ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 677 ทักษะเจรจาต่อรอง
มาเร็วจริงๆ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว เขายังไม่ทันได้พูดโน้มน้าวผู้นำหลวนอวี้และป๋าจี้ให้ยินยอมอย่างสมบูรณ์เลย เดิมทีคิดว่าจะโน้วน้าวคนเหล่านี้ก่อน แล้วค่อยให้พวกเขาไปช่วยโน้มน้าวเผ่าซือกู่ เป็นการใช้กำลังส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์กู่มากดดันคน
ไม่คิดเลยว่าโหยวซือจะมาเร็วขนาดนี้ แถมยังมาในรูปแบบของศพนกตรงๆ ด้วย
ศพนกบินวนอยู่กลางอากาศพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เบื้องล่างสงบลงแล้ว อีกทั้งผู้นำร่วมเผ่าแต่ละคนก็ปลอดภัยไร้อันตรายใดๆ มันจึงบินลงมายังเบื้องล่างแต่ไม่ได้เข้าใกล้นัก ทว่ามองดูพวกแม่ย่าเทียนกู่จากที่ไกลๆ แทน
“พวกเจ้าถูกจับตัวแล้วสินะ”
ศพนกบินอยู่กลางอากาศแล้วพูดภาษามนุษย์ออกมา เสียงของมันแหบพร่าและทุ้มต่ำ นั่นก็คือโหยวซือ
หลังจากจื่อกู่ที่เป็นกาฝากเข้าไปอยู่ในร่างของมนุษย์ศพถูกฆ่า มันก็กลายเป็นนกศพเพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์ทันที
ซึ่งสถานการณ์ตรงหน้าก็ทำให้มันโล่งอก
ปรมาจารย์ซือกู่มีข้อดีที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องของความอยู่รอดปลอดภัย ขอเพียงหาสถานที่ซ่อนร่างกายไม่เจอ ไม่ว่าหุ่นเชิดจะตายไปสักเท่าไหร่ ร่างจริงก็ยังสามารถปลอดภัยไร้อันตรายได้เสมอ
สวี่ชีอันมองพิจารณาเขา นกยักษ์ของโหยวซือก็มองตอบมานิ่งๆ
“พวกเราบรรลุข้อตกลงกันแล้ว” สวี่ชีอันบอก
โหยวซือไม่สนใจเขา ดวงตาว่างเปล่าตายด้านนั้นหันไปมองแม่ย่าเทียนกู่แทน ซึ่งนางก็ได้เล่าเรื่องที่พูดกับผู้นำทั้งหลายให้โหยวซือฟังจนหมดเปลือก
นกยักษ์เอนศีรษะมองไปยังพวกหลวนอวี้ หลังจากได้รับคำตอบยืนยันแล้ว มันก็นิ่งคิดไปพักหนึ่ง
“ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้าน พวกเจ้าและต้าฟ่งผูกพันธมิตรกัน นั่นเป็นเรื่องของพวกเจ้า แต่เผ่าซือกู่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว นี่ก็เป็นเรื่องของเผ่าซือกู่ พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกัน”
พวกหลวนอวี้ขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรเผ่าพันธุ์กู่จะโจมตีและล่าถอยไปพร้อมกันเสมอ จึงไม่มีเหตุผลให้มาพบเจอกันในสนามรบ
