ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 672 กลยุทธ์รับมือ
คอเกิดอาการชาและปวดสาหัสไปชั่วขณะ ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่มนุษย์ปกติจะต้านได้…
สวี่ชีอันที่มีเคยมีประสบการณ์สองครั้งรู้ว่านี่เป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากเจ็ดยอดกู่ผสานเข้าสู่ร่างกายไปอีกขั้นยามที่มันเจริญเติบโตและสะเทือนไปถึงประสาทกระดูกสันหลัง
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธินิ่งไม่ขยับ หลับตาจดต่อ อดทนต่อความเจ็บปวด
ไม่นานนักความเจ็บปวดก็ทุเลาลงและหายไปในเวลาต่อมา เจ็ดยอดกู่ผ่านช่วงวัยผู้ใหญ่ในขั้นที่สองไปอย่างราบรื่น แล้วเข้าสู่ ‘ช่วงวัยเด็ก’ ในขั้นที่สาม
สวี่ชีอันไม่ได้ลืมตาขึ้น สำรวจความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากเจ็ดยอดกู่ ความสามารถของเทียนกู่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็น ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ กลายเป็นพื้นฐานของเจ็ดยอดกู่ พื้นฐานของเทียนกู่ได้พัฒนาไปถึงขีดสุด
สำหรับความสามารถสอดแนมชะตาของเทียนกู่ สวี่ชีอันสงสัยว่าเจ็ดยอดกู่ต้องเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์เป็นอย่างน้อย หรือถึงขั้นต้องการขั้นสองถึงจะได้
‘บ้าคลั่ง’ ของลี่กู่และ ‘ร่างพิษ’ ของตู๋กู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ฉิงกู่ได้เพิ่มความสามารถเข้ามาใหม่…ดูดซับพลังตัณหาของสิ่งมีชีวิตรอบข้าง
ความสามารถนี้ทำให้เขาไม่ต้องคิดถึงเทียนคุน ขอเพียงหล่อเลี้ยงฉิงกู่ผ่านการดูดซับตัณหาของสิ่งมีชีวิตรอบข้างก็จะเลื่อนระดับได้อย่างมั่นคง เหมือนกับจอมยุทธ์ฝึกลมหายใจและหลอมปราณ
นอกจากนี้พลังตัณหาเหล่านี้เก็บสำรองและปลดปล่อยยามเผชิญหน้ากับศัตรูได้
ตัณหาร้ายแรงกว่าสารพิษในบางครั้ง เพราะมันจะกระตุ้นการทำงานของร่างกาย พลังชีวิตอันแกร่งกล้าของจอมยุทธ์อาจจะไม่กลัวพิษ ทว่ามิอาจต้านทานฮอร์โมนที่หลั่งอย่างบ้าคลั่งได้
การหลั่งสารฮอร์โมนไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย กลไกป้องกันของร่างกายจะไม่ต่อต้าน
การเติบโตของซือกู่มีอยู่สองอย่าง
หนึ่ง ควบคุมการเพิ่มจำนวนและยกระดับของซากศพเดินได้ให้สูงขึ้นได้ สอง เจตจำนงของเจ้าของส่งมาถึงร่างของศพเดินได้ เฉกเช่นเดียวกับร่างอวตาร และควบคุมความสามารถของศพเดินได้
อั้นกู่ก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ขอบเขตความสามารถระดับนี้ของมันสมดุลมาก เงามืดกระโดดขยายตัวไปในวงกว้าง จนถึงระดับ ‘กระโดดไปได้เท่าที่สายตามองเห็น’
นอกจากนี้ยังพาคนตั้งแต่หนึ่งเพิ่มไปถึงสี่คนได้
เวลาที่กลายร่างเป็นเงามืดก็ขยายออกไปเช่นกัน ขอเพียงสวี่ชีอันยินยอม เขาจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตลอดเวลาโดยไม่ปรากฏตัวเลยก็ได้ จนกว่าพลังกายจะหมด
