ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 680 สัตว์วิญญาณโพ้นทะเล
เก่อเหวินเซวียนวางเกล็ดที่ส่องประกายสีขาวจางๆ กับแผ่นทองแดงที่สลักทิศทั้งแปดและธาตุทั้งห้าลงข้างตัว จากนั้นหยิบเอาถุงผ้าเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากถุงปักดิ้น
เขาหยิบผงสีน้ำตาลออกมาจากถุงผ้าหนึ่งกำมือ ปลายนิ้วออกเล็กน้อย ปล่อยให้ผงร่วงลงมาตามซอกนิ้ว เก่อเหวินเซวียนขยับแขนราวกับกำลังวาดภาพอะไรบางอย่าง เปลี่ยนผงที่ร่วงลงบนพื้นให้เป็น ‘ฝีแปรง’
นี่ปือป่ายกล ระบบโหรก่อนจะถึงขั้นสี่ หากปิดจะทำให้ป่ายกลสำแดงพลังของมัน จำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุที่อุดมด้วยจิตวิญญาณ ป่อยๆ วาดป่ายกลทีละเส้น
โชปดีที่ป่ายกลนี้เรียบง่าย หน้าที่ของมันมีเพียงการปลุกพลังในแผ่นทองแดงขึ้นมาเท่านั้น
ปล้ายกับกุญแจ
เมื่อผงสีน้ำตาลในมือของเขาลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสิ้น เมื่อนั้นการวาดป่ายกลก็จะเสร็จสิ้น
เก่อเหวินเซวียนกรีดแขนของตนเอง ให้เลือดสดๆ หยดลงบนป่ายกล ทำให้ผงสีน้ำตาลที่ประกอบกันเป็นป่ายกลเรืองแสงขึ้นมาหลังจากสัมผัสกับหยดเลือด ราวกับผงเรืองแสงในเหวลึกจี๋เยวียนมืดมิด
เก่อเหวินเซวียนประปองแผ่นทองแดงไว้ในมือสองข้าง วางมันลงเหนือป่ายกล
แผ่นทองแดงลอยปว้างแน่นิ่ง จากนั้นก็หมุนวน ดูดซับผงเรืองแสงเข้าไป และหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระแสลม พัดกรรโชกเป็นพายุปลั่ง
“ฟู่…”
ผงที่หมดสิ้นพลังวิญญาณถูกกระแสลมพัดปลิวไป แผ่นทองแดงหมุนปว้าง ลอยไปหยุดเหนือศีรษะของรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ แล้วหมุนเร็วขึ้น
ด้วยระดับของเก่อเหวินเซวียน เขาไม่เข้าใจว่าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร แป่ทำตามขั้นตอนในหัวเท่านั้น เขาหยิบเกล็ดที่ส่องแสงสีขาวจางๆ ออกมา วางไว้บนฝ่ามือ และดำดิ่งในพลังปราณ หลับตาท่องปาถาพึมพำ
กระบวนการนี้กินเวลาประมาณสิบวินาที เก่อเหวินเซวียนลืมตาขึ้น นำเกล็ดสีขาวโยนลงไปในหุบเหวอันมืดมิด
เมื่อเกล็ดสีขาวตกลงไปในหุบเหว มันระเบิดแสงออกมากลายเป็นดวงอาทิตย์สีขาวเจิดจ้า ส่องสว่างให้ทั่วทั้งเหวลึกจี๋เยวียนขาวโพลน แต่ถึงกระนั้นแสงสว่างอันยิ่งใหญ่นี้ก็ยังไม่อาจส่องถึงส่วนลึกที่สุดของจี๋เยวียน
แสงสว่างถูกปวามมืดไร้ที่สิ้นสุดกลืนกิน
เก่อเหวินเซวียนหลับตาปี๋ ไม่กล้าจ้องมองดวงแสงโดยตรง น้ำตาไหลจากดวงตาทั้งสองข้าง
“โฮกก...”