สวี่ชีอันชี้ไปที่หุ่นเชิดมนุษย์ศพข้างกาย แล้วเอ่ยช้าๆ ไม่รีบร้อน
“ข้าไม่ต้องการกองกำลังจากเจ้า ขอแค่เจ้าไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว หุ่นเชิดตัวนี้ก็มอบให้เจ้าได้ หุ่นเชิดที่มีร่างวิญญาณขั้นสาม เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่พอแล้วหรือไม่”
โหยวซือไม่แม้แต่จะเหลือบมองหุ่นเชิด เขายิ้มเยาะ
“เจ้าดูแคลนเผ่าซือกู่ของข้ามากเกินไปแล้ว หุ่นเชิดที่อยู่ในขั้นเดียวกัน เผ่าของข้าก็มีอยู่ตัวหนึ่ง”
เขาคือปรมาจารย์ซือกู่ขั้นสามที่ถูกจำกัดในด้านระดับขั้น ในหนึ่งครั้งจึงควบคุมมนุษย์ศพระดับนี้ได้แค่หนึ่งตัว พร้อมกับขั้นสี่อีกสองสามตัว
หากมิใช่เพราะแบบนี้ ผู้ที่มาเยือนเมื่อครู่คงไม่ใช่ ‘เทพหกดารา’ แต่เป็นหุ่นเชิดขั้นสามอีกตัวแล้ว
เผ่าซือกู่ที่มีชื่อในด้านการฝึกฝนและเลี้ยงศพนั้นมีประวัติยาวนานเป็นพันปี แล้วเหตุใดจึงจะมีมนุษย์ศพเหนือสามัญเพียงตัวเดียวกันเล่า มนุษย์ศพขั้นสามที่ทิ้งไว้ในเผ่านั้นไม่ใช่สายจอมยุทธ์ แต่เป็นศพของผู้แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจ
เป็นเช่นดังว่า เมื่อดูจากความโกรธแค้นของเผ่าซือกู่ที่มีต่อต้าฟ่งแล้ว หากคิดจะทำให้เขาละทิ้งความเกลียดชังในอดีต คงเป็นเรื่องยากมาก...สวี่ชีอันเตรียมใจในเรื่องนี้มานานแล้ว
หลงถูขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“เว่ยเยวียนตายไปแล้ว ความแค้นสังหารบิดาของเจ้าจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว โหยวซือ อย่าให้ความคิดหมกมุ่นของเจ้าเพียงคนเดียวมาทำให้เผ่าซือกู่เอาใจออกห่างจากเผ่าพันธุ์กู่เลย”
“ความแค้นสังหารบิดา มิใช่พูดว่าลืมก็ลืมได้ หรือบอกว่าจบก็จะจบได้หรอก” โหยวซือแค่นยิ้ม ดวงตาว่างเปล่ากวาดมองทุกคน
“ผู้ที่เอาใจออกห่างจากเผ่าพันธุ์กู่คือพวกเจ้า หลวนอวี้ เจ้าลืมเรื่องที่ถูกกองทัพต้าฟ่งจับไปเป็นเชลยและผู้คนในเผ่าที่ถูกส่งเข้าสำนักสังคีตแล้วหรือ ป๋าจี้ คนในเผ่าห้าพันคนถูกสังหาร เผ่าตู๋กู่ของเจ้า จนถึงบัดนี้ล้วนเป็นเผ่าที่มีคนน้อยที่สุดแล้ว เจ้าอยากเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่ง แล้วเคยคิดว่าคนในเผ่าจะเห็นด้วยหรือไม่ และยังมีลี่กู่ อั้นกู่ ซินกู่ เทียนกู่ ปีนั้นเผ่าของพวกเจ้าตายอยู่ที่ยุทธการด่านซานไห่ไปก็ไม่น้อย ใครกันแน่ที่กำลังเป็นปฏิปักษ์กับเจตจำนงของเผ่าพันธุ์กู่?”
