ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 675 ปิดเกม (1)
สายตาที่แหลมคมของหลงถูจ้องเขม็งบุตรสาวอย่างลุกวาว เขาชะงักไปในทันใด ก่อนส่ายศีรษะเอ่ยว่า
“ไม่จริง ตัวลี่น่ายังไม่ชำนาญศาสตร์ลับระดับบรรลุธรรม”
ผู้อาวุโสทั้งหกตอบสนอง เมื่อครู่โมโหจนไม่ได้สติ จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียอย่างนั้น
ต่อมาผู้อาวุโสใหญ่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาตบศีรษะตนเองไปครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยตะโกนว่า
“ที่แท้เป็นเขานี่เอง”
เมื่อพบว่าหลงถูและผู้อาวุโสหลายคนที่เหลือมองมา ผู้อาวุโสใหญ่จึงเอ่ยอธิบายว่า
“วันนี้ข้าพบว่าพลังเทพกู่บริเวณภายนอกเบาบางผิดปกติขณะข้าพาหลิงอินไปเลื่อนขั้นที่จี๋เยวียน ข้า อาวุโสสามและอาวุโสสี่จึงเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์อย่างละเอียด จึงพบว่าพลังเทพกู่บางแห่งในป่าเบาบางลงเช่นเดียวกัน
“ขณะนั้นข้าคิดว่ามีอสูรกู่ที่แข็งแกร่งปรากฏตัว…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสใหญ่พูดไม่ออกอย่างกะทันหัน เพราะกังวลว่าเนื้อยังสดอยู่จึงรีบนำกลับบ้านไปปรุงให้พวกเขา เลยไม่ได้สนใจเรื่องสำคัญอย่างการสงสัยว่าอสูรกู่ปรากฏตัวบนโลก
ผู้อาวุโสสามเอ่ยเบาๆ ว่า
“เขาเริ่มบำเพ็ญลี่กู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดจึงบำเพ็ญเกือบถึงระดับบรรลุธรรม ใครสอนการบำเพ็ญศาสตร์ลับให้เขากัน”
เขาถามสามครั้งติดต่อกัน ถามจนเหล่าผู้อาวุโสผันผวนปวดใจ อิจฉาริษยาจนถึงขีดสุด
แม้แต่หลงถูเองก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า
“ความสามารถบ้าคลั่ง…ห่างจากระดับบรรลุธรรมเพียงเส้นเดียวแล้ว”
ในที่นี้มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่ที่สามารถแสดงความสามารถบ้าคลั่งได้ชั่วขณะ แต่เวลาเกิดผลสั้นมาก
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยพึมพำว่า “เขาบำเพ็ญมานานแค่ไหนแล้ว บำเพ็ญมานานเท่าใดกว่าจะถึงระดับนี้ คงจะไม่เหมือนกับหลิงอินใช่ไหม”
‘คงจะไม่เหมือนหลิงอินหรอกมั้ง’…ทุกคนมองไปยังผู้อาวุโสราวกับมองคนบ้า รวมถึงหัวหน้าเผ่าหลงถูด้วย
…
“เหมือนอย่างที่กล่าวในข่าวกรอง เขาใช้ไสยศาสตร์กู่เป็น แต่ต่างออกไป ขณะเขาประมือกับคุณชายจีเสวียนและคุณหนูหยวนซวงที่ยงโจว ไสยศาสตร์กู่เขาพื้นๆ ไม่เท่าขั้นสี่ด้วยซ้ำ…”
คิ้วที่สง่าผึ่งผายของเก่อเหวินซวนซึ่งกำลังถือกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวอยู่ขมวดเกร็งเมื่อเห็นฉากนี้
เขาแยกไม่ออกว่าสวี่ชีอันจงใจปกปิดการบำเพ็ญขณะอยู่ที่ยงโจวชั่วระยะหนึ่ง หรือเพิ่งบรรลุเมื่อเร็วๆ นี้
หากเป็นอย่างแรกก็หมายความว่าเด็กคนนี้แผนการล้ำลึกจนน่าหวาดหวั่น
หากเป็นอย่างหลังก็หมายความว่าเด็กคนนี้บำเพ็ญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนน่าสั่นกลัว
“หากข่าวกรองที่ยงโจวไม่ผิดพลาด เช่นนั้นการพัฒนาของเขาก็เร็วมากเลย หากเป็นเช่นนี้ ข่าวกรองก็คงไร้ความหมาย”
คิ้วของเก่อเหวินซวนแทบจะขมวดเป็นรูปตัวอักษร ‘川’
