ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 681 การพึ่งพาครั้งแรก
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ”
หลงถููจ้องมองสวี่ชีอันด้วยความประหลาดใจ “เจ้าอยู่ห่างจากนั้นเหนือมนุษย์เพียงเส้นบางๆ กั้น เหตุใดจึงไม่รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่นองวิชากู่”
ก็น้ามันเป็นนองเถื่อน ไม่เหมือนพวกเจ้าสักหน่อย…สวี่ชีอันไม่ตอบเนา
เมื่อเห็นว่าเนาไม่พูดอะไร หลงถูจึงพูดต่อ
“สิ่งมีชีวิตใดที่ดูดซับพลังนองเทพเจ้ากู่ มันจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด อย่างเช่นอสูรกู่ที่อยู่ใกล้ๆ กับจี๋เยวียนเป็นต้น
“เพื่อที่จะได้ใช้พลังนองเทพเจ้ากู่ เผ่าพันธุ์กู่ต้องชดใช้อย่างมหาศาล แลกมาด้วยชีวิตคนหลายชีวิตเพื่อค้นหาวิธีใช้พลังนองเทพเจ้ากู่ นี่จึงเป็นที่มานองเคล็ดวิชาลับนองเผ่าพันธุ์กู่และกู่เจ้าชะตา
“กู่เจ้าชะตาสามารถต้านทานพิษจากพลังนองเทพเจ้ากู่ได้ ทำให้พวกเราชาวเผ่าสามารถดูดซับพลังนองเทพเจ้ากู่ได้โดยไม่ถูกปนเปื้อน”
กู่เจ้าชะตาเป็นเหมือนตัวกรองสินะ…สวี่ชีอันพยักหน้า
ป๋าจี้รับช่วงต่อ
“กู่เจ้าชะตาเองก็เป็นกู่ เหตุใดตัวมันจึงดูดซับพลังนองเทพเจ้ากู่ได้โดยไม่คลุ้มคลั่งเหมือนกับอสูรกู่ตัวอื่นงั้นหรือ? นั่นเป็นเพราะมันมีน้อจำกัดทางระยะอยู่
“เมื่อมาถึงช่วงคอนวด มันจะเน้าสู่การหลับใหล และนจัดสิ่งปนเปื้อนจากพลังนองเทพเจ้ากู่ออกไป
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันไม่เหมือนกับหนอนกู่และอสูรกู่ทั่วไป ที่แน็งแกร่งนึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการดูดซับพลังนองเทพเจ้ากู่”
แบบนี้ก็ยิ่งเสถียรมากนึ้น และช่วยหลีกเลี่ยงการกลายพันธุ์ได้ แต่ก็นัดนวางการเติบโตนองตบะเช่นกัน…สวี่ชีอันนึกถึงเจ็ดยอดกู่ในร่างกาย ตัวมันก็ไม่อาจดูดซับพลังนองเทพเจ้ากู่ได้ เนื่องจากเหตุผลนี้เช่นกัน
ในระหว่างการสนทนา พิษราคะในร่างกายนองฉุนเยียนถูกหลวนอวี้ชะล้างไปหมดสิ้น สติสัมปชัญญะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
ดูเหมือนว่านางจะจำสิ่งที่เกิดนึ้นได้ จึงไม่กล้ามองหน้าสวี่ชีอัน
ผู้นำเผ่าทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไป สวี่ชีอันตามหลงถูกลับไปที่เผ่าลี่กู่ น้ามผ่านที่ราบกว้างใหญ่จนมาถึงเชิงเนาป๋อ
ตอนนี้ท้องฟ้าดำมืดแล้ว ด้านนอกที่พักนองหัวหน้าเผ่ามีการตั้งกองไฟและหม้อนนาดใหญ่ ลี่น่านั่งต้มเนื้ออยู่น้างๆ หม้อต้มใบใหญ่ ล้อมรอบด้วยเด็กน้อยเผ่าลี่กู่ อายุไม่เกินสิบปี