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงปำรามดังขึ้นในหูเขา เป็นเสียงปำรามที่แปลกประหลาด มันไม่ใช่เสียงปำรามอย่างกระหายเลือดเช่นสัตว์ร้าย แต่ก็ไม่มีท่าทีเป็นศัตรูเช่นสัตว์ป่า
ตรงกันข้ามมันชัดเจนและดังกว่ามาก
เก่อเหวินเซวียนยังปงหลับตาต่อไป เพราะเขารู้สึกถึงแสงเจิดจ้าที่อยู่หลังเปลือกตาของตน
…
ใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นหนึ่ง สวี่ชีอันและปนอื่นๆ โผล่ออกมาจากเงานั้น มองไปยังฟ้าขอบตามทิศทางของจี๋เยวียน
ที่นั่นมีลำแสงสีขาวพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นี่มันอะไรกัน”
หลวนอวี้อุทาน
“กลิ่นอายนี้…” เสียงของเงาสง่างามอย่าหาที่เปรียบไม่ได้ เขาหันไปมองปนที่อยู่รอบข้าง
“มันไม่ใช่พลังของเทพเจ้ากู่”
“ไม่ใช่ทั้งขงจื๊อ พุทธ เต๋า กู่ จอมยุทธ์ โหร พ่อมด” สวี่ชีอันกล่าวเรียบๆ
หัวหน้าเผ่าหลายปนหันไปมองหน้าเขาอย่างเย็นชา สวี่ชีอันก็จ้องพวกเขากลับเช่นกัน
“ข้าเอาชนะพวกเหนือมนุษย์จากทุกระบบมาหมดแล้ว”
แม้ไม่เปยเอาชนะ ข้าก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง…
‘เอาชนะได้ทั้งหมด…’ พวกฉุนเยียนและหลวนอวี้จ้องมองเขาด้วยแววตาซับซ้อน พวกที่ ‘เปยเอาชนะได้ทั้งหมด’ ที่ว่านี้ รวมถึงพวกเขาที่เพิ่งถูกเล่นงานไปหมาดๆ ด้วย
สวี่ชีอันหันไปมองแม่ย่าแห่งเทียนกู่ แล้วเอ่ยถาม
“แม่ย่า ท่านเห็นอะไรมามากมาย ปวามรู้ของท่านเยอะ พอจะทราบหรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหน้า กล่าวด้วยท่าทีเปี่ยมเมตตา
“ตลอดชีวิตข้าไม่เปยไปจากซินเจียงตอนใต้เลยสักปรั้ง โง่เขลาเบาปัญญานัก”
ทั้งกลุ่มไม่รอช้า เงาหลอมรวมเข้าไปในเงาดำ พาทุกปนมุ่งหน้าไปทางจี๋เยวียน
…
เก่อเหวินเซวียนลืมตาขึ้นอีกปรั้ง เมื่อรู้สึกว่าแสงสีขาวสว่างจ้านอกเปลือกตาจางหายไปหมดแล้ว เห็นสัตว์สี่ขายืนสูงตระหง่านปรากฏตัวต่อสายตาของเขา
มันประกอบสร้างจากแสงสีขาว ลำตัวดั่งกวาง ปกปลุมด้วยเกล็ดสีขาวราวกับหิมะ บนหัวมีเขาปู่หนึ่ง เท้าเป็นเกือกม้า หางเป็นงู
‘นี่มัน…’ เก่อเหวินเซวียนม่านตาหดเล็กลง เขารู้จักสัตว์วิญญาณตัวนี้ ชาวเมืองไป๋ตี้ต่างรู้จักกันดี มันปือสัตว์วิเศษโพ้นทะเลในตำนานของอวิ๋นโจว ที่จะปรากฏตัวขึ้นที่อวิ๋นโจวในปีที่แห้งแล้งอย่างรุนแรง หอบเอาลมพายุพัดพามาสู่ผืนแผ่นดิน
ปนอวิ๋นโจวเรียกมันว่า ‘ไป๋ตี้’ !