หลวนอวี้และป๋าจี้มีสีหน้าลำบากใจทันที พวกเขาคนหนึ่งโลภในร่างกายของสวี่ชีอัน ส่วนอีกคนโลภในสมุนไพรพิษขั้นสูง ภายในใจพลันบังเกิดความขัดแย้งและลังเลขึ้นมา
คำพูดของโหยวซือเหมือนกับมีดกรีดใจพวกเขา มันทำให้พวกเขาทั้งกังวลและต่อต้าน
เมื่อเทียบกับกองกำลังหลักแล้ว ประชากรของเผ่าพันธุ์กู่น้อยจนน่าสงสาร แต่ทุกคนในเผ่าพันธุ์กู่ล้วนเป็นนักรบ คนในเผ่าแต่ละคนล้วนแต่ฝึกวิชากู่ กำลังต่อสู้ของแต่ละเผ่าก็แข็งแกร่งจนน่ากลัว
สิ่งนี้หมายความว่าพวกผู้นำนั้นไม่เหมือนกับจักรพรรดิของภาคกลางที่สามารถฆ่าคนยึดทรัพย์ตามอำเภอใจกับคนธรรมดาได้
เพราะคนในเผ่าไม่ใช่ลูกแกะ หากผู้นำทรยศคนในเผ่า พวกเขาก็จะไปขอความช่วยเหลือเผ่าอื่นๆ เพื่อล้มล้างผู้นำคนนั้นได้ หรือไม่ก็ขับไล่ออกจากซินเจียงตอนใต้แล้วให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่น
“การผนึกเทพเจ้ากู่เป็นเรื่องใหญ่ของเผ่าพันธุ์กู่ อยู่เหนือบุญคุณความแค้นของคนเพียงคนเดียว”
ปรมาจารย์ซินกู่ฉุนเยียนเอ่ยเสียงเรียบ
เพียงประโยคนี้ก็หยุดความแข็งกร้าวของโหยวซือไปได้ และทำให้เขาเงียบไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนี้เฉลียวฉลาด สมกับเป็นปรมาจารย์ซินกู่…สวี่ชีอันเหลือบมองนางแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
โหยวซือเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ได้ ละทิ้งบุญคุณความแค้นไป พูดถึงแค่เรื่องการผนึกเทพเจ้ากู่ การเป็นพันธมิตรกับเทพเจ้ากู่ก็สามารถผนึกเทพเจ้ากู่ได้เช่นกัน อีกทั้งสถานการณ์ของต้าฟ่ง ทุกคนคงจะเข้าใจกันแล้ว เช่นนั้นเหตุใดจึงเดิมพันทางฝั่งผู้ที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเล่า อีกอย่าง หากเลือกเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว คนในเผ่ามีแต่จะยินดีปรีดา ตื่นเต้นจนเลือดร้อน และก็มีแต่จะลับมีดให้คมยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่หากเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งก็ต้องเจอกับการเอาใจออกห่างของคนในเผ่าด้วย”
นอกจากหลงถูแห่งเผ่าลี่กู่แล้ว ผู้นำแต่ละคนก็พากันขมวดคิ้วและเงียบงันไม่พูดจา
ความหวั่นไหวและความลังเลของพวกเขาแทบจะเขียนชัดอยู่บนใบหน้า คำพูดของโหยวซือทั้งเอ่ยถึงเรื่องความเกลียดชังของเผ่าพันธุ์กู่ต่อต้าฟ่ง และชี้ชัดถึงสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งพวกเขาต้องเผชิญหากช่วยเหลือต้าฟ่ง
พูดตามตรง แม้จะสลัดความเกลียดชังทิ้งไป แต่เพียงแค่ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียดู หากสถานการณ์ในต้าฟ่งเลวร้ายแบบที่เก่อเหวินเซวียนบอกมาจริงๆ การที่เจ้าแห่งอวิ๋นโจวซึ่งมีสำนักพุทธคอยช่วยเหลือจะล้มล้างราชสำนักต้าฟ่ง ก็มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ยิ่งบวกกับความเห็นที่เอนเอียงไปส่วนใหญ่ เช่นนั้นก็แทบจะแน่นอนได้เลย
หลงถูเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยเตือนพวกเขา
“พวกเจ้าอย่าลืมสถานการณ์ของตัวเอง หากมิใช่เพราะสวี่ชีอันออมมือ พวกเจ้าก็คงตายไปนานแล้ว”
โหยวซือเหลือบมองสวี่ชีอันแล้วยิ้มเย็น
“อ้อ ข้าลืมไป ตอนนี้พวกเจ้าเป็นเชลยของเขา ทำได้แค่ตอบรับ ไม่อาจปฏิเสธ”
ผู้นำแต่ละคนมองไปยังสวี่ชีอันแล้วพากันขมวดคิ้ว
สมองของเผ่าลี่กู่นี่ไม่มีให้ใช้จริงๆ…สวี่ชีอันถอนหายใจอยู่ในใจ
ที่เขาออมมือและยอมนั่งลงพูดคุยกับผู้นำทุกคนไม่ใช่เพราะต้องการตอบแทนความแค้นด้วยความดีจริงๆ หรอก แต่เพราะต้องการให้พวกเขายกเลิกการเป็นพันธมิตรกับกองทัพกบฏอวิ๋นโจว ดังนั้น ‘น้ำใจ’ นี้จึงเป็นบันไดขั้นหนึ่ง
เพื่อทำให้เหล่าผู้นำยินดีนั่งลงพูดคุยต่อรองกันเท่านั้น
และในฉากสุดท้าย เขาก็จะหยิบยกผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันออกมา เผ่าพันธุ์กู่รับปากว่าจะไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว และส่งกำลังมาช่วยเหลือต้าฟ่ง ไม่ใช่เพราะว่าสวี่ชีอันไม่สังหารพวกเขา
หากนี่เป็นการขู่กรรโชก ก็สามารถใช้เหตุผลที่ว่า ‘ชีวิตของพวกเจ้าอยู่ในกำมือข้าออกมาได้’
หากอยากให้เผ่าพันธุ์กู่ผูกพันธมิตรกับต้าฟ่งด้วยความจริงใจ เหตุผลนี้ก็จะหยิบยกออกมาไม่ได้ การข่มขู่เช่นนี้ใช้ได้กับงานที่ทำเพียงครั้งเดียวจบเท่านั้น หากนำมาใช้กับการผูกพันธมิตร ไม่แน่คนอื่นเขาอาจจะไปร่วมมือกับอวิ๋นโจวแบบลับๆ แล้วหันกลับมาแทงข้างหลังเจ้าก็เป็นได้
โหยวซือเหลือบมองหลงถู ดวงตาว่างเปล่าตายด้านไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ตัวจริงของเขาย่อมมีความเย้ยหยันและยิ้มเยาะอยู่เต็มหน้าแน่นอน
แค่ชี้นำธรรมดาๆ ก็ทำให้เผ่าลี่กู่จอมโง่เขลาติดกับแล้ว
สวี่ชีอันสมองแล่นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็คิดถึงความเป็นไปได้หลายแบบ ซึ่งรวมถึงการกำจัดปัญหาให้สิ้นซาก
ด้วยสภาพในตอนนี้ อั้นกู่เขาสังหารไม่ได้แน่ หนีเร็วเกินไป ซินกู่ ตู๋กู่ ฉิงกู่ ผู้นำของสามเผ่านี้พอจะสังหารได้อยู่ แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ เผ่าลี่กู่คงจะสู้ตายกับข้าแน่…เช่นเดียวกัน ข้าก็ไม่อยากเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่หรอก ถ้าเป็นเช่นนั้น เผ่าพันธุ์กู่คงถูกผลักไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามโดยสมบูรณ์ อีกอย่าง แม่ย่าเทียนกู่ก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรมาโดยตลอด จะสงบเกินไปแล้ว
นางเชื่อมั่นในตัวข้าขนาดนั้นเลยหรือ นางไม่กลัวว่าหากบีบข้าจนมุม จะทำให้เกิดฉากล่าสังหารขึ้นหรือ? พวกเราเพิ่งจะเจอหน้ากัน นางก็ไม่ได้รู้จักข้าขนาดนั้น นางกลับใจเย็นเกินไปแล้ว
เว้นแต่ว่านางจะมีไพ่ลับ ดังนั้นจึงไม่กล้วข้าล้มกระดาน
สวี่ชีอันหรี่ตาลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นมาทันใด