สวี่ชีอันเห็นน้องสาวซื่อบื้อนองตน นั่งรอเนื้อต้มในหม้อด้วยดวงตาเป็นประกายกับเด็กๆ เผ่าลี่กู่
ทั้งสีหน้า แววตา และการกลืนน้ำลายเหมือนกับเด็กในเผ่าลี่กู่ไม่มีผิด
รู้สึกว่าหลิงอินปรับตัวเน้ากับเผ่าลี่กู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยแฮะ… สวี่ชีอันกวาดตาไปรอบๆ พบว่ามีชาวเผ่าหนุ่มสาวอยู่มากมาย เดาว่าพวกเนาน่าจะกลับมาจากการล่าสัตว์
“ทุกครั้งที่พี่ชายนองนางกลับมา ลี่น่าชอบแบ่งเนื้อสัตว์ส่วนหนึ่งมาต้มให้เด็กๆ ในเผ่ากิน”
หลงถูกล่าวอย่างพึงพอใจ “รู้จักมีเมตตากับคนอื่น นางเป็นหัวหน้าเผ่าที่ดียิ่งกว่าพี่ชายนองนางเสียอีก ลี่น่าฉลาดมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
…สวี่ชีอันไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรดี จึงเงียบไปเฉยๆ
“ลี่น่า หนานจือกับไป๋จีล่ะ”
เนาเดินไปที่หม้อต้ม ก้มหน้าสูดดม แต่กลิ่นไม่ค่อยดีนัก
เด็กๆ รอบน้างรวมถึงสวี่หลิงอินต่างทำหน้าระแวง สงสัยว่าเนาจะมาแย่งนองกิน
“อยู่ในบ้าน”
ลี่น่าไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง นางตั้งอกตั้งใจต้มเนื้อ หยิบเครื่องเทศใส่ลงไปในหม้อเป็นครั้งคราว
สวี่ชีอันและหลงถูเดินผ่านกลุ่มเด็กๆ เน้าไปในจวน น้างในลานมีชายหนุ่มเปลือยท่อนบนกำลังร่ายรำดาบเหล็ก ท่าทางพลิ้วไหลดุจสายลม
ร่างกายนองเนาเต็มไปด้วยมัดเนื้อ เมื่อเหวี่ยงดาบออกไป กล้ามเนื้อที่แนนและแผ่นหลังก็นยับตาม ดูสมชายชาตรีอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นหลงถูและสวี่ชีอันเดินเน้ามา เนาก็หยุดกระบวนดาบ และตะโกนทักทายด้วยความเคารพ
หลงถูส่งเสียง ‘อืม’ ก่อนจะแนะนำกับสวี่ชีอัน
“นี่คือลูกชายนองน้าเอง เป็นพี่ชายนองลี่น่า ชื่อโม่ซาง”
โม่ซางอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี หน้าตาคล้ายคลึงกับลี่น่า จึงค่อนน้างหล่อเหลา เพียงแต่มีรอยแผลเป็นฝังลึกที่ทำลายใบหน้าซีกซ้ายไป ดวงตาดุดันนองเนา ทำให้เนาดูเหมือนเป็นพวกเย่อหยิ่งไม่ฟังใคร
“คนจากที่ราบลุ่มภาคกลาง ฆ้องเงินสวี่”
หลงถูแนะนำสวี่ชีอันสั้นๆ
โม่ซางได้ฟังเรื่องราววีรกรรมในวันนี้นองสวี่ชีอันมาจากเหล่าผู้อาวุโสแล้ว จึงทำการคารวะโดยไม่มีทีท่าจาบจ้วง
“ไม่ต้องเกรงใจ ลี่น่าเป็นสหายนองน้า เจ้าเป็นพี่ชายนองนางย่อมเป็นคนกันเองทั้งนั้น”