กับดักที่สมบูรณ์แบบอย่างหนึ่ง แผนการที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง ต้องมีข่าวกรองที่แม่นยำเพื่อสนับสนุน
ไม่อาจวางแผนเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นเดียวกับสวี่ชีอันได้เลย
เพราะอาจล้าหลังได้ตลอดเวลา
“การแบกชะตาบ้านเมืองไว้กับตัว น่ากลัวเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ”
เก่อเหวินซวนบำเพ็ญทั้งวรยุทธ์และศาสตร์ควบคู่ เป็นจอมยุทธ์ขั้นห้าและโหรขั้นหก เขาติดอยู่ที่ขั้นหกเพราะว่าขาดความเชื่อมั่นว่าจะผ่านเคราะห์ร้ายที่ ‘นักพยากรณ์’ จะต้องแบกรับ
ตัวเขาในฐานะโหรคุ้นเคยกับโชคชะตา แม้จะบอกว่าผู้ที่มีมหาโชคชะตาติดตัว มีพรและวาสนาหยั่งลึก แต่เมื่อถึงระดับบรรลุธรรม ผลของดวงชะตาติดตัวจะอ่อนแอลงอย่างไร้ขีดจำกัด
ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมผู้แข็งแกร่งขั้นสามขึ้นไปจึงมีสิทธิ์เพิกเฉยจักรพรรดิแห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง
สำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่ง ขั้นสองหรือขั้นสาม การสังหารจักรพรรดิแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางจะได้รับผลสะท้อนจากโชคชะตา
ที่ไม่อยากยุแหย่จักรพรรดิ เป็นเพราะหวาดกลัวโชคชะตาสะท้อนกลับเท่านั้นเอง
สำหรับเก่อเหวินซวนแล้ว นี่เป็นสมดุลอย่างหนึ่ง
มิเช่นนั้น ผู้มีดวงชะตาติดตัวคงจะเที่ยวก่อการอุกอาจโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวได้เลยมิใช่หรือ
แต่เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของสวี่ชีอันเล็กน้อย
“เป็นเพราะชะตาบ้านเมืองต่างกับโชคชะตา หรือว่ามีอีกสาเหตุ…
“ระบบโหรมีมาเพียงหกร้อยปี และในก่อนหน้านี้ ยังไม่เคยมีระบบใดเกี่ยวข้องกับโชคชะตาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ในหกร้อยปีมานี้ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งและท่านโหราจารย์คนปัจจุบันล้วนไม่เคยหลอมชะตาบ้านเมือง และฝากไว้ในร่างกายคนใดคนหนึ่ง
“อาจารย์เป็นผู้ทำการทดลองเช่นนี้คนแรก ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏตัวอย่างมาก่อน บางทีกระทั่งเขาเองก็คงไม่รู้ว่าชะตาบ้านเมืองติดตัวหมายความว่าอะไร แนวคิดนี้ของอาจารย์เป็นผลลัพธ์จากการไตร่ตรองอย่างลุ่มลึกของตนเอง หรือได้รับการชี้แนะจากผู้ใด”
ความคิดของเก่อเหวินซวนผุดระยิบ ระหว่างที่ความรู้สึกนึกคิดกำลังฟุ้งซ่าน ตัวเขาซึ่งกำลังชมการต่อสู้ผ่านกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวเกิดความสั่นสะท้านในจิตใจ
สถานการณ์ในสนามรบเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
…
สวี่ชีอันที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัวมนุษย์ศพขั้นสามและระบายความป่าเถื่อนตามอำเภอใจสูญเสียการมองเห็น การได้ยินและการได้กลิ่น…ประสาทสัมผัสทั้งห้าและการรับรู้ทั้งหกถูกปิดกั้นไปหมดทั้งสิ้น
ผู้นำฝ่ายอั้นกู่ที่ซุ่มอยู่บริเวณรอบๆ ร่ายกลวิธีระดับสูงของฝ่ายอั้นกู่ใส่สวี่ชีอัน ซึ่งก็คืออำพราง
‘ปัง!’