“ทุกคนอาจยังไม่รู้ สำนักพุทธนั้น นอกจากพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่กับจอมยุทธ์ภิกษุจำนวนน้อยนิดแล้ว ก็ไม่มีกำลังยื่นมือมาทำศึกในภาคกลางหรอก เพราะปีศาจทางใต้กำลังก่อเรื่อง หากไม่เชื่อ ภูเขาสือว่านก็อยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ ห่างจากเผ่าพันธุ์กู่ไม่ถือว่าไกลนัก พวกเจ้าลองส่งคนไปสืบดูก็รู้เอง”
ผู้นำแต่ละคนผงะไปเล็กน้อย ส่วนโหยวซือหันหัวนกมาอย่างฉับพลัน ดวงตานิ่งสนิทว่างไหวงจ้องเขม็งมาที่เขา
ฉุนเยียนพยักหน้าเบาๆ “เรื่องนี้พวกเราจะส่งคนไปตรวจสอบดูแน่”
หากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นสถานการณ์ในภาคกลางก็ไม่ได้แน่นอนแบบที่เก่อเหวินเซวียนพูดแล้ว แม้จะไม่คิดเรื่องการเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่ง แต่พวกเขาก็ต้องพิจารณาใหม่อีกทีถึงความเสี่ยงในการไปโจมตีต้าฟ่ง
สวี่ชีอันเอ่ยต่อ
“อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า อวิ๋นโจวมีกองทัพที่แข็งแกร่งจริงๆ อีกทั้งต้าฟ่งก็มีทั้งศึกนอกศึกใน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าต้าฟ่งจะต้องแพ้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นโจวก็คงส่งคนมาตระเวนพูดโน้มน้าวในเผ่าพันธุ์กู่ไปทั่วแล้วสิ”
เมื่อเห็นเหล่าผู้นำกำลังครุ่นคิด สวี่ชีอันก็ถือโอกาสนี้ตีเหล็กตอนยังร้อนอยู่
“ภายในสถานการณ์เช่นนี้ การเข้ามาของเผ่าพันธุ์กู่คือกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานการณ์รบ หากเผ่าพันธุ์กู่และต้าฟ่งเป็นพันธมิตรกัน ชัยชนะย่อมรออยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้อ่อนแออย่างที่ผู้นำโหยวซือพูด สิ่งที่อวิ๋นโจวมอบให้ได้ ต้าฟ่งของข้าก็มอบให้ได้เช่นกัน ส่วนเรื่องจิตใจของคนในเผ่าพันธุ์กู่ คำสัญญาที่ข้าให้เมื่อสักครู่จะมีผลอย่างแน่นอน ข้าจะมอบสมุนไพรพิษขั้นสูงจำนวนหนึ่งให้กับเผ่าตู๋กู่ ส่วนข้อเรียกร้องของผู้นำหลวนอวี้ ข้าก็จะพยายามเติมเต็มให้ได้มากที่สุด”
โหยวซือแค่นเสียง
“เท่านี้หรือ? อาศัยแค่เรื่องเท่านี้เพื่อจะมาสยบความเกลียดชังที่เผ่าพันธุ์กู่มีต่อต้าฟ่งหรือ ฝันไปเถอะ”
ป๋าจี้และหลวนอวี้หวั่นไหว แต่พวกเขาเลือกที่จะเงียบ เพราะความจริงแล้วก็เป็นอย่างที่โหยวซือพูด สมุนไพรพิษขั้นสูงและผลไม้พิษไม่ใช่ความต้องการพื้นฐาน แต่สำหรับป๋าจี้ที่ไม่ได้มีความแค้นยิ่งใหญ่ต่อต้าฟ่งแล้ว ย่อมต้องรับด้วยความยินดี
แต่สำหรับผู้คนในเผ่าตู๋กู่ เรื่องนี้ไม่พอจะสยบความแค้นที่สังหารคนไปครึ่งเผ่าได้
ส่วนหลวนอวี้ นี่ยิ่งเป็นความต้องการส่วนตัว นางมีชายหนุ่มชั้นเลิศให้นอนเพื่อฝึกฉิงกู่ด้วย แต่พี่สาวน้องสาวในเผ่าล่ะ? แม้ว่าจะให้สวี่ชีอันหมุนเวียนเปลี่ยนกันทุกวันเพื่อให้เหล่าพี่สาวน้องสาวอิ่มหนำกันถ้วนหน้า แต่เช่นนี้จะทำอย่างไรกับผู้ชายในเผ่าเล่า?
“ช่างเถอะ ข้าเข้าใจความลำบากใจของพวกเจ้า”
สวี่ชีอันเห็นว่าแผนการถูกเปิดโปงแล้ว เขาจึงถอนหายใจออกมา
“ข้าไม่ยืนกรานให้ส่งกำลังพลให้แล้ว เพียงแต่หวังว่าผู้นำทั้งหลายจะเลือกอยู่ตรงกลางและไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจวก็พอ คำสัญญาที่บอกจะมอบของให้เมื่อครู่ก็จะไม่เปลี่ยนด้วย”
หลวนอวี้และป๋าจี้ตะลึงงัน พวกเขามองหน้ากับและแทบจะพูดออกมาพร้อมกันว่า
“ได้!”
ถ้าหากแค่ให้เลือกอยู่ตรงกลางและไม่ส่งกำลังให้ต้าฟ่ง เช่นนี้ก็ดี พวกเขาสามารถอ้างด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะสถานการณ์ไม่แน่นอน จึงไม่ต้องการให้คนในเผ่าวิ่งไปหาความตายและใช้มาเอาใจคนในเผ่าได้
สิ่งนี้ไม่เพียงได้ความชอบธรรมเท่านั้น แต่ยังสามารถนำรางวัลมากมายมาให้คนในเผ่าด้วย (ตู๋กู่)
สวี่ชีอันยิ้มออกมา ตั้งแต่แรกเขาก็ไม่ได้หวังว่าเผ่าพันธุ์กู่จะส่งกำลังมาช่วยต้าฟ่งอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งกันล้ำลึกเกินไป ลึกเสียจนแม่ย่าเทียนกู่ต้องมาเตือนเขาด้วยตัวเอง
ภายในสถานการณ์ที่อวิ๋นโจวและต้าฟ่งสามารถทำตามข้อเรียกร้องของเผ่าพันธุ์กู่ได้ทั้งคู่นั้น หากคิดจะให้เผ่าพันธุ์กู่ปล่อยวางความแค้นเก่าก่อนไป ย่อมมีความเป็นไปได้ต่ำมาก
แผนการที่แท้จริงของสวี่ชีอันคือโน้มน้าวพวกเขาก่อน แล้วค่อยหาวิธีทำให้เผ่าพันธุ์กู่ยกเลิกการเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว
ส่วนการส่งกำลังช่วยเหลือนั้น เป็นเพียงทักษะการเจรจาเฉยๆ โดยการตั้งราคาชีวิตเอาไว้สูงๆ จากนั้นตัดจนต่ำลงมา จนเกิดเป็นความรู้สึกประเภทที่ว่า ‘ข้าเสียน้อยแต่ได้มาก’ และ ‘แบบนี้ก็พอจะรับได้’ ขึ้นมา
ยังไม่จบ การทำให้เผ่าพันธุ์กู่ยกเลิกการเป็นพันธมิตรนั้นคือขั้นแรก
ขั้นต่อไป สวี่ชีอันยังคงต้องการให้พวกเขาส่งกำลังออกมา แต่ไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดส่งออกมาเต็มกำลังทุกเผ่า เขาจะใช้เสบียงอาหารเป็นการต่อรองแล้วเชิญยอดฝีมือของเผ่าลี่กู่มาร่วมรบ
เมื่อมีทรัพยากรและสินค้ามากมายเป็นเครื่องต่อรอง ก็สามารถเชิญอั้นกู่และซินกู่มาร่วมรบด้วย สองเผ่านี้มีความแค้นน้อยนิดต่อต้าฟ่ง เมื่อให้คำสัญญาอย่างหนักแน่น การขอให้พวกเขาร่วมรบก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ซินเจียงตอนใต้ไม่ขาดแคลนเสบียงอาหาร แต่ขาดแคลนเครื่องลายคราม ใบชา ผ้าไหม ตำรา และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
ขอแค่มอบให้อย่างเพียงพอ พวกเขาก็จะตอบรับ
