ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 670 พลังของเทพเจ้ากู่
“หัวหน้าเผ่าหลงถู ท่านพูดอะไรนะขอรับ”
เก่อเหวินซวนเกือบจะแคะหูดูว่าตนเองมีปัญหาทางการได้ยินหรือไม่
เมื่อเขามาถึงซินเจียงตอนใต้ในฐานะผู้เจรจา อาจารย์ได้ให้ข้อมูลโดยละเอียดกับเขามาฉบับหนึ่ง ประกอบด้วยสถานการณ์ภายในเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ด จุดอ่อนและความชอบของเหล่าผู้นำเผ่าแต่ละเผ่า
ปัญหาใหญ่ที่สุดของลี่กู่คืออาหาร
คนในชนเผ่านี้กินจุ สมาชิกเผ่าแต่ละคนต้องกินอาหารในปริมาณถึงสิบเท่าของผู้ชายโตเต็มวัย หรือมากกว่านั้น
ทรัพยากรอาหารที่ขาดแคลน จำกัดทั้งประชากรเผ่าและการพัฒนาด้านอื่นๆ ในขณะที่เผ่าอื่นๆ อีกหกเผ่าอาศัยอยู่ในบ้านอิฐกันหมดแล้ว เผ่าลี่กู่ยังอาศัยอยู่ในบ้านดินเหลืองมุงจาก
ในขณะที่เผ่าอื่นสร้างถนน เทียมรถม้า ตีชุดเกราะ ทำเครื่องเหล็กกันนั้น เผ่าลี่กู่ยังมัวแต่คิดว่าจะขโมยม้าของคนในเผ่ากลับไปกินที่บ้านได้อย่างไร
เผ่าอื่นๆ สวมชุดผ้าไหม เผ่าลี่กู่ยังนุ่งห่มอาภรณ์ตัดเย็บจากหนังสัตว์ ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้จักวิธีการเลี้ยงหม่อนไหม แต่นั่นเป็นการเสียเวลาเปล่า
ดังนั้น ในสายตาของเก่อเหวินซวน การโจมตีต้าฟ่ง ปกครองผู้คนในภาคกลาง แล้วให้พวกเขาส่งส่วยผลิตอาหารมาป้อนพวกตน เป็นกลยุทธ์ต่างแดนที่ยั่งยืนที่สุดของลี่กู่
เผ่าลี่กู่มีทั้งแรงจูงใจและความต้องการในการเริ่มสงคราม เป็นผลให้แม้แต่ตู๋กู่ที่ไม่สนใจดินแดนที่ราบลุ่มภาคกลางยังตอบรับข้อเสนอ แต่ลี่กู่กลับปฏิเสธงั้นหรือ
มิใช่เพียงเก่อเหวินซวนเท่านั้นที่สับสน แม้แต่ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ทั้งหลายก็ยังประหลาดใจ คิดว่าตนหูฝาดไปหรือไม่
ตู๋กู่เอ่ยพึมพำกับตนเอง
“หลงถู เจ้าเผลอไปกินอาหารในเผ่าของข้าจนหมดหรือไร”
มนุษย์ศพในเสื้อคลุมเงยหน้าขึ้นในที่สุด จ้องมองหลงถูด้วยม่านตาขาวน่ากลัวอย่างสงสัย
“ข้าคิดว่าเขาคงจะหิวจนสับสนไป ใจคอพวกเจ้าเผ่าลี่กู่จะอยู่อาศัยในเขาป๋ออันคับแคบ ปล่อยให้ลูกหลานอยู่ในกระท่อมมุงจากไปตลอดกาลเลยหรือไร”
หัวหน้าเผ่าหญิงสองคนจากเผ่าฉิงกู่และซินกู่ไม่เอ่ยปากว่ากระไร คนหนึ่งแลบลิ้นเลียริมฝีปากแดงระเรื่อของตนด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกคนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ส่วนหัวหน้าเผ่าอั้นกู่ที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใดก็ไม่ปรากฏตัวและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาเช่นกัน
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เช็ดมือสองข้างกับผ้ากันเปื้อน และถามคำถามแทนทุกคน
“เป็นอะไรไปเล่า”
หลงถูกล่าว “ลี่น่ากลับมาแล้ว”
ดวงตาของแม่ย่าแห่งเทียนกู่พลันสว่างวาววับขึ้นมาทันที
หลงถูกวาดตามองเหล่าหัวหน้าเผ่าทั้งหลาย “นางพาสหายมาด้วย หนึ่งในนั้นมีนามว่าสวี่ชีอัน”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลงถูก็เห็นชายในชุดขาวสีหน้าเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน
สวี่ชีอัน…เหล่าหัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่เมื่อได้ยินชื่อนี้ก็มีปฏิกิริยาต่างกันออกไป
หัวหน้าเผ่าตู๋กู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังหวาดกลัวเล็กๆ
งูสองตัวเล็กๆ ที่เกี่ยวกระหวัดอยู่ที่ติ่งหูของหัวหน้าเผ่าซินกู่เหยียดตัวตรง ส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ใส่แม่ย่าแห่งเทียนกู่
นางสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นเล็กๆ ในใจของแม่ย่าแห่งเทียนกู่ แม้จะหายไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาหัวหน้าเผ่าซินกู่อย่างนางได้
‘จิตร่วม’ และ ‘ควบคุม’ เป็นความสามารถหลักของซินกู่
ดวงตาคู่งามของหลวนอวี้เป็นประกาย ในหัวของนางมีเพียงคำว่า ‘จอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง!’