โหยวซือฉวยโอกาสนี้ควบคุมหุ่นเชิดโดยใช้ศีรษะเข้าปะทะศีรษะของอีกฝ่าย หน้าผากของทั้งสองกระแทกกันอย่างรุนแรง
ลางล่วงรู้วิกฤตของสวี่ชีอันไม่เกิดผลจากการร่ายมนตร์ด้วยวิชาดวงดาราผันเปลี่ยน ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรู้การกระทำของอั้นกู่ล่วงหน้า รวมไปถึงการโจมตีของมนุษย์ศพจากด้านล่าง
กะโหลกหน้าผากของหุ่นเชิดมนุษย์ศพแตกร้าวตามเสียง ลูกตาดำของสวี่ชีอันกลวงเป็นรูในชั่วพริบตา เขาสูญเสียเจตจำนงชั่วขณะ หัวสมองว่างเปล่า
ทั้งร่างกายของเขาเอนไปข้างหลังอย่างรุนแรง ผิวหนังสีทองมืดบริเวณหน้าผากปรากฏรอยร้าวเป็นเส้นถี่ยิบ
โหยวซือไม่ได้มึนงง คนตายจะมึนงงได้เช่นไรกัน
“ตอนนี้แหละ”
เขาเอ่ยตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งอันเป็นเอกลักษณ์
พวกเขาประเมินศัตรูต่ำไป แม้เงาและฉุนเอียนจะไม่ลงมือก็ตาม แต่แผนการช่วยเหลือของหลวนอวี้และป๋าจี้เป็นการหยั่งเชิงระดับของเด็กคนนี้ก่อนเท่านั้น
แต่การประเมินศัตรูต่ำก็คือการประเมินศัตรูต่ำอยู่ดี เด็กคนนี้ไม่ใช่ขั้นสามทั่วไป เขาสามารถระเบิดพลังการต่อสู้อันสมบูรณ์แบบของขั้นสามได้ในชั่วพริบตา และโค่นล้มค่ายกลมนุษย์ศพที่ตนเองควบคุมได้โดยตรง
ผู้นำหลายคนรู้สึกถึงปัญหานี้เช่นเดียวกัน ต่างคนจึงต่างมือก่อนที่โหยวซือจะแผดเสียง
ปรากฏชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าซีดขาวราวกับไม่สัมผัสแสงแดดมาตลอดทั้งปีจากเงามืดด้านหลังสวี่ชีอัน เขาปีนป่ายแผ่นหลังของร่างกายเทพอารักษ์อย่างคล่องแคล่ว
เปลวไฟซึ่งเปี่ยมด้วยพลังหยางอันแรงกล้าแผดเผาร่างกายของเขา แต่ราวกับแผดเผาเพียงเงามายาเท่านั้น หาใช่สสารจริง
กลวิธีป้องกันขั้นสูงของฝ่ายอั้นกู่ ซึ่งก็คือเงามืด
‘เงา’ ลากกริชที่คดเคี้ยวเล็กน้อยซึ่งมีรูปร่างคล้ายตะขอออกมาจากแขนเสื้อ ตัวกริชดำขลับทั้งเล่ม หยกก็ไม่ใช่ เหล็กก็ไม่เชิง
นี่ก็คืออาวุธวิเศษที่สืบทอดจากผู้นำแต่ละรุ่นของฝ่ายอั้นกู่ ซึ่งก็คือตะขอแมงป่อง
ของสิ่งนี้ใช้สำหรับทะลวงกายหยาบของจอมยุทธ์โดยเฉพาะ ในยุทธการด่านซานไห่ ‘เงา’ เคยใช้อาวุธวิเศษเล่มนี้ผสานกับจุดเด่นของฝ่ายอั้นกู่ที่ชำนาญการลอบจู่โจมจนเกือบสังหารเทพอารักษ์สำนักพุทธตนหนึ่งลงได้
‘ฉึก!’