แต่ว่า สวี่ชีอันยังคงประเมินความหมกมุ่นในความแค้นสังหารบิดาของโหยวซือต่ำไป
หากอยากให้แผนการนี้สำเร็จราบรื่น โหยวซือก็จะเป็นอุปสรรคที่ยากจะก้าวผ่านไปได้
ถ้าหากไม่ปลอบใจเขา ด้วยธรรมเนียมการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเผ่าพันธุ์กู่แล้ว อีกหกเผ่าก็ยากจะนิ่งดูดายอยู่ข้างๆ
โหยวซือแค่นเสียงหัวเราะ
“พวกเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า เผ่าซือกู่ของข้าตัดสินใจจะเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจวแล้ว ไม่มีใครขัดขวางได้ ข้าก็อยากจะดูซิว่า พอถึงเวลานั้นจะมีคนในเผ่าฉิงกู่และเผ่าตู๋กู่กี่คนที่ยินดีติดตามข้า”
ป๋าจี้และหลวนอวี้หน้าเปลี่ยนสิ
หัวนกหันไปมองสวี่ชีอัน “เจ้าจะลองสังหารข้าก็ได้นะ พอฆ่าข้าแล้ว ปัญหาก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น”
“ผู้นำโหยวซือจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า”
สวี่ชีอันไม่ร้อนรนแม้แต่น้อย เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่ข้าก็มีของขวัญจะมอบให้กับเผ่าซือกู่เช่นกัน เหตุใดไม่ดูข้อต่อรองของข้าก่อนเล่า”
หากเป็นซินกู่และอั้นกู่ สวี่ชีอันก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีของอะไรที่จะทำให้อีกฝ่ายพอใจได้ แม้ว่าแม่ม้าน้อยจะน่ารักครองใจคน แต่มันก็เป็นแม่ม้า และฉุนเยียนก็เป็นผู้หญิง
เข้ากันไม่ได้
ความต้องการของอั้นกู่คือมุมที่สามารถหลบซ่อนได้ ของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะมอบให้ได้เลย
แต่สำหรับเผ่าซือกู่ ในฐานะร่างกาฝากของเจ็ดยอดกู่ สวี่ชีอันจึงเข้าใจดีว่าความต้องการของเขาคืออะไร
โหยวซือราวกับได้ยินเรื่องตลกครั้งใหญ่ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลน
“ไม่ว่าเจ้าจะมีข้อต่อรองอะไร ข้าก็ไม่…”
ตอนนี้เอง เขาก็เห็นสวี่ชีอันหยิบกระจกหยกบานหนึ่งขึ้นมาแล้วเอียงหน้ากระจก
‘เคร้ง’!
โลงศพโลงหนึ่งโผล่ออกมา ขณะที่กำลังตกใจ ฝาโลงก็เลื่อนออกแล้ว
ลี่น่าปิดจมูกแล้วถอยหลังรัวๆ แค่ได้กลิ่นที่แผ่ออกมาจากโลงศพ นางก็เวียนหัวจนจะเป็นลม
หลงถูใช้มือใหญ่ราวกับใบพัดปิดหน้าของสวี่หลิงอินเอาไว้ จากนั้นก็พานางไปไกลๆ
ในโลงศพ ศพโบราณเน่าเปื่อยหนึ่งศพปรากฏสู่สายตาของทุกคน
มันดูเหมือนกับศพแห้งที่หลับใหลมาชั่วกัปชั่วกัลป์ อีกทั้งยังเสียหายอย่างแสนสาหัส ทั้งกระดูกอก ซี่โครง กระดูกแต่ละแห่งล้วนแต่แตกหัก ศีรษะก็ขาดวิ่นไปด้วย
แต่แววตาของโหยวซือกลับตกลงบนร่างศพโบราณนั่นแล้วไม่เคลื่อนออกห่างไปเลย
……………………………