ในด้านการโจมตี อั้นกู่ก็มีทักษะใหม่เรียกว่า ‘อำพราง’
สร้างเงามืดอำพรางประสาทสัมผัสทั้งห้าและทวารทั้งหกของศัตรู ทำให้เขา ‘ตาบอด’ ทว่ามิอาจควบคุมลางสังหรณ์อันตรายของจอมยุทธ์ได้
ด้านการป้องกัน อั้นกู่ก็มีทักษะเพิ่มขึ้นมาเรียกว่า ‘เงามืด’
อธิบายง่ายๆ ก็คือร่างกายจะกลายเป็นเงามืดที่ไร้ร่างและไร้สสาร ทำให้การโจมตีของศัตรูเป็นศูนย์
สุดท้ายก็คือซินกู่ เมื่อมาถึงระดับปัจจุบัน ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจว่าเหตุใดซินกู่ถึงถูกเรียกว่ากู่สัตว์ร้าย
ซินกู่และหมูกู่ก็เป็นเหมือนหน่วยประมวลผลกลางที่ระดมกำลังและควบคุมกองทัพสัตว์ร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาจจะมีนายพลที่เข้าใจการเดินทัพและสู้รบกว่าเขาอยู่ในโลกก็ได้ ทว่าไม่มีกองทัพใดในโลกจะมีสมรรถภาพในการประสานงานเหนือปรมาจารย์ซินกู่เหนือมนุษย์ได้
นอกจากนี้ซินกู่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตสติปัญญาต่ำ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงมนุษย์ สัตว์ร้าย และอาวุธศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งสติปัญญาสูง ซินกู่ก็จะยิ่งควบคุมยาก หากในทางกลับกันจะยิ่งควบคุมง่าย
ทว่านี่ก็ไม่แน่นอน หากสิ่งมีชีวิตที่สติปัญญาสูงถูกซินกู่ควบคุมเป็นระยะยาวก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสติปัญญาต่ำ หลุดออกจากการควบคุมของปรมาจารย์ซินกู่ได้ยาก
นี่ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงเขตป่าที่อบอวลด้วยพลังของซินกู่ สิ่งมีชีวิตด้านในไม่ว่าจะมีสติปัญญาสูงหรือต่ำต่างก็กลายเป็นหน่วยกล้าตายที่รู้จักเพียงเชื่อฟังคำสั่ง
ทว่าปรมาจารย์ซินกู่ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงอย่างหนึ่ง พลังต่อสู้เดี่ยวต่ำเกินไป ไม่มีทักษะป้องกันตัวที่เพียงพอ
“มีเพียงพ่อมดเท่านั้นที่จะแข่งกับปรมาจารย์ซินกู่ในสนามรบได้ ไม่รู้ว่าเว่ยกงเอาชนะสงครามด่านซานไห่ในตอนนั้นได้อย่างไร อืม ข้านึกวิธีควบคุมวิชาบังคังศพของพ่อมดและปรมาจารย์ซินกู่ออกแล้ว มีเพียงปืนใหญ่เท่านั้น ความจริงอยู่ภายใต้ขอบเขต...”
สวี่ชีอันถอนใจอยู่ภายในใจพลางลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาพลันหดตัว กล้ามเนื้อสันหลังเกร็งตัวราวกับเสือชีตาห์ที่พร้อมจู่โจมทุกเมื่อ
วานรขนเหลืองตัวหนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปสองจั้งพร้อมจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน
เพราะสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้าย สวี่ชีอันจึงข่มอารมณ์ไม่ให้โจมตีออกไป ทว่าก็ไม่ได้ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ เพราะเผ่าพันธุ์กู่ก็มีวิธีควบคุมลางสังหรณ์อันตรายของจอมยุทธ์อยู่พอดี
วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน!