ตะขอแมงป่องเจาะลงที่หน้าผากของสวี่ชีอันจนเกิดประกายไฟจ้า จนทำให้รอยร้าวที่เป็นเส้นถี่ยิบเปิดกว้างขึ้น
ความเจ็บปวดทำให้ดวงตาของสวี่ชีอันปะทุแสงสว่างออกมา และบังคับให้เขาหลุดพ้นจากความมึนงง
ฉุนเอียนสาวงามดวงตากลมโตที่กำลังวิ่งตะบึงหยุดฝีเท้าลง และอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องที่ไร้ซึ่งเสียงออกมา
สวี่ชีอันราวถูกโจมตีด้วยสายฟ้า ลูกตาดำที่ค่อยๆ ฟื้นฟูการจับภาพปรากฏรูกลวงและคลายการจับภาพอีกครั้ง
วิชาควบคุมของซินกู่ สั่นไหวจิตเดิม บังคับและควบคุม
วิชานี้คงอยู่ไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่สำหรับ ‘เงา’ ที่สวรรค์มอบช่วงเวลานี้ให้ นี่เป็นโอกาสแห่งชัยชนะที่อาจหลุดไปหากไม่คว้าไว้
‘ฉึกๆๆ’ …ตะขอแมงป่องเฉาะลงบนหน้าผากสีทองมืดจนเกิดประกายไปถี่ยิบ
ท่ามกลางเสียง ‘ผุ’ กริชที่คดเคี้ยวเล็กน้อยแทงทะลุกะโหลกหน้าผากของสวี่ชีอัน ทะลวงเข้าไปในสมองและขยี้ไปมาอย่างเหี้ยมโหด
ผู้นำหลายคนรวมไปถึงโหยวซือดวงตาลุกวาวเมื่อเห็นฉากนี้ ราวกับเห็นตอนจบ
อาการบาดเจ็บเช่นนี้ก็มากพอที่จะเรียกว่าบาดเจ็บสาหัส ต่อให้เป็นสวี่ชีอันในตอนนี้ก็ตาม
สมองของเขาถูกทำลายไปแล้ว แต่จิตเดิมกลับตื่นขึ้นอย่างถึงที่สุด
หลวนอวี้เหินฟ้ามาพอดีพร้อมด้วยกระโปรงยาวโปร่งบางพลิ้วไหว นางส่งตนเองเข้าไปในอ้อมอกของสวี่ชีอัน ราวกับคาดไว้ว่าเขาจะฟื้นคืนสติท่ามกลางอาการบาดเจ็บเช่นนี้
แขนอันเรียวยาวราวรากบัวโอบลำคอของเขาไว้ ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยเสน่หา นางเอ่ยวิงวอนกึ่งออดอ้อนว่า
“อย่า”
รัญจวน
นี่คือฉบับเลื่อนขั้นของพลังเสน่ห์พิเศษ เปลี่ยนจากทักษะติดตัวเป็นทักษะใช้เอง
จิตสังหารและจิตโทสะของสวี่ชีอันหายไปหมดสิ้น เขามองใบหน้าแสนงดงามที่อยู่แนบชิดอย่างหลงใหล สภาพจิตใจมัวเมาลุ่มหลง
หลวนอวี้ยกยิ้มมุมปาก เชิดคางอันเรียวแหลมขึ้นมาประกบริมฝีปากของเขาไว้ และส่งจื่อกู่และปราณเสน่หาลงไปในร่างกายเขา
วินาทีถัดมา ผิวหนังสีทองเข้มของสวี่ชีอันปรากฏเป็นชั้นสีแดง มีการตอบสนองทางกายภาพที่ชัดเจนในทันที
หลวนอวี้ดึงตัวออกไปขณะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากบรรลุเป้าหมาย
‘ปิ้วๆๆ’
การโจมตีของป๋าจี้ตามมาอย่างกระชั้นชิด ศรม่วงระดมยิงเข้าที่หัวเข่า หน้าอกและใบหน้าของสวี่ชีอันจนทำให้กายาศักดิ์สิทธิ์เทพอารักษ์เปื้อนสีม่วงเข้ม
ฉุนเอียนอ้าปากกรีดร้องโดยไร้ซึ่งเสียงอีกครั้ง ถือโอกาสควบคุมเป็นครั้งที่สองระหว่างที่สวี่ชีอันลุ่มหลงในราคะ