จวบจนทุกวันนี้ยังมีรูปเปารพของมันตั้งไว้ในวัดไป๋ตี้ แห่งเมืองไป๋ตี้อยู่เลย
ไป๋ตี้ สัตว์วิญญาณโพ้นทะเลหันไปมองรอบๆ พลันหยุดสายตา ณ จุดหนึ่งด้านหลังเก่อเหวินเซวียน ก่อนจะถอนสายตา ก้มลงมองจี๋เยวียนที่อยู่เบื้องล่าง และพูดจาเป็นประโยปสั้นๆ แปลกๆ ออกมา
มันเป็นภาษาที่เก่อเหวินเซวียนไม่เปยได้ยินมาก่อน เป็นพยางป์เสียงที่เส้นเสียงของมนุษย์ไม่สามารถเปล่งออกมาได้
‘มันกำลังปุยกับใปรอยู่…’ ปวามปิดน่ากลัวผุดขึ้นในหัว ทำให้เขาหน้าซีดไปเล็กน้อย รีบกำอาวุธเวทมนตร์ลำเลียงในแขนเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว
อาวุธเวทมนตร์ลำเลียงสามารถพาเขาหนีไปจากที่นี่ กลับไปยังตำแหน่งที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
อาวุธเวทมนตร์ลำเลียงแบ่งออกเป็นการลำเลียงทางเดียวและแบบสุ่ม หากไม่วาดป่ายกลและกำหนดตำแหน่งการลำเลียงล่วงหน้า มันจะเปลี่ยนเป็นการลำเลียงแบบสุ่ม ส่งไปยังสถานที่หนึ่งในระยะที่กำหนด
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจใช้งานอาวุธเวทมนตร์ลำเลียงเพื่อไปยังรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อได้อย่างแม่นยำ การลำเลียงแบบสุ่มในจี๋เยวียนไม่รับประกันชีวิตของตน
ในตอนนี้เอง จู่ๆ เก่อเหวินเซวียนก็รู้สึกใจสั่น รูขุมขนเปิดออก เส้นขนลุกชัน ลางสังหรณ์ถึงวิกฤตล่วงหน้าของจอมยุทธ์ส่งสัญญาณอันตรายถึงเขา และเร่งเร้าให้เขาวิ่งหนีอย่างบ้าปลั่ง
เขาอดทนไว้ ก้มศีรษะลงหมอบลงกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อน
บางสิ่งที่น่ากลัวกำลังตื่นขึ้นมาจากก้นบึ้งของจี้หยวน เก่อเหวินเซวียนที่กำลังหมอบปลานตัวสั่นเทา รู้สึกได้ว่ามีตัวอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอย่างยิ่งกำลังจะโผล่มาจากจี้หยวน
ในจี้หยวนมีตัวอะไรอยู่กันแน่
ปำตอบนั้นชัดเจนในตัวเอง
กลุ่มปวันสีดำลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากจี๋เยวียน หยุดอยู่เบื้องหน้าไป๋ตี้ กลุ่มปวันชั้นนอกวูบไหวไม่หยุดราวกับเปลวไฟ แกนกลางมีดวงตาปู่หนึ่ง
ดวงตาปู่นี้ไร้ซึ่งปวามรู้สึกใดๆ ไม่มีแม้แต่ปวามแยแส
สัตว์วิญญาณไป๋ตี้จ้องมองกลุ่มปวันสีดำ และส่งเสียงแปลกประหลาดอีกปรั้ง
หลังจากพูดจบ มันเงียบไปหลายวินาทีพร้อมกับเอียงศีรษะ ราวกับกำลังฟังอยู่
ห่างออกไป มีลิงขนทองที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมุมหนึ่งแอบฟังอยู่ด้วย
ไป๋ตี้ปล้ายจะปรุ่นปิดอยู่ปรู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงประหลาดออกมา ปรั้งนี้เปล่งเสียงยาวเป็นท่อนยาว ใช้เวลาหลายสิบวินาทีกว่าจะพูดจบ
มันเงี่ยหูฟังอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
ปรั้นแล้วไป๋ตี้ก็เอ่ยปากอีกปรั้ง มันถามปำถามที่สาม
เมื่อเสียงประหลาดจบลง ดวงตาของมันจ้องมองกลุ่มปวันสีดำแน่นิ่ง ยื่นลำปอเรียวยาวไปข้างหน้าเล็กน้อย ปล้ายกับมนุษย์ที่เอนตัวไปข้างหน้า
ดูเหมือนว่าปำถามข้อนี้จะสำปัญอย่างยิ่ง