“ข้าแวะมาดูเจ้าเสียหน่อย”
วานรขนเหลืองเอ่ยภาษามนุษย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เป็นคุณยายสูงวัย
“เจ้าคือ…”
สวี่ชีอันใจเต้นแรง ชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว
“พวกเด็กน้อยต่างเรียกข้าว่าแม่ย่าเทียนกู่”
วานรขนเหลืองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เป็นนางจริงด้วย…สวี่ชีอันจำได้ว่าลี่น่าเคยบอกไว้ว่า คนที่ฝากฝังเจ็ดยอดกู่ให้นางในวันนั้นและให้นางนำไปตามหาผู้ถูกลิขิตที่เมืองหลวงก็คือแม่ย่าเทียนกู่ผู้นี้
ภรรยาของผู้เฒ่าเทียนกู่
“ต่างกล่าวกันว่าเทียนกู่มีพลังสอดส่องอนาคต ตอนนี้ก็นับเป็นขวัญตาแล้ว”
สวี่ชีอันไม่ได้คลายความระแวดระวัง แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “แม่ย่าหยั่งรู้อนาคต รู้ว่าข้าจะมาที่ซินเจียงตอนใต้และรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ได้”
วานรขนเหลืองหัวเราะขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนและราบเรียบ
“ไม่หรอก หลงถูบอกข้า ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้หลังจากที่ลี่น่ากลับเผ่าแล้ว การหยั่งรู้อนาคตมีข้อจำกัดมากมาย ไม่ได้ใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา มิเช่นนั้นสงครามด่านซานไห่ในครั้งแรก ตาเฒ่าก็คงไม่พ่ายแพ้ อืม อาจเป็นไปได้ว่าท่านโหราจารย์ปิดกั้นความลับของสวรรค์ ทำให้เขามิอาจมองเห็นผลของสงครามได้ วิธีนี้ได้ผลกับพ่อมดเช่นเดียวกัน ต่างกล่าวกันว่าเว่ยเยวียนเป็นยอดขุนพลที่หาได้ยาก สิ่งนี้เป็นความจริง ทว่าท่านโหราจารย์ในประเทศของพวกเจ้าทำเรื่องลับหลัง แค่กลัวว่าจะมากกว่าเดิม”
สวี่ชีอันพยักหน้า “แม่ย่ามาหาข้าด้วยตนเองมีเรื่องอะไรหรือขอรับ”
วานรขนเหลืองเอ่ยอย่างช้าๆ
“เจ้าคงมีคำถามมากมายจะต้องถามข้า ข้าก็มีเรื่องจะพูดกับเจ้าพอดี ทว่าข้ามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าด้วยใจจริง เมื่อครู่ลูกศิษย์ของสวี่ผิงเฟิงมาพบข้า เขาตระเวนโน้มน้าวหัวหน้าของทุกเผ่าพันธุ์กู่ สร้างพันธมิตรกับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว ร่วมมือกันโจมตีต้าฟ่ง แบ่งแยกประเทศ”
แม่งเอ๊ย…สวี่ชีอันสีหน้าเคร่งขรึม “หัวหน้าทุกเผ่าตอบรับแล้วหรือขอรับ”
วานรขนเหลืองพยักหน้า
“สงครามด่านซานไห่เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนเผ่าพันธุ์กู่พ่ายแพ้ ทุกเผ่าต่างไม่พอใจ ยังสูญเสียคนไปมากมายเช่นนั้นอีก ไฟนี้สุมมายี่สิบปีแล้ว ช้าเร็วก็ต้องลุกโชนในสักวัน”
สวี่ชีอันที่ศึกษาประวัติศาสตร์มาไม่น้อยในชาติก่อนพยักหน้าวางจุดยืน เป็นเรื่องปกติที่ประเทศที่แพ้จะเก็บความแค้นและพยายามแก้แค้น