‘ตึงๆๆ’ …โหยวซือคว้าดาบกระดูกกู่สองเล่มวิ่งตะบึงเข้าสังหารสวี่ชีอัน
ขณะนี้ หน้าผากของสวี่ชีอันถูกเจาะทะลุ เลือดแดงสดและมันสมองไหลออกมาตามบาดแผล รัศมีกายาจิตเทพอารักษ์มืดสลัวและอยู่ในจุดแตกสลาย จิตเดิมถูกซินกู่ควบคุม เลือดลมไหลนองร่างกายท่อนล่างเนื่องจากราคะพลุ่งพล่าน ไม่สามารถแสดงความสามารถบ้าคลั่งของลี่กู่ได้
โหยวซือมั่นใจว่าสามารถสังหารเขาต่อเนื่องในชุดเดียวได้ อย่างแย่สุดก็สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทำให้เขาสูญเสียพลังต่อสู้จำนวนมาก และยากที่จะพลิกสถานการณ์ได้อีก
“นี่ เจ้าอย่าฆ่าเขานะ”
หลวนอวี้ขมวดคิ้วตะโกนเมื่อเห็นสถานการณ์
นางยังไม่เคยลิ้มลองกายาจิตเพศชายที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบร่างนี้เลย หากเสียสิ่งนี้ไป คงเสียของเปล่า
โหยวซือเอ่ยเยาะว่า
“วางใจเถอะ ข้าจะหลอมเขาเป็นมนุษย์ศพและคงพลังไว้แปดส่วน ถึงตอนนั้นค่อยควบคุมเขาไปหลับนอนเป็นเพื่อนเจ้า”
หลวนอวี้ส่งเสียง ‘หือ’
ระหว่างที่พูด เขามาอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอันแล้ว ดาบคู่ไขว้เฉือนเข้าที่บาดแผลตรงหน้าผากอย่างสุดแรง
‘ฉับ!’
ดาบกระดูกกู่ซึ่งห่อด้วยพลังปราณที่บิดเบี้ยวอากาศเฉือนสวี่ชีอันและ ‘เงา’ เป็นสองท่อน
โหยวซือที่ดูเหมือนจะฟันโดนอากาศส่งเสียง ‘หือ’ ด้วยความเคลือบแคลงใจ ดาบคู่ฟันลงเป็นเครื่องหมายกากบาท แต่ยังฟันโดนอากาศเสียอย่างนั้น ส่วนร่างกายของสวี่ชีอันดูคล้ายควันหม่นเสมือนเงามืด ซึ่งก็คือไม่ใช่ร่างจริง
“เงา เจ้าทำบ้าอะไร”
โหยวซือโยนความผิดทั้งหมดให้ผู้นำฝ่ายอั้นกู่
ใครจะคิดว่าการตอบสนองของเงาเกินเลยกว่าเขาเสียอีก เงามืดที่ตื่นตระหนกราวกวางน้อยกระโดดออกไปไกล และมองสวี่ชีอันด้วยสายตาที่ราวกับเห็นเทพกู่
“เจ้าใช้วิชาอั้นกู่เป็น”
เสียงเงาทุ้มต่ำ มีน้ำเสียงยากที่จะเชื่อ
ขณะนี้ โหยวซือเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาสีหน้าเปลี่ยน ถอยออกมาอย่างไม่ลังเล และล้มเลิกความคิดที่จะไล่ต้อนในโอกาสที่ได้เปรียบ
เขาใช้วิชาอั้นกู่เป็น…ผู้คนในที่เกิดเหตุมองสวี่ชีอันเสมือนกำลังมองสัตว์ประหลาด
‘หลังจากสืบต่อลี่กู่แล้ว ยังใช้อั้นกู่ได้อีกหรือ’
หลงถูและผู้อาวุโสทั้งหกที่ชมการต่อสู้อยู่ในจุดที่ไกลออกไปมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก
มู่หนานจือก้มตัวลงกอดไป๋จีราวปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง นางพลางลูบพลางปลอบโยนว่า
“โอ๋ ขี่เจ้าเพียงครู่เดียวถึงกับร้องไห้แบบนี้เลย”
ไป๋จีเอ่ยร้องฮือๆ ว่า “ข้าปวดเอวมาก...”