หัวหน้าเผ่าซือกู่ ควบคุมมนุษย์ศพให้เอ่ยปากเสียงเย็นยะเยือก
“พวกเจ้าลองสังหารเขาดูสิ”
เก่อเหวินซวนดวงตาสว่างวาบขึ้นมา นี่เป็นโอกาสอันดีในการไล่ล่าสวี่ชีอัน
ต่ำกว่าขั้นหนึ่ง ไม่มีใครต้านทานการล้อมสังหารของยอดฝีมือเผ่าพันธุ์กู่ได้ ขั้นสองยังต้องเก็บกดความเคียดแค้นไว้
หากเขาสามารถชักจูงให้เผ่าพันธุ์กู่ซุ่มโจมตี และสังหารสวี่ชีอันได้ เขาอาจจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในซินเจียงตอนใต้ แบบที่อาจารย์ก็ไม่สามารถทำได้
หลงถูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น กวาดตามองผู้คนรอบข้างอย่างเย็นชา
“เจ็ดเผ่าพันธุ์กู่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน พวกเจ้าอยากจะโจมตีต้าฟ่ง เป็นเรื่องของพวกเจ้า”
“เพียงเพราะสวี่ชีอันเป็นสหายกับลูกสาวของเจ้าน่ะหรือ”
หัวหน้าเผ่าอั้นกู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเอ่ยถามด้วยสงสัย เสียงทุ้มต่ำดังก้องไปทั่วบริเวณลานบ้าน
“ไม่ใช่!” หลงถูคลี่ยิ้ม “ข้ารับศิษย์อัจฉริยะคนใหม่เข้ามา นางเป็นน้องสาวของสวี่ชีอัน”
“เพราะลูกศิษย์คนเดียวเนี่ยนะ?” หลวนอวี้เอ่ยถามด้วยเสียงกังวานใสน่าฟัง
คนทั้งกลุ่มจ้องมองหลงถูด้วยสายตาเหมือนจ้องมองคนโง่ คนของลี่กู่ไม่ค่อยฉลาดเฉลียวอยู่แล้ว แต่ไม่น่าจะโง่เง่าถึงขั้นนี้
การรับคนจากที่ราบลุ่มภาคกลางมาเป็นสาวกเดิมทีก็เป็นการกระทำที่ไร้สมองอยู่แล้ว ซ้ำยังผิดกฎข้อห้ามของเผ่าพันธุ์กู่อีกต่างหาก
แต่การละทิ้งแผนการพัฒนาเผ่าพันธุ์ เพื่อลูกศิษย์จากราบลุ่มภาคกลางนั้นเป็นเรื่องที่โง่เง่ายิ่งกว่า
หลงถูกล่าวเรียบๆ
“ในเมื่อพวกเจ้าฉลาดกันนัก เหตุใดไม่ลองไตร่ตรองดูเล่าว่าเหตุใดข้าถึงยอมฝ่าฝืนกฎ รับคนจากที่ราบลุ่มภาคกลางมาเป็นศิษย์ด้วย”
ใบหน้าหยาบกร้านเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“การพัฒนาเผ่าพันธุ์และการปลูกฝังผู้สืบทอดที่มีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานนั้นสำคัญพอกัน
“หากโจมตีต้าฟ่ง ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหลังจากโค่นล้มราชวงศ์ต้าฟ่งได้แล้ว จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายกันมากเพียงใด แล้วศิษย์เอกของท่านโหราจารย์นั่นจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้จริงหรือ แม้ว่าเขาทำได้ หลังจากพ่ายแพ้พวกเราก็ต้องคว้าน้ำเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่เราต้องแบกรับ เช่นเดียวกับการล่าสัตว์ เหยื่อที่ดูเจ้าเล่ห์เกินไป เราไม่ต้องการ
“สู้เอาเวลาที่เสียไปกับการล่ามัน ไปล่าเหยื่อที่ไม่ค่อยฉลาดได้อีกมากโข
“ดังนั้นข้าจึงเลือกวิธีอย่างหลัง นี่เป็นวิธีที่พอจะเห็นผล และยังไม่สุ่มเสี่ยงเกินไป”
หากเผ่าลี่กู่โจมตีต้าฟ่ง สวี่ชีอันย่อมต้องแตกหักกับเผ่าลี่กู่อย่างแน่นอน สวี่หลิงอิน ศิษย์ใหม่ที่รับเข้ามาก็ต้องถูกพรากไปในพริบตา
หลังจากผ่านไปราวๆ สิบวินาที เหล่าหัวหน้าเผ่าก็เริ่มเข้าใจความหมายแฝงที่เข้าสื่อ หลวนอวี้เอ่ยถามด้วยท่าทียากจะเชื่อ
“เจ้าจะบอกว่าลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่คนนั้น ต่อไปจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่จะมาคานอำนาจได้งั้นหรือ”
หลงถูหัวเราะอย่างภูมิอกภูมิใจ
“พรสวรรค์ของนางดีกว่าข้า ดีกว่าลี่น่าเสียด้วยซ้ำ”
ลี่น่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งอยู่แล้ว นี่หมายความว่าในภายภาคหน้า เผ่าลี่กู่จะมีเหนือมนุษย์ถึงสองคน
หากเพิ่มตนเองเข้าไป ก็กลายเป็นสามคน
เมื่อหลงถูคิดถึงอนาคตเช่นนั้น เลือดก็สูบฉีดด้วยความตื่นเต้น
เขาจะฉีกภาพอนาคตที่สวยงามลงกับมือได้อย่างไร
“พวกเจ้าอยากจะโจมตีต้าฟ่งก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า จะล้อมสังหารสวี่ชีอันข้าก็จะไม่ห้าม”
หลงถูพูดจบ ก็หันไปพยักหน้าให้กับแม่ย่าแห่งเทียนกู่ ค้อมศีรษะเดินออกไปจากลานบ้านเสีย
ทุกคนเฝ้ามองดูเขาจากไปเงียบๆ
เก่อเหวินซวนส่งเสียงกระแอมไอหนึ่งครั้ง และพยายามเกลี้ยกล่อม
“ท่านหัวหน้าเผ่าทุกท่าน สวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของต้าฟ่ง ทั้งยังเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการทำลายต้าฟ่งอีกด้วย หากสามารถสังหารเขาที่นี่ได้ การทำลายต้าฟ่งก็เหมือนดั่งตอกตะปูลงบนไม้กระดาน
“หากทำการใหญ่สำเร็จ อนาคตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมมิใช่หรือ”
คำพูดของเขามีความปลุกเร้าอย่างรุนแรง ไม่มีการปิดบัง
เก่อเหวินซวนเชื่อว่าเหล่าหัวหน้าเผ่าจะตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้อง คำพูดเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับกลุ่มที่เป็นกลางหรือเป็นพันธมิตร แต่เผ่าพันธุ์กู่และต้าฟ่งมีเรื่องบาดหมางกันอยู่
ตราบใดที่พวกเขายังชิงชังต้าฟ่ง ตราบใดที่พวกเขาตกลงว่าจะส่งกองกำลังให้ เวลานี้ก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะล้อมสังหารสวี่ชีอัน
เขาเชื่อว่าเหล่าหัวหน้าเผ่าต้องเข้าใจเรื่องนี้
ทันทีที่พวกเขาสังหารสวี่ชีอัน พวกเขาก็จะต้องเข้ามาอยู่บนกระดานหมากโดยสมบูรณ์ ต้องลงเรือลำเดียวกับข้าเท่านั้น…เก่อเหวินซวนลอบคิดในใจ
“ท่านหัวหน้าเผ่าซือโหยว ข้าลืมบอกท่านไป สวี่ชีอันผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของเว่ยเยวียน เป็นลูกน้องที่เว่ยเยวียนไว้ใจมากที่สุด”
เก่อเหวินซวนใส่ไฟ
คนในเสื้อคลุมก้มศีรษะลง เสื้อคลุมโป่งพอง กลิ่นอายเข้มข้นขึ้น
เก่อเหวินซวนมองไปทางหลวนอวี้ แล้วกล่าวยิ้มๆ
“สวี่ชีอันไม่เพียงแต่เป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง แต่ยังได้รับพลังเทพวชิระจากสำนักพุทธ มีสายเลือดพลังเทพวชิระ แม้ว่าจะยังเทียบกับเทพอารักษ์ไม่ได้ แต่ก็ห่างชั้นกันเพียงเล็กน้อย
“หัวหน้าเผ่าหลวนอวี้ ชายผู้นี้ล้ำค่ายิ่งกว่าทหารชั้นยอดนับแสนคนอีกนะขอรับ
“แม่ย่าแห่งเทียนกู่ ในกายของสวี่ชีอันมีชะตาบ้านเมืองที่สามีเก่าของท่านสละชีพเพื่อแลกมาอยู่ ในเมื่อสามีท่านไม่อยู่แล้ว ท่านก็จงชิงมันกลับมาเพื่อสามีของท่านเถิด”
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าเผ่าตู๋กู่ไม่ได้สนใจหรือกระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เก่อเหวินซวนก็ใจหายวาบ
“ท่านหัวหน้าเผ่าป๋าจี้ ท่านเคยได้ยินเรื่องเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดหรือไม่”
ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมเย็บด้วยหนังสัตว์ตัวแข็งทื่อทันที พร้อมเบิกตากว้าง
“เทพดอกไม้แห่งราชวงศ์ต้าโจวองค์นั้นน่ะหรือ”
เก่อเหวินซวนกล่าวเสริม
“สวี่ชีอันมีเบาะแสการกลับชาติมาเกิดของเทพดอกไม้องค์นั้นอยู่ หากข้าจำไม่ผิด เทพดอกไม้องค์นั้นน่าจะได้รับการอุปถัมภ์จากเขาอย่างลับๆ อยู่ที่ใดสักแห่ง”
ในวันเดียวกับที่พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือขึ้นเหนือ จี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่ว โหรที่เป็นสายให้กับเขาก็ฆ่าพระมเหสี และชิงพลังปราณสะสมของเทพดอกไม้มา
หลังจากวันนั้น พระมเหสีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่พวกเขารู้ว่าต้องถูกสวี่ชีอันผู้นั้นซ่อนตัวเอาไว้เป็นแน่
ป๋าจี้ หัวหน้าเผ่าตู๋กู่สูดหายใจหนักหน่วง
เทพดอกไม้เป็นเทพในหมู่มวลบุปผา มีอิทธิฤทธิ์ช่วยให้พืชพรรณเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อิทธิฤทธิ์ที่ว่านี้ส่งผลต่อวัชพืชพิษและผลไม้มีพิษด้วย
หากชิงตัวเทพดอกไม้กลับมาได้ และปล่อยให้นางปลูกวัชพืชพิษทุกวัน ชาวเผ่าตู๋กู่จะมีวัชพืชพิษคุณภาพสูงให้กินไม่รู้จักหมดสิ้น
“ข้าจะไปที่เผ่าลี่กู่เดี๋ยวนี้”
มนุษย์ศพในเสื้อคลุมกลับหลังหัน และเดินจากไปเงียบๆ
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ป๋าจี้ก็ลุกเดินตามมนุษย์ศพไป เขารอแทบไม่ไหวแล้ว
“พวกเจ้ารอข้าก่อนสิ”
หลวนอวี้บิดเอวคอดกิ่ว ยกกระโปรงขึ้น แล้วเดินตามไปพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
ฉุนเอียนบีบตัวงูที่ใบหูเบาๆ นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะลุกเดินตามไปอีกคน
เงาจากแสงดวงอาทิตย์ทอดทับผ่านเงาของฉุนเอียนไปแวบหนึ่ง
แม่ย่าแห่งเทียนกู่จ้องมองเก่อเหวินซวนก่อนจะถอนกายใจ
“ยายเฒ่าคนนี้ก็ขอร่วมสนุกด้วยคนก็แล้วกัน”
เก่อเหวินซวนยิ้มอย่างมั่นใจ เผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อเขาโน้มน้าวใจหัวหน้าเผ่าได้สามคนแล้ว เขาก็ไม่สนใจการต่อต้านของผู้อื่น
เผ่าพันธุ์กู่แบ่งปันทุกข์และสุข นี่เป็นจุดที่นำมาใช้ประโยชน์ได้
มีหลายครั้งที่คนกลุ่มน้อยต้องเอนเอียงตามคนกลุ่มมาก อย่าได้เห็นว่าเผ่าพันธุ์กู่ปากหนักเชียว ในยามที่หัวหน้าเผ่าพวกนี้เผชิญความเป็นความตาย เผ่าพันธุ์กู่เผชิญกับวิกฤตภัย เผ่าลี่กู่ก็ลุกขึ้นสู้ด้วย
“สวี่ชีอัน ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะทำลายหมากตานี้อย่างไร!”
เก่อเหวินซวนกดเสียงเอ่ย ในฐานะลูกศิษย์ขสวี่ผิงเฟิง เขาเชี่ยวชาญทั้งการประสานพันธมิตรทั้งน้อมสวามิภักดิ์[1]
“ต่อให้หลงถูไม่ลงมือ แต่ลำพังพลังต่อสู้ของเหล่าหัวเผ่าพันธุ์กู่ทั้งหกเผ่า ก็เพียงพอจะสังหารเขาได้สบายๆ หากทำไม่สำเร็จก็อย่าหวังว่าจะได้วางแผนขั้นต่อไป”
เก่อเหวินซวนพ่นลมหายใจออกมา ลุกขึ้นยืนต้านลม ก่อนจะบินออกไปจากลานบ้าน
…
“พร้อมหรือยัง”
นิ้วมือหยาบกร้านของหัวหน้าใหญ่จางแตะที่หลังคอของสวี่หลิงอิน
“พร้อมอะไร”
สวี่หลิงอินถามด้วยความงุนงง
…หัวหน้าใหญ่จางเงียบไปสักครู่หนึ่ง “จำไว้ว่าจงข่มอารมณ์ อย่าคิดวู่วาม แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าคว้าพลังของเทพเจ้ากู่มาเอง”
ผู้อาวุโสห้าคนที่คนเรียงรายอยู่ข้างๆ ต่างเอ่ยตักเตือน
“อย่าเพิ่งคิดถึงของกิน ใจเย็นๆ ปล่อยวางความคิด อย่าฟุ้งซ่าน จดจ่อกับความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย”
สวี่หลิงอินส่งเสียงร้อง ‘โอ้’ หนึ่งคำ ก่อนจะเริ่ม เพราะหิวนางจึงกินบะหมี่โร่วเกิงมาก่อน ตอนนี้ยังอิ่มแปล้อยู่
เมื่อเห็นนางตอบสนองอย่างมีความสุขเช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองหน้ากันอย่างเคร่งขรึม ไม่คลายความระแวง
ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกพวกเขาว่าคนของชนเผ่าลี่กู่ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องอาหารของวันนี้หรือพรุ่งนี้
สิ่งนี้ทำให้พลังของเทพเจ้ากู่ยุ่งเหยิง สร้างความเสียหายต่อร่างกายได้ ด้วยเหตุนี้ชาวเผ่าทั่วไปจึงต้องให้ผู้อาวุโสสะสางพลังของเทพเจ้ากู่อยู่ข้างกาย
“เริ่มกันเถิด!”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าว
ผู้อาวุโสพยักหน้า นิ้วมือที่แตะต้นคอของสวี่หลิงอินพองตัวและหนาขึ้น
บนผิวหนังอ่อนนุ่มที่ต้นคอของสวี่หลิงอิน มีร่างของหนอนโผล่ออกมา มันคือลี่กู่หลอมรวมเข้ากับกระดูกสันหลังของนาง เป็นลูกหนอนกู่ที่เกิดจากแม่หนอนกู่ของลี่น่า
ลูกกู่ตัวนี้ถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังปราณโลหิตจากผู้อาวุโส มันเขมือบพลังภายนอกอย่างตะกละตะกลาม
เมื่อเห็นดังนั้น ผู้อาวุโสก็ถอนมือออก แต่กู่เจ้าชะตาที่ตื่นขึ้นมาแล้วตัวนี้ยังกัดกินไม่หยุด มันเริ่มเบนเป้าหมายไปกลืนกินพลังของคนรอบข้างแทน
อีกด้านหนึ่ง รูปม่านตาของสวี่ชีอันเปลี่ยนเป็นแนวตั้งสีเขียวเหมือนแมลง
เขาเห็นสิ่งที่เรียกว่าพลังของเทพเจ้ากู่ เป็นหิ่งห้อยสีแดงและสีดำบินวนอยู่รอบๆ บางเบาทว่าสะดุดตา
ที่แท้พลังจากเทพเจ้ากู่ที่เผ่าลี่กู่ดูดกลืน คือปราณโลหิตจากเทพเจ้ากู่นั่นเอง…สวี่ชีอันกระจ่างชัดขึ้นมาทันที
ปราณโลหิตของพลังเทพเจ้ากู่ไม่เหมือนกับของจอมยุทธ์ หากกลืนกินโดยไม่ระวังจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้ ไม่แปลกใจเลยที่สัตว์และพืชที่อาศัยอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปีถึงได้กลายเป็น ‘กู่’