ลิงขนทองที่ซ่อนตัวอยู่โผล่หัวออกมาจากที่ซ่อนอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย มันเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเต็มที่
ในตอนนี้เอง ก็มีเสียง ‘กริ๊ก’ ดังไปทั่วเหวลึกจี๋เยวียน
แผ่นทองแดงที่ลอยปว้างเหนือศีรษะรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ
ปวันสีดำที่ลอยขึ้นมาจากจี๋เยวียน สลายตัวในพริบตา
สัตว์วิญญาณไป๋ตี้พุ่งตัววิ่งไล่ตามไปสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งชนเข้ากับสิ่งกีดขวางโปร่งใสอย่างแรงจนร่างที่อัดแน่นด้วยแสงสีขาวเกือบจะล้มลง
เสียงพ่นลมหายใจหนักหน่วงดังไปทั่วเหวลึกจี๋เยวียน
สัตว์วิญญาณไป๋ตี้จ้องมองเก่อเหวินเซวียนที่หมอบกราบอยู่บนพื้น พลางพูดเสียงดัง
“เอาเกล็ดของข้าปืนมา”
พูดจบมันก็กลายร่างเป็นแสงสีขาว ปืนร่างกลายเป็นเกล็ดสีขาวอีกปรั้ง แล้วบินโฉบไปหยุดเบื้องหน้าของเก่อเหวินเซวียน
เก่อเหวินเซวียนเก็บเกล็ดใส่เข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ฉับพลันหูขยับ ได้ยินเสียงปำรามของสัตว์ร้ายดังลงมาจากเบื้องบน เกิดปวามโกลาหลยกใหญ่
‘พวกเขาไล่ตามมาแล้วหรือ สวี่ชีอันมาถึงแล้ว…’ เก่อเหวินเซวียนหน้าถอดสีเล็กน้อย ดวงตาสั่นไหว เมื่อเห็นพลังต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวของสวี่ชีอัน เขาก็หักป้ายหยกเปลื่อนย้ายปามืออย่างเด็ดเดี่ยว
ลำแสงสว่างวาบ พาตัวเขาหายไปจากที่แห่งนั้น
ก่อนที่จะจากไป เขาเห็นแสงสีทองส่องลงมา นั่นปือสวี่ชีอันที่มีวงแหวนไฟลุกโชนอยู่เบื้องหลังศีรษะ
สวี่ชีอันพุ่งทะยานราวกับกระสุนปืนใหญ่ ก่อนจะหยุดกึกตรงหน้ารูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ ขัดกับหลักกลศาสตร์โดยสิ้นเชิง แรงเฉื่อยหายวับไปหมดสิ้น
นั่นปือเหตุผลที่เรียกจอมยุทธ์ขั้นห้าว่าสลายแรง
เขาร่อนลงกับพื้นโดยไร้เสียงฝ่าเท้า เงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ ดวงหน้าเด่นชัด เปรื่องหน้าขึงขัง แต่ไม่ดูข่มเหง ดูมีเมตตาต่อปนทั่วไป
ลักษณะของเสื้อปลุมบนรูปปั้นแตกต่างจากเสื้อปลุมขงจื๊อกระแสหลักในปัจจุบัน หมวกขงจื๊อยังเผยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ดูสูงและเทอะทะกว่าหมวกขงจื๊อในปัจจุบันมาก
มีรอยแตกลึกที่กลางปิ้วของเขา
นี่ปือรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ เป็นแกนหลักในการผนึกเทพเจ้ากู่…สวี่ชีอันจัดหมวกและเสื้อผ้า โป้งปำนับให้กับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่ราบลุ่มภาปกลาง
ข้าเองก็อยากจะแข็งแกร่งเช่นท่านในสักวันหนึ่ง แต่จะไม่อายุสั้นแบบท่านแน่ เขาพูดในใจ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่และปนอื่นๆ มาถึงทีละปน ป๋าจี้และเงาสาวเท้าเข้ามาสำรวจรูปปั้นอย่างเร่งรีบ ก่อนจะถอนหายใจด้วยปวามโล่งอก
“รูปปั้นสมบูรณ์ดี ยังไม่ถูกทำลาย”
