขาต้าหวงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันสนใจ”
ภายในรถม้าตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ
…………………………………………………
[1] ลี้ เป็นหน่วยวัดของจีน 1 ลี้มีความยาวเท่ากับ 500 เมตร
[2] ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน