ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 675 ปิดเกม (2)
เงามืดมายาทั้งสองไล่ฟัดไล่เหวี่ยงกันบนพื้นดิน จากนั้นทั้งคู่ก็ร่วงลงมาจากเงามืด
เมื่อจอมยุทธ์ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการต่อสู้ควบคุมวิชากระโดดสู่เงาของอั้นกู่ สิ่งนี้ทำให้ยอดฝีมือของระบบต่างๆ ขนพองสยองเกล้าและเสียวสันหลังวาบเพียงนึกถึงมัน
และการกระโดดระยะสั้นของอั้นกู่นั้นเร็วยิ่งกว่าค่ายกลส่งตัวของโหร
ช่างไร้ทางป้องกันและไม่อาจขัดขวางอย่างแท้จริง
มีเพียงอั้นกู่ที่สามารถรับมืออั้นกู่ด้วยกันได้
เมื่อเห็นทั้งสองร่วงลงมาจากเงา ฉุนเยียนอ้าปากแผดเสียงหวีดอันไร้ซึ่งเสียงแต่บาดแหลมเป็นอย่างยิ่งสำหรับจิตเดิมในทันที
หลวนอวี้ขี่ลมเข้าหาสวี่ชีอันด้วยตนเอง กระโปรงบางโปร่งพริ้วระบำเฉกเช่นสตรีงามแห่งยุค
นางแผ่อ้อมกอดด้วยท่านกนางแอ่นบินถลาลงสู่ป่าพร้อมกับแสร้งทำท่าทางอ้อนแอ้นน่าสงสาร ประกายน้ำตาซึ่งวับวาวเปี่ยมดวงตาอันสวยงาม นางเอ่ยอย่างกล้ำกลืนว่า
“อย่าทำร้ายเขาเลย”
การรับมือจอมยุทธ์ด้วยวิชา ‘รัญจวน’ เรียกได้ว่าราบรื่นไปเสียทุกที่ นางเห็นว่าแววตาที่ชายผู้นี้มองนางเปี่ยมด้วยความลุ่มหลง
หลวนอวี้ฉวยโอกาสเข้าไปในร่างเทพอารักษ์ร่างนี้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็นร่างที่นางอยากได้มาครองเสียจนน้ำลายไหล แขนประดุจรากบัวอันเรียวราวเกี่ยวคอของเขาไว้ พร้อมแนบริมฝีปากอันแดงชุ่มลงไป
“ฟู่”
นางเป่ากลิ่นอายที่หอมหวานลงไป และส่งจื่อกู่สิบกว่าตัวเข้าไปในปากของอีกฝ่าย
ขณะนี้เอง นางได้ยินหนุ่มผู้นี้เอ่ยเบาๆ ว่า
“เจ้าทำเช่นนี้กับชายทุกคนเลยหรือ”
‘นี่มัน’…รูม่านตาของหลวนอวี้หดตัวลงอย่างรุนแรง และในวินาทีต่อมา ชายหนุ่มก็พ่นมันกลับเข้าปากของนางในพรวดเดียว กลิ่นอายนี้ร้อนแผดเผาจนจุกเสียดกระเพาะอย่างรุนแรง
“โอ๊ย…”
หลวนอวี้จับท้องน้อยไว้ เส้นเลือดสีดำปูดนูนขึ้นบนใบหน้า พร้อมด้วยเลือดสีดำทะลักออกมาจากปาก
ฉิงกู่ใช้ปราณเสน่หา วิชารัญจวนและการล่อลวงสติปัญญาเป็นหลัก กายหยาบจึงไม่ใช่จุดแข็งของปรมาจารย์ฉิงกู่
แม้พิษของสวี่ชีอันจะไม่รุนแรงเท่าป๋าจี้ แต่มากเพียงพอสำหรับ ‘สตรีอ่อนแอ’ คนหนึ่งแล้ว
เขาอ้าแขนมอบอ้อมกอดหมีให้หญิงสาวผู้สวยหยาดเยิ้ม
แกรก…กระดูกในร่างกายของหลวนอวี้หักไปสิบกว่าท่อน
ลมปราณของเจ้าปลุกอารมณ์ข้าไม่ได้หรอก แต่ลมปราณของข้าทำใจเจ้าติดพิษปางตายได้
สวี่ชีอันพึมพำในใจ
สภาพของหลวนอวี้ทำให้ผู้คนภายในสนามและภายนอกสนามตกตะลึง วิชารัญจวนซึ่งใช้ได้ผลกับทุกคนหมดฤทธิ์ และถูกสวี่ชีอันสร้างความบาดเจ็บสาหัสด้วยกลวิธีที่ไม่ทราบชื่อ
เส้นเลือดสีดำแตกแขนงไปทั่วใบหน้าแสนงาม เลือดสีดำไหลออกจากปากและจมูก…
สีหน้าของป๋าจี้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาเอ่ยตะโกนเบาๆ ว่า
“ตู๋กู่ มันคือตู๋กู่”
เขาตะโกนหลายรอบติดต่อกัน ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะสามารถระบายความตกตะลึงภายในใจออกมาได้
‘สวี่ชีอันเป็นปรมาจารย์ตู๋กู่ด้วยหรือ’
หลงถูหันศีรษะมองผู้อาวุโสทั้งหก กลับพบว่าสิ่งที่อยู่ภายในดวงตาของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกับตน ซึ่งก็คือความงุนงง
‘ชาวที่ราบลุ่มภาคกลางใช้ไสยศาสตร์กู่เป็นถึงสามประเภท ทั้งยังบำเพ็ญถึงระดับสูงมาก’
‘หรือว่าในปีนั้นเว่ยเยวียนจับยอดฝีมือเผ่าพันธุ์กู่เป็นเชลย และรีดเอาศาสตร์ลับจากปากของพวกเขา’
หลงถูคิดว่าตนคาดเดาความจริงถูก
พวกเขาฝ่ายลี่กู่ยังไม่มีเวลาอึ้งทึ่งและครุ่นคิดถึงแหล่งที่มาของไสยศาสตร์กู่ทั้งสามประเภท บรรดาผู้นำในสนามเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเอ้อระเหยลอยชายเช่นกัน
แม้ความตกตะลึงภายในจิตใจของพวกเขาจะไม่น้อยไปกว่าผู้ชมโดยรอบสักนิดก็ตาม แต่พวกเขาอยู่ในการต่อสู้ จึงไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น การรบชนะศัตรูต้องมาเป็นอันดับแรก
ความมืดมิดเข้ามาแทนที่แสงสว่างอีกครา สวี่ชีอันโดนทักษะ ‘อำพราง’ ของอั่นกู่ซ้ำอีกครั้ง ประสาทสัมผัสทั้งห้าและสัมผัสทั้งหกถูกปิดกั้นหมดทั้งสิ้น
เงามืดกลุ่มหนึ่งซึ่งถือกริชที่คดโค้งไว้ในมือปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ และแทงไปที่ระหว่างคิ้วสีทองมืดอย่างสุดกำลัง
มือทั้งสองข้างของโหยวซือถือดาบกระดูกกู่ไว้ข้างละเล่ม เขาหมอบตัวต่ำกว่าสันหลัง วิ่งเพียงสองสามก้าวก็มาถึงตรงหน้าสวี่ชีอัน ดาบทั้งสองเล่มเฉือนไขว้เข้าไปที่ต้นคอ
ป๋าจี้รู้อยู่แล้วว่าพิษไร้ประโยชน์ แต่ยังพ่นศรพิษสีเขียวแก่ออกไปสามดอกอย่างเข้าขากัน
เพื่อเป็นการรับประกันว่าพรรคพวกทั้งสามจะสามารถโจมตีศัตรูได้อย่างไม่คลาดเคลื่อน ฉุนเยียนจึงกรีดร้องเพื่อร่ายการควบคุมด้วยวิชาซินกู่อีกครั้ง
โจมตีของผู้นำทั้งสามโดนศัตรูเต็มๆ แต่นั่นเป็นเพียงเงามืดที่ไร้ซึ่งร่างจริง
เงามืดบิดเบี้ยวประหนึ่งหมอกควันด้วยการโจมตีอันรุนแรงทั้งสาม จากนั้นกระโดดหายไปต่อหน้าเงาและโหยวซือ
‘เงา’ กระโจนเข้าหาเงามืดและไล่ตามไป
“ฉุนเยียน ถอยเร็ว”
โหยวซือแผดเสียงลั่น
สีหน้าของฉุนเยียนผู้มีดวงตากลมโตและงดงามเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าความสามารถในการควบคุมจิตเดิมของตนเองนั้นไร้ผล นางผู้มีประสบการณ์โชกโชนกระโดดพ้นจากพื้นดินภายใต้การแจ้งเตือนจากโหยวซือในทันที การกระทำเช่นนี้สามารถป้องกันศัตรูโผล่ออกมาจากเงาของตนเองได้
และในขณะเดียวกัน เขาก็อ้าปากกรีดร้องโดยไม่ส่งเสียงอย่างไม่ขาดสาย
นางมองลงไปข้างล่างด้วยความระแวดระวังและสุขุมขณะกระโจนอยู่กลางอากาศ พบว่าร่างเงาสีทองมืดโผล่ขึ้นมาใต้ร่มไม้ใกล้ๆ ตน
จากนั้น จอมยุทธ์ก็งอเข่าทั้งคู่ลง หลังสิ้นเสียง ‘โครม’ บนพื้นดิน เขาพุ่งขึ้นมาเหมือนศรแหลมที่ยิงขึ้นไปยังท้องฟ้า
จิตใจของฉุนเยียนหนาวสั่น อ้าปากกรีดร้องไม่หยุด
การกรีดร้องครั้งนี้ไม่ได้สะเทือนจิตเดิมเลย กลับกระตุ้นด้านที่อ่อนโยนและนุ่มนวลต่อสตรีภายในจิตใจของสวี่ชีอันแทน
กลวิธีอีกประเภทของซินกู่ ซึ่งก็คือทักษะจิตร่วม
นอกจากนี้ นางยังเรียกสัตว์ในรัศมีหลายสิบลี้ประหนึ่งลับหอกเมื่อจวนจะต่อสู้
เหตุที่ไม่ได้ใช้ทักษะจิตร่วมหลายครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพราะผลที่ได้จากการสั่นสะเทือนจิตเดิมและบังคับควบคุมนั้นดียิ่งกว่า มันสามารถสร้างความได้เปรียบให้เพื่อนร่วมกลุ่มได้
แต่ทักษะจิตร่วมไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไร มันสามารถกระตุ้นความรู้สึกที่มีอยู่แต่เดิมในธรรมชาติของมนุษย์ แต่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความผิดปกติและหลุดพ้นจากสภาวะจิตร่วมทันทีหากทำมากเกินไป
ตัวอย่างเช่น หากทำให้จอมยุทธ์ที่มีพลังจิตตานุภาพมั่นคงเกิดความตั้งใจที่จะอุทิศชีวิตในการต่อสู้อันเป็นตายหรือเปลี่ยนเป็นคนเฉยเมย ทักษะจิตร่วมประเภทนี้ก็ล้มเหลวไปแล้วมากกว่าครึ่ง
ความนุ่มนวลต่อสตรีที่เลือกในขณะนี้จะต้องอ่อนโยนมากโดยธรรมชาติ ซึ่งอำนาจโน้มนำอยู่ที่ตัวอีกฝ่าย
นอกจากนี้ ทักษะจิตร่วมไม่ใช่การร่ายเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการประสานความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย
หากสวี่ชีอันเกิดความตั้งใจที่จะอุทิศชีวิต นางก็จะเกิดความตั้งใจที่จะอุทิศชีวิตเช่นเดียวกัน
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หากนางบังคับให้สวี่ชีอันเกิดความตั้งใจที่จะอุทิศชีวิต เกรงว่าตนเองจะถลันเข้าไปต่อสู้โหยหาความตายกับสวี่ชีอันแบบสุดชีวิตอย่างอดใจไม่ไหวเป็นคนแรก
ภายใต้ทักษะเห็นใจ หน้าตาของสวี่ชีอันอ่อนโยนขึ้นในทันใด เขาเอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า
“วางใจเถิด ข้าจะเบามือ ไม่ทำเจ้าเจ็บ แม่นางเพิ่งจะเคยครั้งแรกหรือ”
ฉุนเยียนพยักศีรษะอย่างเขินอายพร้อมเอ่ยว่า “อืม”
ไม่กี่วินาทีถัดมา ทั้งสองก็หลุดพ้นจากสภาวะจิตร่วมพร้อมกัน
‘นี่มันแปลกเสียจริงเลย สู้ไปสู้มาก็คุยกันถึงเรื่องนั้นเฉย’
‘ความละมุนละม่อมมันมากเกินไปเสียยิ่งกว่าการเกิดความตั้งใจที่จะอุทิศชีวิต ทักษะจิตร่วมล้มเหลว’
‘เหตุใดความนุ่มนวลต่อสตรีถึงเป็นเช่นนี้’…ความสิ้นหวังผุดขึ้นในดวงตาของฉุนเยียน
ชั่วขณะนี้เอง ข้อเสียของปรมาจารย์ซินกู่ปรากฏออกมาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวนางซึ่งไม่ชำนาญเรื่องการรบราฆ่าฟัน จึงไม่อาจต่อต้านและหลบเลี่ยงเมื่อเผชิญการจู่โจมจากจอมยุทธ์ระดับบรรลุธรรม
กระทั่งความเร็วก็ไม่มากพอให้หนี
‘โครม!’
เสียงพื้นดินทรุดตัวดังขึ้นอีกครั้ง โหยวซือแปลงตนเองเป็นศรแหลมไล่โจมตี พยายามขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้พรรคพวก
ทว่าในช่วงถัดมา ความมืดมิดอันไร้ซึ่งขอบเขตปกคลุมเขา โหยวซือเองจึงได้เข้าใจความรู้สึกเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ของสวี่ชีอัน
แต่ ‘เงา’ ไม่สามารถสำแดงความสามารถอย่างต่อเนื่องได้ในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากเพิ่งจะร่ายทักษะ ‘อำพราง’ ไป ทำได้เพียงมองเด็กหนุ่มแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางก่อกวนฉุนเยียนอย่างช่วยไม่ได้
‘ปังๆๆ!’
สิ่งที่ตอบรับสวี่ชีอันคือกระบวนท่าต่อเนื่องที่คุ้นเคยชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นกระบวนท่าต่อเนื่องที่จอมยุทธ์สลายแรงขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้
เขาเพิ่งจะค้นพบว่า บางทีเพื่อชดเชยการขาดพลังต่อสู้โดยส่วนตัว ปรมาจารย์ซินกู่ผู้งดงามท่านนี้ก็คงเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ระดับสูงสุดควบคู่กัน
สวี่ชีอันจับข้อมือทั้งสองของสตรีงามผู้มีดวงตากลมโตไว้ แล้วบิดมือทั้งคู่ไปที่ด้านหลัง
“ฟ่อๆ”
งูตัวน้อยสีแดงชาดสองตัวซึ่งอยู่ตรงติ่งหูของฉุนเยียนปกป้องนายของมันด้วยความจงรักภักดี พวกมันพุ่งเข้ากัดแขนของชายหนุ่ม
สวี่ชีอันมองออกในครู่เดียวว่างูตัวนี้มีพิษร้ายแรง
งูตัวเล็กบางทั้งสองกัดแขนอันใหญ่โตของสวี่ชีอันดังฉึบๆ งูตัวจิ๋วขดตัวลงด้วยความเจ็บปวดราวเขี้ยวหัก
“เจ้า…”
ภายในดวงตาอันกลมโตของฉุนเยียนเต็มไปด้วยความโกรธและความตื่นตระหนก นางอ้าปากสีชมพูออก และกำลังจะส่งเสียงกรีดร้องอันไร้เสียงออกมา
สวี่ชีอันพ่นปราณเสน่หาที่มีความเข้มข้นสูงพร้อมกับจื่อกู่และฉิงกู่ไปที่ใบหน้าของนาง
จื่อกู่ลำตัวเรียวยาวสีดำเข้าไปในปากของฉุนเยียนและหายไปในชั่วพริบตา
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เลือดของนางเริ่มเดือดพล่าน ผิวหนังถูกย้อมด้วยสีแดงสด ราคะในร่างกายถูกจุดขึ้นและแผดเผาสติปัญญา
‘ฉิงกู่ เขาก็เป็นปรมาจารย์ฉิงกู่เช่นกัน’…ความคิดที่ยากจะเชื่อแวบขึ้นในหัวฉุนเยียน
สติปัญญาซึ่งเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของนางพังทลายลงโดยสิ้นเชิง ผิวหนังแดงสด แก้มร้อนผ่าว เอวบิดเบี้ยวอย่างไม่อาจฝืนทน
เวลามีผลของทักษะ ‘อำพราง’ สั้นมาก โหยวซือฟื้นฟูการรับรู้อย่างรวดเร็ว เขาถือดาบกระดูกกู่เข้าปะทะจากด้านข้าง กลิ่นอายโหดร้ายราวกับต้องการสังหารคู่ชายโฉดหญิงชั่วไปด้วยกัน
เขาจงใจใช้จิตสังหารและปราณดาบเพื่อช่วยให้นาง ‘ตื่น’
เป็นไปตามคาด ร่างกายที่อ้อนแอ้นสั่นเทา ดวงตาที่เลือนรางกลับมาชัดเจนหลังจากได้รับการกระตุ้นจากภายนอก
ทว่าสายไปเสียแล้ว…
‘ตูม!’
ดาบกระดูกกู่สับศีรษะของสวี่ชีอันอย่างรุนแรงจนเกิดประกายไฟ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลบ เพียงออกแรงมอบอ้อมกอดหมีให้ฉุนเยียนขณะที่ดาบกระดูกกู่สับลงมา
‘แกรกๆ!’
ร่างกายของเพศหญิงดูเหมือนจะอ่อนนุ่มเหมือนกันหมด กระดูกก็เปราะบางเช่นเดียวกัน
สวี่ชีอันหักกระดูกทิ้งไปสิบกว่าท่อนอย่างราบรื่น ฉุนเยียนซึ่งติดพิษและโดนปราณเสน่หายืนกลางอากาศอย่างภาคภูมิ นางมองผู้นำอั้นกู่ ซือกู่และตู๋กู่อย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนแสยะยิ้มเอ่ยว่า
“ตาพวกเจ้าแล้ว”
ผู้นำทั้งสามเกิดความหวาดกลัวในจิตใจอย่างไม่มีสาเหตุ
นางสูดหายใจลึก ก่อนพ่นปราณเสน่หาไปที่ทั้งสามคนด้านล่าง
ป๋าจี้และ ‘เงา’ เกิดการตอบสนองทางกายภาพ ยกเว้นมนุษย์ศพ ดวงตาลุกไหม้ด้วยราคะ แต่ยังเอาชนะและยับยั้งราคะได้อย่างรวดเร็วด้วยเจตจำนง
อย่างไรเสียนี่ก็ยังไม่ถึงระดับบรรลุธรรม อานุภาพค่อนข้างด้อยเล็กน้อย
กลวิธีของสวี่ชีอันไม่ใช่เพียงเท่านี้อยู่แล้ว เขาหายไปกลางอากาศในชั่วประเดี๋ยวเดียว
“ป๋าจี้ ระวังใต้เท้า!”
เงาแผดเสียงดังลั่น
ป๋าจี้รับรู้โดยไม่ต้องบอกกล่าวและกระโจนไปด้านข้าง เขาไม่กล้าขี่อากาศเพราะได้เห็นบทเรียนที่ฉุนเยียนได้รับก่อนหน้านี้แล้ว
สวี่ชีอันโผล่ออกมาจากเงาของเขาอย่างที่คาด
ป๋าจี้ควักยาเม็ดสีดำกำหนึ่งจากกระเป๋าหนังสัตว์ที่เอวของเขามายัดเข้าปากไปจนหมดและกลืนลงไปทั้งกำอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ผิวกายของเขาผุดแสงสีดำขึ้นในทันใดนั้น
‘เพียะ!’
