ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 678 แนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
“นี่คือ…”
โหยวซือถามสองคำนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว ภายในใจของเขากำลังต่อต้าน ไม่อยากตกหลุมพรางของสวี่ชีอัน
แต่เมื่อเขาเห็น’ศพโบราณศพนี้ดวงตาของเขาควบคุมไม่ได้ อารมณ์ของเขายากที่จะสงบลง ความปรารถนาของเขาดุจดังกระแสน้ำพลังมหาศาลที่โหมซัดสาดสติสัมปชัญญะของเขาจนพังทลาย
มันสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง ศพศพนี้สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง มันเป็นศพที่สมบูรณ์แบบกว่าศพใดๆ ที่เขาเคยเห็นมา และดึงดูดใจมากกว่าหุ่นกระบอกใดๆ ในเผ่าซือกู่ ถึงแม้ว่ามองดูแล้วมันจะชำรุดทรุดโทรมอย่างมาก
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่พูดยิ้มๆ ว่า
“หากหัวหน้าโหยวซือสนใจ ลองเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ได้”
“หึ ข้าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย” โหยวซือตอบแบบปากแข็ง ปีกทั้งสองข้างกระพืออย่างระมัดระวัง ร่อนลงข้างๆ โลงศพ
จ้องมองไปที่ศพโบราณเป็นเวลานานโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว กรงเล็บทั้งสองข้างขยับไปมา เดินวนดูรอบๆ โลงศพหนึ่งรอบอย่างใจจดใจจ่อจังหวะก้าวของมันช้ามากๆ ราวกับนักสะสมของเก่ากำลังชื่นชมโบราณวัตถุยุคโบราณที่ล้ำค่า
ทันใดนั้นโหยวซือก็ร้อง “เอ๊ะ” แล้วก็จิกที่ใบหน้าของศพโบราณอย่างแรง
จะงอยปากเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ เห็นได้ชัว่าได้ใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำลายศพโบราณได้ และไม่มีเสียงกระทบกันของโลหะดังออกมา
โหยวซือเงยหน้าขึ้นอย่างแรง มองไปที่สวี่ชีอัน อยากจะพูดแต่ก็เงียบไปชั่วขณะ แต่ก็ยังคงทนไม่ไหว จึงถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“นี่ไม่เหมือนศพของทหาร แต่ความทนทานและความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นมีมากกว่าศพเดินได้ขั้นสามของข้า”
สวี่ชีอันพูดยิ้มๆ ว่า
“ผู้เชี่ยวชาญนี่นา ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ศพของทหาร ศพนี้เป็นซากศพของผู้กล้าแห่งลัทธิเต๋าท่านหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นสุดยอดของขั้นสอง หลังจากล้มเหลวในการหนีเคราะห์กรรม ก็ได้ผลัดร่างเก่า กลายเป็นศพนี้”
ความจริงสุดยอดของขั้นสองเป็นการประเมินแบบรอบคอบมาก
น้ำเสียงของโหยวซือมีความทุ้มเล็กน้อย “สุดยอดของขั้นสอง เจ้าแน่ใจว่าเป็นสุดยอดของขั้นสอง?”
ขณะที่ถาม ปีกทั้งสองข้างของเขากระพือหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว เหมือนเป็นการเน้นน้ำเสียงให้หนักแน่น
“เทพเจ้าหยางขั้นสามไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่งและเป็นอมตะเช่นนี้” สวี่ชีอันพูดยิ้มๆ
โหยวซือหมดหนทางโต้แย้ง เทพเจ้าหยางของลัทธิเต๋าไม่มีร่างกายแบบนี้จริงๆ และเมื่อครู่เขาได้ทดสอบด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่ร่างกายของทหารจริงๆ
“ทำไมเขาจึงถูกทำลายขนาดนี้?”
โหยวซือพยายามทำให้น้ำเสียงสงบอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้สวี่ชีอันฟังออกว่าเสียใจและอยากได้ศพศพนี้ขนาดไหน
เจ้าต้องรู้ว่ามันเคยเกิดสติปัญญา อาจจะบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น…สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้โหยวซือฟัง แบบนี้สามารถเพิ่มเงื่อนไข ทำให้อีกฝ่ายยิ่งหมดหนทางที่จะปฏิเสธ
“เรื่องนี้พูดแล้วมันยาว ศพนี้เคยเกิดสติปัญญามาก่อน มีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตปกติ ข้าปิดผนึกมันไว้ในสุสานที่พบมัน หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ได้กลับมาที่สุสานโดยบังเอิญ จึงพบว่าร่างกายของเขาถูกทำลาย น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง”
ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ร่างกายของนกยักษ์แข็งทื่อ และไม่ได้ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน
“เจ้าหลอกข้า! เจ้าหลอกข้า! เจ้าหลอกข้า!”
โหยวซือวู่วามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตะคอกเสียงดัง
ในฐานะที่เป็นกลุ่มควบคุมศพมืออาชีพ เป้าหมายทางความรู้สูงสุดของเผ่าซือกู่ก็คือจะทำอย่างไรให้ “ฟื้นคืนชีพ”
สิ่งนี้ไม่เหมือนกับการที่ผู้กล้าจิตเดิมยึดครองศพ การกระทำเช่นนี้เรียกว่าการเคลื่อนย้ายวิญญาณไปยังศพ การเข้าสิง และสิ่งที่ปรมาจารย์ซือกู่ต้องการก็คือการทำให้ศพกลับมามีชีวิต
คนที่ตายไปแล้วจริงๆ ย่อมไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ตายแล้วคืนชีพได้ ก็คือการทำให้ศพเกิดสติปัญญา
แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้ หลายพันปีมานี้ เผ่าซือกู่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย
หลงถูและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันอย่างหมดปัญญา สีหน้าประหลาด โดยเฉพาะหลวนอวี้และฉุนเยียน ในแววตาของสาวงามทั้งสองมีแววรังเกียจผ่านเข้ามาแวบหนึ่ง
เพราะพวกนางคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง
บรรดาผู้อาวุโสของเผ่าซือกู่เคยคาดการณ์ไว้ว่า วิญญาณที่ได้รับความเสียหายที่เหลืออยู่ในร่างกายของศพเดินได้ หากเพาะเลี้ยงได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นจิตเดิมได้อย่างแท้จริง ศพก็จะเกิดสติปัญญา
จากนั้นก็จะฟื้นคืนชีพและเกิดใหม่
วิญญาณที่ได้รับความเสียหายที่ไม่มีปณิธานเป็นของตนเองจะแปรเปลี่ยนเป็นจิตเดิมอย่างแท้จริงได้อย่างไร? มันน่าขันและไร้สาระเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่สร้างร่างกายโดยตรงโดยไม่ได้ผ่านการตั้งครรภ์สิบเดือนนั่นแหละ
ในมุมมองของผู้คนหกชนเผ่านี้ นี่เป็นการหาข้ออ้างคนของเผ่าซือกู่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวเองกับความพิกลพิการของศพ ยัดเยียดนำศพเดินได้มาเปรียบกับคน
เมื่อสบตาที่ที่เต็มไปคำถามของโหยวซือ สวี่ชีอันทำเหมือนทบทวนความหลังเล็กน้อย แล้วพูดว่า
“มันเคยบอกข้าว่า ตอนที่นักพรตคนนั้นผลัดร่างเก่า มีวิญญาณที่ได้รับความเสียหายส่วนหนึ่งเหลืออยู่ในนั้น วิญญาณที่ได้รับความเสียหายส่วนนี้ได้รับการซ่อมแซมโดยวิธีการพิเศษของนักพรต จนกลายเป็นจิตเดิมที่สมบูรณ์”
ผู้นำทุกคนฟังแล้วต่างตกตะลึง หันไปมองโหยวซือด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ ต่างก็พบว่าเขาตกใจด้วยความหวาดกลัวอยู่ตั้งนานแล้ว
“เป็นจริงดั่งคาดจริงๆ ด้วย เป็นจริงดั่งคาดจริงๆ ด้วย เหล่าบรรพชนคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด มีวิธีการทำให้ศพ “ฟื้นคืนชีพ” จริงๆ ด้วย เป็นแบบอย่างที่มีมาก่อนจริงๆ นี่ไม่ใช่การเพ้อฝันที่เลื่อนลอยจริงๆ…”
โหยวซือยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ท้ายที่สุด ปีกทั้งสองข้างก็กระพือไม่หยุด เหมือนคนกำลังเต้นแร้งเต้นกา
สวี่ชีอันรออยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งผู้นำของเผ่าซือกู่คนนี้เริ่มสงบลง จึงพูดต่อว่า
“ถ้าเช่นนั้น ศพโบราณศพนี้สามารถแลกเปลี่ยนกับการที่เจ้าไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจวได้หรือไม่?”
หลงถูและคนอื่นๆ จ้องมองนกยักษ์โดยพร้อมเพรียงกัน
…โหยวซือนึกถึงคำพูดที่ตนเองได้สาบานไว้อย่างจริงใจเมื่อครู่ ก็นิ่งไปชั่วขณะ
สุดท้ายความปรารถนาที่มีต่อศพโบราณก็อยู่เหนือความอัปยศและศักดิ์ศรี จึงกระแอม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“หลงถูพูดถูก เว่ยเยวียนตายไปแล้ว ความแค้นนี้ก็สิ้นสุดลงด้วย ข้าไม่ควรปล่อยให้คนในเผ่าต้องตายเปล่า เพราะความถือทิฐิส่วนตัวของข้า สำหรับศพโบราณศพนี้ คำพูดของเจ้าเพียงด้านเดียว ข้าจะไม่เชื่อง่ายๆ แต่ในเมื่อเจ้าได้เกลี้ยกล่อมเผ่าอื่นๆ หกเผ่าแล้ว อืม ข้าก็จะยอมฝืนใจรับปากก็แล้วกัน…”
สวี่ชีอันยิ้มและพูดว่า “ดีแล้ว”
เขาพูดพร้อมกับปิดฝาโลงศพ แล้วเก็บโลงศพกลับเข้าไปในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
“นี่ เจ้า…” โหยวซือตะโกน พยายามระงับไฟแห่งความโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว เจ้าไม่ได้ยิน?”
“ข้าได้ยินแล้ว” รอยยิ้มของสวี่ชีอันยังคงเหมือนเดิม
“ข้าบอกว่าจะมอบศพโบราณนี้ให้กับเจ้า ก็ต้องมอบให้เจ้าอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อสงครามในภาคกลางสิ้นสุดลง ข้าจะทำตามคำสัญญา”
โหยวซือจะรับปากได้อย่างไร ไม่ได้เห็นศพโบราณศพนี้ก็ยังพอรับได้ แต่ในเมื่อได้เห็นแล้ว เขาก็จะไม่ยอมให้ตัวเองสูญเสียมันไป ใครจะยอมสูญเสียสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบมาตลอดชีวิตกันเล่า!
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะทำตามคำมั่นสัญญา” เขายิ้มหยันพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
สวี่ชีอันก็ยิ้มหยันตอบเช่นกัน
“แล้วทำไมข้าถึงต้องเชื่อเจ้า ถ้าต่อไปเจ้าบิดพลิ้ว แอบเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว แล้วข้าจะทำอย่างไร?”
โหยวซือมีนิสัยแข็งกร้าว และไม่ประนีประนอม พูดแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันว่า
“ทิ้งศพไว้ หรือไม่ก็ตัดความสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด”
“ลาก่อน!”
สวี่ชีอันหันหลังเดินจากไป พร้อมกับนับ สาม สอง หนึ่ง อยู่ในใจ…
สวี่ชีอันซึ่งเป็นปรมาจารย์ซือกู่เช่นเดียวกัน จึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า โหยวซือไม่มีทางปฏิเสธตัวเอง ก็เหมือนกับที่เขาไม่มีทางปฏิเสธท่านน้า
“ช้าก่อน!”
โหยวซือตะโกนออกมาเบาๆ กางปีกออกอย่างร้อนใจ เมื่อสวี่ชีอันหยุดเดินและหันกลับมา เขารีบหุบปีกทันที หันหัวนกมองไปทางหนึ่ง
“คืนศพเดินได้ขั้นสามศพนี้ให้ข้า นอกจากนี้ เจ้าจะต้องเขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ท่ามกลางพี่น้องร่วมเผ่าทุกคนที่เป็น…ประจักษ์พยาน”
สวี่ชีอันหยิบอุปกรณ์ออกมา เขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรฉบับหนึ่ง ท่ามกลางแม่ย่าแห่งเทียนกู่และคนอื่นๆ ที่เป็นประจักษ์พยานให้เขาทันที พร้อมกับประทับลายนิ้วมือ
“เก็บให้ดี ชาวภาคกลางต่างรู้กันว่าฆ้องเงินคนนี้เป็นคนรักษาคำมั่นสัญญา”
สวี่ชีอันเป่าหมึกจนแห้ง แล้วพับกระดาษ หนีบไว้ที่ปลายนิ้วส่งให้
นกยักษ์ทำน้ำเสียงไม่พอใจ “แล้วข้าจะมารับศพเดินได้ที่เผ่าลี่กู่”
หลังจากพูดจบ มันก็ชะโงกหัวมาอย่างระมัดระวัง คาบกระดาษไป แล้วกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
นกยักษ์บินอย่างช้าๆ ประวิงเวลา และมั่นคง ราวกับกลัวว่าจะบินเร็วเกินไป แล้วลมจะพัดหลักฐานในปากจนขาด
เฮ้ ไม่แก้แค้นพ่อที่ถูกสังหารแล้วหรือ? สวี่ชีอันมองที่ด้านหลังของนกยักษ์ที่บินสูง แอบตะโกนอยู่ภายในใจ
หลังจากการเจรจาต่อรองสิ้นสุดลง นี่จึงเป็นการรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งอย่างแท้จริง …เขาถอนสายตากลับ กวาดตามองหลวนอวี้และฉุนเยียน ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า
“นี่เป็นการรักษาอาการบาดเจ็บให้พี่สาวทั้งสอง”
เขานำเจดีย์พุทธะออกมา ปล่อยให้ม่านลวงตาของร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถลอยอยู่บนยอดเจดีย์
เมื่อครู่หลวนอวี้และฉุนเยียนได้เปิดหูเปิดตาเห็นเจดีย์พุทธะซ่อมแซมร่างของศพเดินได้ที่ไม่สมประกอบ มีความรู้สึกทั้งแปลกใจและประหลาดใจ ต่อของวิเศษของพระโพธิสัตว์ในตำนาน
ขวดหยกสาดรัศมีที่เหมือนเศษทองคำลงมา ดุจดังสายฝนในฤดูใบไม้ผลิกำลังปกคลุมพวกนาง
ความเจ็บปวดจากการที่กระดูกหักค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความเย็นชุ่มฉ่ำที่เข้าไปถึงหัวใจ
หลวนอวี้กางแขนทั้งสองข้างออก เยื้องกรายหมุนตัวไปรอบๆ กระโปรงยาวบานสะพรั่งเหมือนดอกไม้บาน นางกลายเป็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ผู้งดงามอีกครั้ง พูดพร้อมรอยยิ้มละไม
“มีสิ่งที่คอยปกป้องเช่นนี้แล้ว ข้าน้อยก็ไม่กลัวความดุร้ายบนเตียงของฆ้องเงินสวี่แล้ว”
นางยอมรับความแตกต่างด้านพละกำลังของทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริงแล้ว มีของวิเศษที่มหัศจรรย์เช่นนี้ ฝ่ายตนเองไม่มีทางชนะเขาได้เลย และเมื่อครู่เขาได้ยั้งมือแล้วจริงๆ
ฉุนเยียนพยักหน้าอย่างสำรวม แสดงความขอบคุณ
เจ้าเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดแล้วหรือยัง?…สวี่ชีอันมองหญิงสาวพราวเสน่ห์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หันไปตอบรับฉุนเยียน
ตอนนี้ ในที่สุดสวี่ชีอันก็มีเวลาที่จะจัดการกับเรื่องอื่นแล้ว
“แม่ย่า เก่อเหวินเซวียนที่มาจากอวิ๋นโจวอยู่ที่ไหน?”
อิ่งจือพูดเบาๆ ว่า
“ข้ารอที่จะต่อสู้กับเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่อยู่ เวลานี้เกรงว่าเขาจะหนีไปนานแล้ว”
สวี่ชีอันเงียบไป แล้วดึงเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอีกครั้ง เทคันฉ่องสำริดที่ชำรุดออกมา
“มีเรื่องอะไรจะขอร้องข้าหรือ”
น้ำเสียงของกระจกเทพฮุ่นเทียนฟังดูเหลืออดเล็กน้อย แต่ท่าทีพอใช้ได้ เมื่อครู่ดาบไท่ผิงถูกเรียกออกไปใช้งาน ทำให้ในใจเขารู้สึกเสมอภาคขึ้นมาก
“ยึดข้าเป็นศูนย์กลาง ส่องสว่างบริเวณรอบๆ ระยะร้อยลี้”
สวี่ชีอันสั่งการ
กระจกเทพฮุ่นเทียนไม่รอช้า คันฉ่องสำริดบังเกิดภาพลวงตา ดุจดังกระจกใส จากนั้นภาพแล้วภาพเล่าก็ผ่านไปไม่หยุดด้วยความเร็วสูงราว สายตาที่มีสมรรถภาพสูงของสวี่ชีอันค่อยๆ ประทับภาพเหล่านี้ไว้ในสมอง
คันฉ่องไม่เคยประทับตราลงบนตัวเก่อเหวินเซวียน ดังนั้นจึงไม่สามารถชี้พิกัดโดยตรงได้ จึงทำได้เพียงใช้วิธีการติดตามที่ “เรียบง่าย” เช่นนี้
สิ่งที่พูดได้ คือของวิเศษ…บรรดาผู้นำของเผ่าพันธุ์กู่ต่างพากันตกใจ ในตัวคนคนนี้มีของดีอยู่เท่าไรกันแน่?
เมื่อฉุนเยียนเห็นดังนั้น ก็เดินไปอีกทางหนึ่ง แล้วผิวปากเสียงดังกังวาน
สิบกว่าวินาทีต่อมา ฝูงนกที่หนาแน่นก็บินมาจากทั่วทุกสารทิศ ฝูงนกมืดฟ้ามัวดินบินวนอยู่เหนือศีรษะทุกคน ส่งเสียงร้องจ้อกแจ้กจอแจ
เสียงร้องของพวกมันจ้อกแจ้กจอแจ ส่วนใหญ่พูดว่า “ไม่เห็น”
ส่วนน้อยพูดว่า “หนีไปแล้ว หนีไปแล้ว…”
ฉุนเยียนฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“เมื่อไม่นานมานี้ยังอยู่ในป่าทางทิศใต้ เพิ่งหนีไปได้ไม่นาน ไปทางตะวันตกเฉียงใต้แล้ว”
สวี่ชีอันก็เข้าใจ ‘ภาษา’ นกเช่นกัน จึงสั่งการว่า
“ส่องไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไม่จำกัดขอบเขต”
กระจกเทพฮุ่นเทียนยังคงส่องแสงระยิบต่อไป แต่ละฉากแต่ละภาพ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงขีดจำขอบเขตของของวิเศษ
“หาไม่พบ”
เขาเก็บกระจกเทพฮุ่นเทียน แล้วส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
“แค่ตัวละครเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญ ทำไมจะต้องสนใจด้วย” หลวนอวี้บิดเอวบางแนบชิดเข้ามา พูดอย่างน่ารำคาญว่า
“ผู้หญิงภาคกลางอย่างพวกเจ้าเรียกคนรักว่าว่าอะไร? อืม สวี่หลาง ใช่ไหม!”
แม้จะอยู่ห่างกันมาก แต่สวี่ชีอัน ก็สามารถมองเห็นดวงตาของมู่หนานจือที่เฉียบขาดขึ้นมาทันที
เขาผลักหลวนอวี้ออกไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม และพยายามแสดงให้เห็นท่าทางโกรธเคืองภายใต้การจับจ้องของมู่หนานจือ
“ทำไม เจ้าคิดจะทำลายสัญญา?” หลวนอวี้พูดด้วยความน้อยใจ
“ไม่ใช่ สิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือ ในที่ราบภาคกลางของพวกเรา ชายและหญิงจะใกล้ชิดกันได้เฉพาะเวลาหลังจากที่ไฟดับในเวลากลางคืนแล้วเท่านั้น ในตอนกลางวัน แม่นางหลวนอวี้ได้โปรดปฏิบัติตามธรรมเนียมปฏิบัติด้วย”
สวี่ชีอันพูดประโยคนี้ด้วยท่าทางโกรธเคือง ถึงอย่างไรมู่หนานจือก็ไม่ได้ยิน นางคงคิดว่าตนเองกำลังตะคอกผู้หญิงชั้นต่ำที่มีเสน่ห์ยั่วยวนจากซินเจียงตอนใต้อยู่
มู่หนานจือแสดงความพึงพอใจออกมา
“ตกลง น่าสนใจมากเลย”
หลวนอวี้ยิ้มพร้อมขยิบตาให้สวี่ชีอัน
‘สวี่หนิงเยี่ยนแอบคบกับผู้หญิงอย่างลึกลับอีกแล้ว…’ ลี่น่าคิดด้วยความโกรธแค้นอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็หยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากอกเสื้อ หันหลังให้ทุกคน
ตั้งแต่เมื่อครู่ที่ฉู่หยวนเจิ่นพูดจบ ทุกๆ ยี่สิบอึดใจก็จะมีคนส่งข้อความมา
ความคิดของลี่น่ากำลังต่อสู้กัน จึงไม่มีเวลาว่างที่จะสนใจ ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถรายงานความปลอดภัยให้สมาชิกพรรคฟ้าดินได้รับรู้ได้แล้ว
‘หมายเลขห้า: มันจบแล้ว!’
หลังจากที่นางส่งสามคำเสร็จ ขณะที่นิ้วมือกำลังจะเขียนข้อความต่อ การส่งข้อความของเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกลับเหมือนเกิดการวิวาทกันขึ้น
‘หมายเลขสอง : ทำไมเจ้าถึงเพิ่งจะตอบตอนนี้? ข้าส่งข้อความตั้งหลายครั้ง เจ้าไม่เห็นเลยหรืออย่างไร สวี่หนิงเยี่ยนเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นหรืออย่างไร เจ้าไม่กล้าตอบหรืออย่างไร?’
‘หมายเลขหนึ่ง : เขาเป็นอย่างไรบ้าง? ผลเป็นอย่างไร?’
‘หมายเลขเจ็ด : สวี่ชีอันคนนี้ เป็นคนเลวอายุยืนยาว น่าจะ เอ่อ น่าจะไม่เป็นอะไรนะ หนีไปแล้วใช่หรือไม่? ‘
‘หมายเลขหก : ประสกลี่น่า สถานการณ์ของใต้เท้าสวี่เป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่?’
‘หมายเลขสี่ : รีบบอกมา เป็นอย่างไรบ้าง’
ช่วงเวลาที่ห่างกันนานที่สุดในการส่งข้อความเหล่านี้ไม่ถึงห้าวินาที หากตัดสินจากความยาวของตัวอักษรแล้ว แสดงว่าพวกเขาเขียนในเวลาเดียวกัน
พอดีเลย ประโยคที่สองของลี่น่าเขียนเสร็จแล้ว
‘หมายเลขห้า : สวี่หนิงเยี่ยนชนะแล้ว’
กลุ่มสนทนาในหนังสือปฐพีเงียบลงทันที เงียบจนลี่น่าสงสัยว่าตนเองถูกปิดกั้นโดยนักบวชเต๋าจินเหลียน แม้แต่หลี่เมี่ยวเจินผู้ที่อารมณ์ร้อนที่สุดก็ไม่ได้ตอบกลับ คนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หลังจากผ่านไปยี่สิบวินาทีเต็ม คนที่ส่งข้อความตอบกลับเป็นคนแรกคือหลี่หลิงซู่
‘หมายเลขเจ็ด : แย่แล้ว สวี่หนิงเยี่ยนตายแล้ว หมายเลขห้าไม่กล้าบอกความจริงกับเรา ดังนั้นจึงโกหกพวกเรา’
แต่คนอื่นๆ ที่รู้จักนิสัยของลี่น่าดี กลับรู้ว่านี่คือความจริง…สวี่หนิงเยี่ยนชนะแล้ว
‘หมายเลขสอง : เขาทำได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้เลื่อนสู่ขั้นสองเร็วอย่างนี้’
หลี่เมี่ยวเจินแทบจะเขียนคำพูดนี้ด้วยมืออันสั่นเทา ไม่แน่ใจว่าอารมณ์ของตนเองในเวลานี้รู้สึกตื่นเต้น หรือหวาดกลัว ครั้งนี้มันแตกต่างจากตอนอยู่ที่เจี้ยนโจว ในการต่อสู้ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง สวี่ชีอันได้เรียกวิญญาณวีรบุรุษจักรพรรดิเกาจู่ผู้มีความสามารถในการพลิกสถานการณ์ แต่หลังจากนั้นสวี่ชีอันเคยบอกเพื่อนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันหลายครั้งอย่างพวกเขากลุ่มนี้ว่าวิธีการนี้ไม่มีครั้งที่สอง และเจิ้นกั๋วเจี้ยนก็ได้มอบให้กับซุนเสวียนจีไปแล้ว โดยเขาเป็นคนนำกลับเมืองหลวง
‘หมายเลขสี่ : บางที ตอนที่เขาต่อสู้กับอาซูหลัวที่ภูเขาสือว่าน ก็ได้หาขั้นตอนสำคัญของการเลื่อนสู่ขั้นสองพบแล้ว’
ฉู่หยวนเจิ่นให้คำอธิบายที่พอจะยอมรับได้ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
‘หมายเลขเจ็ด : ไม่ใช่ ในร่างกายของเขายังมีตะปูตอกวิญญาณที่ยังไม่ได้ถอนทิ้ง’
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉู่หยวนเจิ่นก็ส่งข้อความมา
‘สามารถเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้พวกเราฟังโดยละเอียดได้หรือไม่?’
‘หมายเลขห้า : อืม’
นางเขียนไม่เร็ว เมื่อเจอตัวอักษรที่เขียนไม่เป็น ก็ต้องใช้เวลาคิดนาน และมีตัวอักษรที่เขียนผิดมากมาย แต่พรรคฟ้าดินทุกคนกลับดูอย่างจริงจังและละเอียดอย่างยิ่ง
จนกระทั่งลี่น่าพูดขึ้นว่า ‘ข้าพูดจบแล้ว’
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความด้วยสะเทือนใจ
‘หมายเลขสี่ : ตอนแรกที่เขาถูกปิดผนึกด้วยตะปูตอกวิญญาณเพื่อบำเพ็ญ เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เวลาสั้นๆ เพียงสองเดือน กลับบำเพ็ญเจ็ดยอดกู่ได้ถึงขั้นนี้ รวมกับกำลังของทหารขั้นสามของเขา การเอาชนะผู้นำเผ่าพันธุ์กู่หลายท่าน ไม่ใช่เรื่องยากเลย’
สมาชิกของพรรคฟ้าดินนอกจากความสะเทือนใจแล้ว ก็ไม่มีความเห็นมากไปกว่านี้ กระทั่งหลังจากสงสัยได้ไม่นาน แม้แต่ความสะเทือนใจก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่เพียงความชินชา
‘หมายเลขหนึ่ง: เผ่าพันธุ์กู่เห็นด้วยที่จะยกเลิกความเป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจวแล้วหรือยัง?’
หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ ของความตื่นตะลึงและสะเทือนใจแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็เป็นคนแรกที่คิดเรื่องเป็นการเป็นงานขึ้นมาได้
สมาชิกของพรรคฟ้าดินกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที จำความตั้งใจเดิมของสวี่ชีอันในการต่อสู้ครั้งนี้ได้
‘หมายเลขห้า : เห็นด้วย’
ลี่น่าตอบข้อความอย่างสั้นๆ ได้ใจความ
‘หมายเลขสอง : ดีมาก หากเผ่าพันธุ์กู่ไม่เข้าร่วมสงคราม ต้าฟ่งและกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวยังพอสู้กันได้ ทหารของต้าฟ่งทั้งหมดควรจะขอบคุณสวี่หนิงเยี่ยน ที่ช่วยราชสำนักต้าฟ่งไว้ได้อีกครั้ง’
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในสนามรบ แต่ได้ทำเรื่องสำคัญสำหรับสงครามที่กำลังจะกวาดที่ราบภาคกลางไว้มากมาย
‘หมายเลขหนึ่ง : คุณงามความดีของเขาจะไม่ถูกกลบฝัง ทหารและราษฎรของต้าฟ่งต้องรู้ถึงสิ่งที่เขาทำทั้งหมด’
ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความ
‘หมายเลขหก : ใต้เท้าสวี่ไม่เคยทำให้อาตมาผิดหวัง อาตมาจะตั้งใจบำเพ็ญ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ใต้เท้าสวี่เคยช่วยชีวิต ไม่ทำให้เขาผิดหวัง’
‘ไต้ซือเหิงหย่วน คำพูดของเจ้าฟังดูแปลกๆ เหมือนกับทหารที่ให้คำมั่นสัญญาต่างๆ ก่อนที่จะออกรบ...’ หลี่เมี่ยวเจินคิดในใจ
‘คำพูดของหัวโล้นเหิงหย่วนฟังดูแปลกมากๆ…’ ลี่น่ากำลังคิดที่จะส่งข้อความ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของพ่อดังมาจากด้านหลัง
“ลี่น่า กลับกันเถิด”
นางตกใจจึงรีบเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทันที แสร้งรับคำหลงถูที่ยืนอยู่ข้างหลังราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้อ ข้ารู้แล้ว”
“เมื่อกี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” หลงถูถาม
“ข้า ข้าไม่ได้ทำอะไรนี่นนา” ลี่น่าพูดเสียงแข็ง
หลงถูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ลี่น่าเป็นคนฉลาด และรอบคอบมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนพี่ชายผู้โง่เขลาของนาง ที่ปกปิดเรื่องราวไม่เป็น
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันที่กำลังเดินไปทางมู่หนานจือ จู่ๆ ก็หยุดเดิน แล้วหันกลับมาทันที มองไปที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่
และคนอื่นๆ พูดเสียงเคร่งขรึมว่า
“ไม่ถูกต้อง!”
……………………………………..