“หลงถูไม่ได้ตอบรับ ทว่าหากสถานการณ์สงครามไม่ราบรื่น เผ่าพันธุ์กู่เผชิญกับวิกฤต เผ่าลี่กู่ก็มิอาจนั่งอยู่เฉยได้ เผ่าเทียนกู่ก็เช่นกัน”
“ข้าเข้าใจความลำบากของแม่ย่า”
วานรขนเหลืองพยักหน้าเบาๆ พร้อมเอ่ยต่อ
“เจ็ดยอดกู่เป็นผู้รับช่วงที่ตาเฒ่าทิ้งไว้ หากสวี่ผิงเฟิงพ่ายแพ้ เขาก็จะมิอาจทำตามสัญญาได้ เช่นนั้นรูปปั้นปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจบูรณะได้ เขาจึงทิ้งเจ็ดยอดกู่ไว้เป็นผู้รับช่วงของเหตุต้นผลกรรมต่อ ทว่าสิ่งที่ข้าอยากบอกคือ หากสวี่ผิงเฟิงทำสำเร็จ เขาก็จะต้องรับผิดชอบเหตุต้นผลกรรมนี้ ช่วยซินเจียงตอนใต้สร้างประเทศ ยกดินแดนทั้งสองเมืองให้ ใช้วิธีของโหรขั้นหนึ่งรวบรวมโชคชะตาให้เผ่าพันธุ์กู่เพื่อฟื้นฟูรูปปั้นปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นเทพเจ้ากู่ก็จะหลับใหลต่อ มองในมุมของข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธจริงๆ”
สวี่ชีอันนิ่งเงียบ
“ตอนนี้เด็กหลายคนดักซุ่มอยู่ในเผ่าลี่กู่ หาโอกาสล้อมสังหารเจ้า หากเจ้าไม่อยากตายก็จากไปให้เร็ว อีกประเดี๋ยวข้าจะให้ลี่น่าไปหาเจ้า เรื่องที่เจ้าอยากถามหรืออยากรู้ ข้าจะถ่ายทอดผ่านลี่น่าให้เจ้า”
แม่ย่าเทียนกู่ควบคุมวานรขนเหลืองเอ่ย
ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์กู่ที่ตั้งใจยกทัพไปที่ต้าฟ่งจะมีไม่น้อย คนในเผ่าสั่งสมความแค้นมานาน แม้แต่แม่ย่าเทียนกู่ก็ไม่เต็มใจทำเรื่องที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้สัญญาที่สวี่ผิงเฟิงให้ว่าจะผนึกเทพเจ้ากู่ นี่เป็นเงื่อนไขที่เผ่าพันธุ์กู่มิอาจปฏิเสธได้…สวี่ชีอันขมวดคิ้วเอ่ย
“เผ่าพันธุ์กู่อยากสู้กับต้าฟ่ง ข้าเข้าใจ ผลสุดท้ายหากไม่ทำลายต้าฟ่งแบ่งแยกประเทศ ก็ต้องทำลายชะตากรรมของเผ่าพันธุ์กู่เล็กน้อย เช่นนี้จะไม่มีฟื้นกลับมาได้ จากนั้นก็จะซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์ แม่ย่า ไม่มีวิธีประนีประนอมเลยหรือ”
แม่ย่าเทียนกู่ส่ายหน้า
…สวี่ชีอันเงียบสักพัก ก่อนจะพลันนึกบางอย่างได้พร้อมเอ่ย
“จริงสิ ข้ามีอาวุธเวทมนตร์ที่เคยชิงมาจากในมือของสวี่ผิงเฟิง”
เขาเอื้อมมือเข้าไปในอก หักชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หยิบสร้อยข้อมือแบบฉบับซินเจียงตอนใต้ที่ร้อยด้วยชิ้นทองแดง หินหลากสี และชิ้นหยกเป็นต้นออกมา
สายตาของแม่ย่าเทียนกู่เคลื่อนออกจากสร้อยข้อมือได้ยาก ความรู้สึกที่ซับซ้อนเช่น ความเศร้า ความสุข และความคำนึงผสมผสานอยู่ในดวงตาของนาง
“แม่ย่า ท่านลองคิดดูอีกที”
สวี่ชีอันเอ่ย
แม่ย่าเทียนกู่เงียบสักพัก ก่อนจะกลับคำพูด
“ย่อมมีวิธีอยู่แล้ว ข้าจะเล่าสถานการณ์สงครามด่านซานไห่ในตอนนั้นให้เจ้าฟังเสียก่อน ให้เจ้าเข้าใจว่าเหตุใดเผ่าพันธุ์กู่ถึงเป็นปรปักษ์กับต้าฟ่งเช่นนี้ สำนักพุทธรับมือกับปีศาจตอนใต้ที่เพ้อฝันจะฟื้นฟูประเทศเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงคณะทูตปีศาจทางเหนือ ต้าฟ่งรับมือกับสำนักพ่อมดที่มีความแค้นกับจักรพรรดิเกาจู่ รวมถึงเผ่าพันธุ์กู่ของข้าด้วย
“ในบรรดาเจ็ดเผ่า โหยวซือเผ่าซือกู่เกลียดชังต้าฟ่งที่สุด เพราะบิดาของเขาตายภายใต้เจ็ดวันสังหารของเว่ยเยวียน รองลงมาคือเผ่าฉิงกู่ ในตอนนั้นกองกำลังต้าฟ่งชิงลูกสาวของเผ่าฉิงกู่มามากกว่าครึ่ง ปล้นพลังบำเพ็ญของพวกนางและส่งเข้าไปในสำนักสังคีตทุกพื้นที่ เผ่าตู๋กู่ทำให้กองกำลังต้าฟ่งบาดเจ็บสาหัส ด้วยโทสะของเว่ยเยวียน จึงนำทหารม้าสามหมื่นนายบุกจู่โจมเป็นพันลี้ด้วยตนเอง กำจัดพลรบของเผ่าตู๋กู่จนสิ้นซาก แล้วจับคนเผ่าตู๋กู่ห้าพันคนเป็นเชลยและสังหารทั้งหมด กระทั่งทุกวันนี้ประชากรของเผ่าตู๋กู่ยังคงมีน้อยที่สุดในบรรดาเจ็ดเผ่า ทว่าก็เป็นเพราะหัวหน้าเผ่าตู๋กู่ ผู้อาวุโสรวมทั้งกองกำลังติดอาวุธบาดเจ็บล้มตายในตอนนั้น ทำให้ป๋าจี้โดดเด่นและกลายเป็นหัวหน้า เขาไม่ได้คิดแค้นกับต้าฟ่งมากเท่าไร เผ่าตู๋กู่ยังอาศัยพืชพิษที่ล้นหลามในซินเจียงตอนใต้ ไม่ได้มักใหญ่ในดินแดนประเทศ พอจะนับได้อยู่ว่าเขาเป็นกลาง ทว่าทัศนคติของเขามิอาจกำหนดทัศนคติของคนในเผ่าได้ ปัจจุบันเผ่าตู๋กู่ยังคงเคียดแค้นต้าฟ่ง ซินกู่ อั้นกู่ และลี่กู่ยังไม่ถึงขั้นเคียดแค้นต้าฟ่ง ทว่าไม่มีความรู้สึกที่ดีให้แน่นอน สำหรับเผ่าเทียนกู่ของข้า ความแค้นมิอาจสั่นคลอนปัญญาเฉียบแหลมของเทียนกู่ได้ ทว่าเทพเจ้ากู่เป็นปัญหาที่เผ่าข้าให้ความสนใจมาโดยตลอด ใครผนึกเทพเจ้ากู่ได้ คนนั้นก็จะได้รับการสนับสนุนจากพวกเรา”
ในตอนนั้นเว่ยกงก็โหดเหี้ยมเกินไป เป็นตัวร้ายที่สังหารตั้งแต่ถนนตะวันออกไปถึงถนนตะวันตกโดยไม่แม้แต่กะพริบตา…สวี่ชีอันขมวดคิ้วเป็นปม
แบบนี้เผ่าพันธุ์กู่ไม่มีทางกลายเป็นพันธมิตรของต้าฟ่งได้เลย
แม่ย่าเทียนกู่ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“ข้าพูดจบแล้ว จะรับมืออย่างไรก็อยู่ที่เจ้า”
พูดจบก็โบกมือดึงสร้อยข้อมือมา แล้วสวมลงบนข้อมืออย่างระมัดระวัง จากนั้นวานรขนเหลืองก็เดินจากไป
…
เมื่อเผชิญกับคำถามของโหยวซือ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ทิ้งไม้เท้าพร้อมยืดอก แสดงให้เห็นกล้ามเนื้อที่ขยายตัวใหญ่ แล้วเอ่ยฮึดฮัด
“สวี่ชีอันเป็นสหายของเผ่าลี่กู่”
โหยวซือเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง
“ก็เป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์กู่เช่นกัน พวกเราจะไม่สู้ในเขตควบคุมของเผ่าลี่กู่ ทว่าหากพวกเจ้ากล้าขัดขวางก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ผู้อาวุโสที่เหลือพากันทิ้งไม้เท้า แล้วยืดอกเบ่งกล้ามเนื้อ
“อยากมีเรื่องงั้นหรือ เข้ามาเลย!”
ฉุนเอียนจากเผ่าซินกู่กลอกตา แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าไม่รู้นิสัยของวานรป่ากล้ามโตกลุ่มนี้หรืออย่างไร เล่นกับคนตายจนสมองพังหมดแล้วหรือ”
คนจากเผ่าลี่กู่ทนการถูกยั่วยุไม่ได้เป็นที่สุด หากก้าวไปเข้าหน้าก็นับว่าตัดญาติกันแล้ว
หลวนอวี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าทะเลาะกับคนความรู้ต่ำเช่นเขาเลย เผ่าพันธุ์กู่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เผ่าลี่กู่ไม่ออกหน้าพวกเราก็เข้าใจได้ แค่รอดูสักครู่ วางใจได้ ข้าจะไว้ชีวิตเขา”
สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งหกดีขึ้น แล้วเอ่ยฮึดฮัด
“จะตามหาสวี่ชีอันให้ยุ่งยากก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า ทว่าตอนนี้ไสหัวออกไปจากเขตควบคุมเผ่าลี่กู่ของข้า ตราบใดที่เขายังอยู่ที่เผ่าลี่กู่ก็จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าได้ใจ”
พวกเขายังอยากรักษาชีวิตของสวี่ชีอันเอาไว้
หัวหน้าของเผ่าพันธุ์กู่ทุ่มเทกำลัง แม้หลงถูจะไม่เข้าร่วม ยอดฝีมือจำนวนระดับนี้ก็ใช่ว่าสวี่ชีอันจะรับมือได้
แม้เขาจะสังหารเทพารักษ์ ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่กล้าลุยเดี่ยวสังหารเผ่าพันธุ์กู่
หากสวี่ชีอันตายที่นี่ ในใจหนูน้อยสวี่หลิงอินคนนี้จะต้องเกิดความแค้นเป็นแน่
ใบหูของฉุนเอียนปรมาจารย์ซินกู่ขยับเล็กน้อย เงี่ยหูฟังอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“เขาไม่อยู่ที่เผ่าลี่กู่ ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ออกไปกับเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าลี่กู่ ยังไม่ได้กลับมา”
นางสื่อสารกับหนูงูมดแมลงและนกรอบเผ่าลี่กู่ ถามข่าวคราวจากพวกมัน
ที่น่าสนใจก็คือสัตว์ที่อยู่ใกล้เผ่าลี่กู่หายากเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนใหญ่พวกหนูงูมดแมลงมีความสามารถในการซ่อนตัวได้ดี จึงไม่ถูกกู่ของเผ่าลี่กู่กำจัด
“ไปที่ไหน! ”
โหยวซือเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ไม่รู้” ฉุนเอียนส่ายหน้า
บัดนี้ตาอัลมอนด์อันมีชีวิตชีวาพลันเป็นประกาย แล้วหันหน้ามองไปที่สุดทางของทุ่งราบ
“เขากลับมาแล้ว”
หัวหน้าของอั้นกู่ขยายเงามืดขึ้นอย่างไม่ลังเล ปกคลุมเหล่าหัวหน้าพาพวกเขาหายไปใต้ร่มไม้
ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นเปลี่ยนสีหน้า เมื่อทอดมองไปไกลก็เห็นชายหนุ่มชุดคลุมดำยืนอยู่ที่ปลายสุดของทุ่งราบโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับกำลังรอบางอย่าง
“แย่ล่ะ เหตุใดเขาถึงกลับมาเวลานี้”
ผู้อาวุโสใหญ่ด่าทออย่างขุ่นเคือง
………………………………………