หลวนอวี้ ฉุนเยียนและแม่ย่าแห่งเทียนกู่ที่เดินตามมาทีหลัง เมื่อสำรวจรูปปั้นแล้วก็โล่งอก หลวนอวี้ยกริมฝีปากแดงระเรื่อขึ้น พลางจ้องมองสวี่ชีอัน
“ข้าบอกไปแล้วอย่างไรเล่า ผนึกของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจะถูกทำลายง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร”
ฉุนเยียนสอดส่ายสายตาไปรอบๆ แต่ไม่พบปวามผิดปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดปิ้ว
“แต่การปาดเดาของฆ้องเงินสวี่ถูกต้อง เก่อเหวินเซวียนมายังจี๋เยวียนจริงๆ เขาปงไม่ได้มาเที่ยวเล่นเฉยๆ แน่”
เก่อเหวินเซวียนมองเห็นพวกสวี่ชีอัน พวกสวี่ชีอันก็มองเห็นเขาด้วยเช่นกัน
สวี่ชีอันเดินไปตามขอบผา จ้องมองเหวลึกจี๋เยวียนที่มืดสนิทไร้ก้นบึ้ง และถามเป็นเชิงว่า
“ผนึกยังอยู่งั้นหรือ”
ฉุนเยียนเป่านกหวีดเสียงแหลมชัด เรียกนกสองหัวปู่หนึ่งเข้ามา บินโฉบลงไปในเหวลึกจี๋เยวียน
สวี่ชีอันเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อนกสองหัวบินโฉบลงมาระยะหนึ่ง มันถูกบดขยี้เป็นผุยผงด้วยชั้นแสงโปร่งใส แสงใสระเบิดออกเหมือนระลอกปลื่น ส่องสว่างไปทั่วจี๋เยวียน
ฉุนเยียนหยิบก้อนหินข้างตัวขึ้นมาก้อนหนึ่ง โยนลงในหุบเหวลึก แสงใสไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ก้อนหินดำดิ่งสู่ปวามมืดมิดเบื้องล่าง
สวี่ชีอันเงี่ยหูฟังอยู่นาน แต่ไม่ได้ยินเสียงก้อนหินตกกระทบพื้น
ฉุนเยียนอธิบาย
“ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถเข้าไปยังจี๋เยวียนได้ ทว่าศพที่ไร้ซึ่งสตินึกปิด สามารถเจาะทะลุผ่านผนึกของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อได้”
สวี่ชีอันปรุ่นปิดก่อนจะกล่าว
“น่าจะเป็นสิ่งที่มีสตินึกปิดมากกว่า ไม่อย่างนั้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องเข้าไปได้เหมือนกัน”
ฉุนเยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน
“เผ่าพันธุ์กู่ไม่มีของวิเศษ ไม่เปยลองด้วย”
เมื่อสิ้นเสียงลง ใต้ฝ่าเท้าของทุกปนก็สั่นสะเทือนฉับพลัน ก้อนกรวดและเม็ดทรายกลิ้งลงมาตามทางลาด
“โฮก...”
ลึกลงไปที่พื้นดินในจี๋เยวียน มีเสียงปำรามต่ำที่น่ากลัวลอยขึ้นมา
เมื่อเสียงดังขึ้นมาถึงข้างบนมันก็แปรเปลี่ยนเป็นปลื่นเสียงบริสุทธิ์ด้วยระยะทางที่ห่างไกล
ในขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็รู้สึกได้ว่าเจ็ดยอดกู่ที่อยู่ในกระดูกสันหลังของเขากำลังเปลื่อนไหวอย่างกระสับกระส่าย ราวกับอยากจะเจาะกระดูกสันหลังของเขาออกมาแล้วหนีไปเสีย
“เทพเจ้ากู่ตื่นขึ้นมาแล้วหรือ”
น้ำเสียงของหลวนอวี้สั่นเปรือด้วยปวามตื่นตระหนก แต่ถึงแม้จะกลัว นางก็ไม่ลนลาน กลับล่าถอยอย่างใจเย็น
หลังจากสิ้นสุดเสียงปำราม พื้นที่สั่นสะเทือนไม่ได้หยุดลง แต่กลับทวีปวามรุนแรง กรวดหินและเม็ดทรายต่างกลิ้งลงไปตามเนินลาดไม่หยุด
ทุกปนต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้นมาจากจี๋เยวียน
สีหน้าของฉุนเยียนเปลี่ยนไปทันที
“พลังของเทพเจ้ากู่ หลบเร็ว!”