สวี่ชีอันพยายามที่จะดูดซับ ‘หิ่งห้อย’ สีดำและสีแดงบางส่วนและได้ข้อสรุป
พวกมันไม่สามารถถูกจอมยุทธ์ดูดกลืนและนำไปใช้ได้โดยตรง จำต้องบีบให้มันกัดกินกันเอง จนกลายเป็นสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็ต้องกำจัดพวกมันออกไป นอกเสียจากว่าภายในร่างกายจะมีลี่กู่อยู่
ลี่กู่เปรียบเสมือนตัวกรอง ‘สารพิษ’ จากเทพเจ้ากู่
หลังจากยืนยันแล้วว่าปราณโลหิตของเทพเจ้ากู่ไม่สามารถทำอันตรายต่อตัวเขาได้ สวี่ชีอันก็ปลีกตัวออกไปไกล ปลดปล่อยพลังของเจ็ดยอดกู่ที่ถูกผนึกไว้ ปล่อยให้กลืนกินปราณโลหิตของปราณโลหิตเทพเจ้ากู่โดยรอบ
นี่เป็นการหลีกเลี่ยงการแช่งยิงขุมพลังของเสี่ยวโต้วติง
เมื่อเวลาผ่านไป พลังของปราณโลหิตรอบด้านก็ถดถอยลง
“อัจฉริยะ!”
ผู้อาวุโสรู้สึกตะลึง เขาเห็นลี่กู่ที่อยู่บนต้นคอของสวี่หลิงอินกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ราบรื่น ไม่มีสัญญาณของความผิดปกติใดๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ดูแล้วท่าทางจะยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ
แต่พลังที่นางดูดกลืนเข้าไป มีปริมาณเกินกว่าที่ชาวเผ่าลี่กู่ทั่วไปต้องการแล้ว
แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของเด็กคนนี้มีมากกว่าที่พวกเขาคาดคิด
“นางเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวแก้
“นางตั้งจิตให้เป็นอิสระได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจ เอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยความสับสน
จิตใจของเด็กๆ นั้นช่างเรียบง่าย ทว่าความคิดนั้นยุ่งเหยิงที่สุด ซับซ้อนเสียยิ่งกว่าผู้ใหญ่ เพราะพวกเด็กๆ ไม่สามารถควบคุมจินตนาการสุดบรรเจิดของตนได้
“ไม่รู้ เช่นนี้ก็หมายความว่าศิษย์ของข้าคนนี้ นางเป็นอัจฉริยะที่ยังไม่เคยถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์น่ะสิ” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นของตน
“วันข้างหน้าข้าจะให้หลานชายแต่งงานกับนาง” ผู้อาวุโสลั่นวาจาดังสนั่น
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทำสีหน้าหวาดระแวงและเป็นปฏิปักษ์ หลังจากสบสายตา พวกเขาก็ถอยห่างจากกัน แววตาแปรเปลี่ยนเป็นความระแวดระวังและพร้อมต่อสู้
ในตอนนี้เอง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็หันไปมองรอบๆ
“พลังเทพเจ้ากู่รอบๆ เบาบางลงงั้นหรือ”
…………………………………………………….
[1] 合纵连横 ประสานพันธมิตรน้อมสวามิภักดิ์ เป็นกลยุทธ์การทำศึกในสมัยยุครณรัฐ (战国 425-221 B.C.) คือการรวมตัวของรัฐที่อ่อนแอเพื่อป้องกันการรุนรานและผนวกเข้ากับรัฐที่แข็งแกร่งกว่า ในขณะเดียวกันก็น้อมสวามิภักดิ์กับรัฐที่แข็งแกร่งเพื่อให้อีกฝ่ายสนับสนุนการโจมตีรัฐอื่นๆ และขยายดินแดนต่อไป