ป๋าจี้ตบฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน เกิดควันดำซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นพักๆ ขึ้นพร้อมด้วยเสียงที่ดังขึ้น
ควันดำปกคลุมสวี่ชีอันอย่างรวดเร็ว เกาะติดชั้นผิวหนังของเขาราวแผลเปื่อยที่ลุกลามจากภายใน พร้อมด้วยความเจ็บปวดที่ตามมาภายหลัง
ตามคาด การพ่นเมือกพิษระยะไกลและพิษที่สัมผัสในระยะใกล้ ระดับต่างกันโดยสิ้นเชิง…สวี่ชีอันพึมพำในใจ พิษของป๋าจี้สูงกว่าเขาหนึ่งระดับ เขาไม่อาจย่อยสลายด้วยร่างพิษ
คิดจะบังคับให้ข้าถอยหรือ สวี่ชีอันระเบิดวงแหวนไฟหลังศีรษะ ปัดเป่าควันดำจางหายไปมากกว่าครึ่งประหนึ่งสะบัดม่าน ควันจึงเบาบางลงหลายเท่า
เขาอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องที่ไร้ซึ่งเสียงเพื่อทำให้โหยวซือและ ‘เงา’ ซึ่งกำลังรีบตามมาช่วยจากด้านหลังหยุดชะงัก
สวี่ชีอันคว้าช่องโหว่นี้บังคับให้ควันดำซึ่งมีพิษรุนแรงมุ่งไปหาป๋าจี้ในระยะสองสามก้าว เขาใช้ทั้งมือและเท้า พร้อมด้วยข้อต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นอาวุธ
‘ฉึบๆๆ…’
การต่อสู้ดำเนินไปไม่ถึงสามวินาที ป๋าจี้ก็ถูกฉีกแขนและขาทั้งสองข้าง
แต่สิ่งที่สวี่ชีอันต้องจ่ายคือร่างกายครึ่งท่อนกลายเป็นสีม่วงคล้ำ กายาจิตเทพอารักษ์ถูกพิษกัดกร่อน เกิดอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรงพร้อมกับอาเจียน
หากเป็นผู้นำคนอื่นยกเว้นหลงถู การที่แขนขาถูกฉีกกระชากอย่างรุนแรงก็คงไร้ประโยชน์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แต่ร่างพิษนั้นต่างออกไป ร่างพิษมีความสามารถในการเกิดใหม่อีกประเภท
หลังจากขย้ำป๋าจี้ไปชั่วขณะ ก็เหลือเพียงเงาของอั้นกู่และมนุษย์ศพที่โหยวซือควบคุม มาถึงขั้นนี้แล้วคงง่ายขึ้นมากทีเดียว
สวี่ชีอันซึ่งครองร่างเทพอารักษ์ ร่างอมตะของจอมยุทธ์ รวมไปถึงกลวิธีเจ็ดยอดกู่ ต่อให้ไม่ใช้เจดีย์พุทธะก็คงรับมือมนุษย์ศพขั้นสามหนึ่งตนและปรมาจารย์อั้นกู่ผู้เชี่ยวชาญการลอบฆ่าได้
สถานการณ์จะเป็นเช่นไรคงรู้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว
ความมืดมิดสุดลูกหูลูกตาเข้าปกคลุมโหยวซืออีกครั้ง สวี่ชีอันร่ายทักษะอำพรางใส่เขา
และในขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสทั้งห้าและสัมผัสทั้งหกของสวี่ชีอันก็ถูก ‘เงา’ อำพรางเช่นกัน
‘พรึ่บ!’
เขามองไม่เห็นตำแหน่งของโหยวซือ แต่โหยวซือเองก็แยกแยะทิศทางของเขาไม่ถูกเช่นกัน
แสงดาบที่ทองมืดพุ่งออกมาจากอกของเขา และฟันไปรอบตัวมนุษย์ศพอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นเสียงดัง ‘ฉับๆๆ ’
เขาจับตำแหน่งของโหยวซือโดยอาศัยการชี้นำของดาบไท่ผิง
บ้าคลั่ง!
กล้ามเนื้อโป่งขึ้นเป็นมัดๆ ร่างกายขยายขึ้นเกือบสองเท่าในชั่วพริบตา สวี่ชีอันจับตำแหน่งด้วยการฟังเสียง เขาคว้าโอกาสได้ก่อน การโจมตีประหนึ่งลมฝนคะนองโถมเข้าไปที่ร่างกายของมนุษย์ศพ
ตึงๆๆ…ระหว่างนี้ ระหว่างคิ้วของเขาถูกเฉาะโดย ‘เงา’ อย่างต่อเนื่อง
‘เงา’ ล้มเลิกโดยเร็ว เขาหลอมรวมกับเงามืด และหอบหลวนอวี้ ฉุนเยียน พร้อมด้วยป๋าจี้ที่กลายเป็นมนุษย์ตะบองหนีไปยังที่ที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่อยู่
การตัดสินใจของเขานั้นชาญฉลาด เพราะเขารู้ตัวว่าการเจาะหน้าผากสวี่ชีอันสำหรับเขานั้นยากยิ่งกว่าการที่สวี่ชีอันจะฆ่ามนุษย์ศพ
‘ตุบ…’
ในที่สุดศีรษะของโหยวซือก็ระเบิดเป็นชิ้นๆ หลังจากทุบต่อยไปพักหนึ่ง มันสมองสีขาวเทาสาดกระเด็นไปทั่ว
………………………………………