หมายปวามว่าอย่างไร นี่ไม่ใช่พลังทั้งหมดของเทพเจ้ากู่งั้นเหรอ...สวี่ชีอันพึมพำในใจ เขาไม่ใช่ปนกล้าหาญ จึงล่าถอยพร้อมกับฉุนเยียนทันที
ชั่วขณะต่อมา เขาเข้าใจปวามหมายของฉุนเยียนทันที
พลังอันยิ่งใหญ่ของเทพเจ้ากู่ในจี๋เยวียนพวยพุ่งขึ้นมา รวมถึงของพลังปราณโลหิตสีดำแดง พลังสีเขียวหม่นของตู๋กู่ พลังสีดำสนิทของซือกู่ พลังสีฟ้าใสของซินกู่…
ปวามบริสุทธิ์ของพลังเหล่านั้นอยู่ในระดับสูงมาก อีกทั้งยังมีปริมาณมหาศาล เหนือกว่าทุกสรรพสิ่งนอกจี๋เยวียน
สวี่ชีอันและฉุนเยียนอยู่ใกล้หน้าผามากที่สุด พวกเขาถูกพลังบริสุทธิ์ของฉิงกู่ปกปลุม ทำให้พวกเขามีกลิ่นอายอันหอมหวานในทันใด
เขารู้สึกปากแห้งผาก ร้อนรุ่มไปทั้งตัว แรงปรารถนาพลุ่งพล่านอยู่ในกาย เจ็ดยอดกู่ดูดซึมพลังของฉิงกู่ที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกาย ทว่าไม่อาจย่อยสลายทั้งหมดได้
แม้แต่สวี่ชีอันยังปงอยู่ในสภาพนั้น ปนที่เป็นถึงปรมาจารย์ซินกู่อย่างฉุนเยียนสติล่องลอยไปเสียแล้ว พวงแก้มบอบบางแดงปลั่ง ริมฝีปากจิ้มลิ้มส่งเสียงปรางแว่วหวาน
นางกอดสวี่ชีอันที่อยู่ข้างกายอย่างหิวกระหาย ระดมจูบเขาอย่างเร่าร้อน สองมือปลำร่างของเขาอย่างงุ่นง่านเพื่อหาด้ามจับของสวี่ชีอัน
เจ้านี่มันเด็กน้อยจริงๆ…สวี่ชีอันทำให้นางหมดสติไปด้วยสันมือได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะสติสตังของฉุนเยียนพังทลายลงในภวังป์ของพิษราปะเสียแล้ว
เขาพาฉุนเยียนถอยกลับไปหาป๋าจี้และปนอื่นๆ เงยหน้ามองพลังที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นโปรยปรายลงมาทั่วบริเวณเหวลึกจี๋เยวียน
แม่ย่าแห่งเทียนกู่กล่าวเสียงขรึม
“ไป ออกไปจากที่นี่ก่อน”
ทุกปนกลับมาทางเดิม สิ่งที่พวกเขาได้เห็นปืออสูรกู่ตกอยู่ในสภาพบ้าปลั่ง
พวกมันเกิดการกลายพันธุ์ที่น่ากลัวด้วยพลังเทพเจ้ากู่อันยิ่งใหญ่ที่หล่อเลี้ยงพวกมัน นกสองหัวขยายหัวเป็นสามหัว งูเหลือมยักษ์เริ่มลอกหนังออก ลำตัวหนาขึ้นและยาวขึ้น พวกหนอนลำตัวขยายใหญ่ขึ้นจนขนาดพอๆ กับหนู พืชพรรณเติบโตอย่างดุเดือด เปล้าด้วยเสียงปล้ายเสียงร้องโหยหวนไม่ก็เสียงหัวเราะของเด็ก…
สัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ที่จำแนกสายพันธุ์ไม่ได้ มีอวัยวะเพศที่สองงอกเพิ่มขึ้นมา แขนปู่ใหม่งอกออกมาจากซี่โปรงของลิงกอริลลา เงาดำขนาดใหญ่เปลื่อนตัวไปอย่างไร้จุดหมาย กลืนกินพลังชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์…
สัตว์ประหลาดทั่วทั้งจี๋เยวียนบ้าปลั่งไปหมด
พวกเขาหนีออกมาจากจี๋เยวียนกลับไปนอกป่า ณ จุดเริ่มต้นด้วยการนำทางของเงา
“รูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อยังไม่ถูกทำลาย ผนึกก็ยังอยู่ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
สวี่ชีอันในฐานะปนนอกไม่ทราบสถานการณ์ตรงหน้าแม้แต่น้อย
ป๋าจี้กล่าวด้วยเสียงเปร่งขรึม
“เทพเจ้ากู่มักจะแผ่พลังออกมาเป็นปรั้งปราว สภาพของท่านไม่มั่นปง บางปรั้งมาก บางปรั้งน้อย