มู่หนานจือปลอบโยนไปไม่กี่ประโยคก็เพ่งสมาธิไปที่ตัวสวี่ชีอัน
การต่อสู้ยังไม่จบ หวังว่าเขาจะคิดหาวิธีหลบหนีออกไปได้…
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”
หลวนอวี้ส่ายศีรษะไม่หยุด ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่มีอัจฉริยะที่บำเพ็ญไสยศาสตร์กู่สองชนิดพร้อมกันไม่น้อยเลย แต่ไม่เคยเกิดกรณีนี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่มีใครสามารถย่างเข้าระดับบรรลุธรรมได้เลย
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือชาวที่ราบลุ่มภาคกลางบำเพ็ญลี่กู่และอั้นกู่อย่างไร ทั้งยังบำเพ็ญถึงระดับนี้
ในความเห็นของนาง ระดับความผิดแปลกนี้เหมือนกับปีศาจแดนเหนือยิงปืนใหญ่กับหน้าไม้ และถือธนูกับปืนไฟ
“เป็นความสามารถระดับกำเนิดปราชญ์หรือ”
ฉุนเอียนลองเอ่ยถามขณะหรี่ดวงตากลมโต
ลัทธิขงจื๊อขั้นหก ระดับกำเนิดปราชญ์
ระดับดังกล่าวสามารถเรียนรู้กลวิธีของศัตรูมาเป็นของตนเองได้ จากนั้นบันทึกไว้บนกระดาษโดยใช้พู่กัน ความสามารถหลักของระดับกำเนิดปราชญ์ก็คือ ‘เรียนรู้’
หลวนอวี้ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “หากเขาเป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อ วิชารัญจวนของข้าคงใช้ไม่ได้ผลเลย”
พวกเขาที่กำลังครุ่นคิดโดยไร้ซึ่งคำตอบ ถามองไปยังสวี่ชีอันอีกครั้ง
ข้าประหลาดใจอย่างถึงที่สุดจริงๆ…สวี่ชีอันใช้นิ้วมือจิ้มบาดแผลตรงหน้าผากด้วยรอยยิ้มอันดุร้าย
เขาต้องยอมรับว่าบรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ให้ความร่วมมือกัน มีการจู่โจมสังหารและการควบคุมที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นสามได้อย่างง่ายดายจริงๆ
นี่ยังมีเพียงผู้นำห้าคน หากเพิ่มแม่ย่าแห่งเทียนกู่กับหลงถูเข้ามาด้วย การล้อมสังหารจอมยุทธ์ขั้นสองคนหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก แน่นอนว่า เงื่อนไขแรกคือจอมยุทธ์ขั้นสองจะต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิตโดยไม่ถอย
เมื่อครู่เป็นเพราะร่างธรรมแห่งปัญญาในเจดีย์พุทธะปลุกสติของเขาขึ้นมา ทำให้เขาได้สติกลับมา
แต่ที่จริงแล้วต่อให้ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย สวี่ชีอันก็คิดที่จะใช้วิชากระโดดสู่เงาสลัดตัวจากการโอบล้อมอยู่แล้ว
บรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่แข็งแกร่งมาก แต่น่าเสียดายที่กลวิธีที่พวกเขาแสนภูมิใจเป็นไปได้ยากที่จะใช้กับตนได้ผล ซึ่งนี่ก็คือความมั่นใจที่สวี่ชีอันกล้าดวลหนึ่งต่อห้า
“พวกเราต้องเปลี่ยนแผนรับมือแล้ว”
ฉุนเอียนสูดหายใจลึก ก่อนเอ่ยกับพรรคพวกว่า
“เงา พวกเราไม่สามารถโจมตีขณะใช้วิชากระโดดสู่เงาและวิชาเงามืดจำแลงกายได้ ดังนั้นหากเขากระโดดสู่เงา เจ้าจะต้องบีบให้เขาออกมาทันที จากนั้นประสานวิชารัญจวนกับการควบคุมของข้าเพื่อบังคับและควบคุมเขา”
“ป๋าจี้ เจ้าปล่อยศรพิษทันทีโดยเปลี่ยนเป็นสารพิษที่ทำให้กายหยาบชา เงา เจ้าฉวยโอกาสนี้เข้าจู่โจมเพื่อสังหารเช่นเดียวกับเมื่อครู่ โหยวซือ เจ้ารับหน้าที่ตรึงเขาไว้ แล้วร่วมมือสังหารกับเงา”
เมื่อสิ้นเสียง นางพบว่าสวี่ชีอันหลอมรวมกับเงามืดและหายไป
“เงา!”
ฉุนเอียนตะโกน
พริบตาที่สวี่ชีอันหลอมรวมกับเงามืด ‘เงา’ พุ่งตัวไปข้างหน้าและหายไปโดยไม่ต้องให้นางเตือน
……………………………………………..