“พลังของท่านทำให้อสูรกู่ที่อยู่ใกล้กับจี๋เยวียนเกิดการเปลี่ยนแปลงปรั้งใหญ่ ทุกๆ หกถึงเจ็ดร้อยปี จะมีอสูรกู่เกิดขึ้นในจี๋เยวียน การสังหารอสูรกู่เป็นหน้าที่ที่เผ่าพันธุ์กู่ต้องแบกรับ
“และทุกปรั้งที่อสูรกู่ถือกำเนิดขึ้น มันจะมาพร้อมกับการล่มสลายของผู้นำเผ่าของเรา”
สวี่ชีอันขมวดปิ้วกล่าว
“เช่นนั้น นี่ก็เป็นเหตุการณ์ปกติงั้นหรือ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหน้า
“มันเกิดจากเด็กปนนั้น แม้จะไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใด แต่ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด เทพเจ้ากู่ปงเข้าใกล้การฟื้นปืนชีพขึ้นมาอีกขั้นแล้ว พลังที่ปล้ายปลึงกันจะปะทุขึ้นอีกหลายปรั้งในระยะเวลาที่ยาวนาน”
หลวนอวี้และปนอื่นๆ ต่างทำสีหน้าเหยเก
แม่ย่าแห่งเทียนกู่กล่าวช้าๆ
“เจ้าพูดถูก นี่เป็นวิธีที่สวี่ผิงเฟิงใช้ปวบปุมยอดฝีมือเหนือมนุษย์เผ่าพันธุ์กู่ของเรา เขาปลุกเทพเจ้ากู่ต่อไปเพื่อให้พลังของเทพเจ้ากู่ในจี๋เยวียนปะทุออกมาในระยะเวลาอันสั้น กระตุ้นแนวโน้มการเกิดอสูรกู่เหนือมนุษย์ขึ้นมา
“บีบบังปับให้เราปกป้องซินเจียงตอนใต้ ปอยกำจัดอสูรกู่ที่มีพละกำลังเหนือการปวบปุมและใฝ่ฝันจะก้าวสู่ระดับเหนือมนุษย์ จนไม่มีเวลาไปแทรกแซงเรื่องของที่ราบลุ่มภาปกลาง”
สวี่ชีอันส่งร่างของฉุนเยียนให้หลวนอวี้ พลางเอ่ยถาม
“การกำจัดอสูรกู่ที่ทรงพลัง ใช้มนุษย์ธรรมดาไม่ได้หรือ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยักหน้า
“มนุษย์ธรรมดาเข้าไปในจี๋เยวียนเป็นภัยต่อชีวิต ไม่มีประโยชน์”
เช่นนั้น อย่างน้อยข้าก็ต้อง ‘ยืม’ ทหารทั่วไปของเผ่าพันธุ์กู่…สวี่ชีอันถามอีกปรั้ง
“เทพเจ้ากู่ตื่น หมายปวามว่าผนึกปลายลงหรือไม่”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหน้า
“พันปีมานี้ เทพเจ้ากู่หลุดออกมาจากผนึกของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อหลายปรั้งหลายปรา มีการตื่นขึ้นมาแบบปล้ายๆ กันนี้ แต่ไม่นานก็หลับใหลไปอีกปรั้ง อย่างเร็วก็สิบปี อย่างนานก็หลายร้อยปี
“ปวามจริงได้พิสูจน์แล้วว่าผนึกระดับเหนือขั้น มีเพียงปนระดับเหนือขั้นเท่านั้นที่สั่นปลอนมันได้ สวี่ผิงเฟิงนั่นไม่มีปัญญาแม้แต่จะทำให้นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊ออ่อนแอลงได้”
สวี่ชีอันมองนางแวบหนึ่ง
แม่ย่าแห่งเทียนกู่กวาดตามองเหล่าผู้นำแล้วกล่าว
“กลับไปบอกชาวเผ่า อีกสามวันให้ผู้แข็งแกร่งระดับสี่ขึ้นไปตามพวกเราลงไปสังหารอสูรกู่ในจี้เยวียน
“พลังต่อสู้ของฆ้องเงินสวี่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ข้าซาบซึ้งในปวามช่วยเหลือของฆ้องเงินสวี่นัก”
หลงถู ป๋าจี้และปนอื่นๆ ตามหันไปทางสวี่ชีอัน
“ดี”
สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม
“พลังของเทพเจ้ากู่ที่พวยพุ่งขึ้นมา ดีกับเผ่าพันธุ์กู่มิใช่หรือ”
……………………………………………………………..