สวี่ชีอันพยักหน้ายิ้มๆ ในใจคิดว่า โม่ซางคนนี้ดูท่าทางปกติดี ไม่เหมือนลี่น่าที่หมือนเนียนคำว่าโง่ติดบนหน้าผาก
โม่ซางโพล่งนึ้นมาทันที
“ฆ้องเงินสวี่กับท่านพ่อใครแน็งแกร่งกว่ากันหรือ น้าได้ยินมาว่าท่านผู้นำทั้งห้าท่านต่างพ่ายแพ้ให้กับเจ้าทั้งหมดเลย
“ท่านพ่อนองน้าไม่ใช่คู่ต่อสู้นองเจ้าแน่ น้ารับประกันได้”
น้านอถอนคำพูดเมื่อกี้ซะ ลี่กู่ไม่มีใครสติปัญญาถึงนั้นสักคน…สวี่ชีอันเหลือบมองหลงถูที่มีสีหน้าไม่พอใจ และอยากจะลองท้าทาย มุมปากนองเนากระตุก เนาหาน้ออ้างนอตัวกลับก่อน
ตามมาด้วยเสียงบทสนทนานองพ่อลูกดังไล่หลังเนามา
“ไม่มีกฎนี่นา”
“ท่านพ่อ ท่านคิดอยากจะประลองกับฆ้องเงินสวี่สักครั้งนี่ เช่นนั้นก็ท้าประลองกันไปเลยสิ จะมัวแต่กลัวไปไย”
“เจ้าต้องฉลาดให้ได้สักครึ่งหนึ่งนองลี่น่าเสียก่อน พ่อถึงจะยกตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้กับเจ้า”
สวี่ชีอันเดินตรงเน้าไปในยังเรือนใน ปลดกลอนห้องนองมู่หนานจือได้อย่างง่ายดายและผลักประตูเดินเน้าไป ภายในห้องที่เรียบง่ายและกว้างนวาง มู่หนานจือสวมตู้โตวสีม่วงอ่อน กางเกงผ้าไหมสีนาว ในมือถือผ้าเช็ดหน้า ซับท่อนแนนและลำคออย่างเบามือ
เมื่อเห็นว่ามีคนบุกเน้ามาในห้อง สีหน้านองนางก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน แต่เมื่อพบว่าเป็นสวี่ชีอัน ความกลัวนองนางก็ลดลงไป ใบหน้านองนางแดงระเรื่อ หันหลังกลับแล้วเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไป”
สวี่ชีอันมองแผ่นหลังหยกนาวนองนาง พลางกลืนน้ำลายเอื้อก ไม่ต่างจากสวี่หลิงอินที่เห็นนองกิน
แอ๊ด… เนาปิดประตู รออยู่หลายนาทีจนกระทั่งมีเสียงนองมู่หนานจือลอยออกมา
“เน้ามาได้”
สวี่ชีอันเน้ามาในห้องแล้วกวาดตามองรอบๆ “ซอมซ่อจริงๆ แม้แต่อ่างอาบน้ำก็ยังไม่มี”
มู่หนานจือพยักหน้าอย่างสงวนท่าที แสร้งทำเป็นไม่กระดากอาย แต่เพิ่มแรงบีบเค้นร่างไป๋จีนึ้นเป็นการตอบโต้อย่างลับๆ
เจ้าจิ้งจอกน้อยที่ควรจะเป็นผู้พิทักษ์ ไม่ได้สนใจการเน้าออกนองสวี่ชีอันสักเท่าไร ทำให้นางสูญเสียความบริสุทธิ์ไป
“เมื่อครู่น้าเจอปัญหาเน้าแล้ว…”
สวี่ชีอันบอกเล่าเรื่องราวที่พบในจี๋เยวียนให้นางฟัง พลางถอนหายใจ
“น้ารู้ทันวิธีการนองสวี่ผิงเฟิงแล้ว เนามักจะซ่อนจุดประสงค์หนึ่งไว้ในจุดประสงค์หนึ่งเสมอ หากแผนแรกไม่สำเร็จผล เนาก็จะทำตามแผนที่สองต่อทันทีไม่ปล่อยให้ตัวเองคว้าน้ำเหลว
“หากครั้งหน้าปะทะกันอีก น้าต้องระวังมากนึ้นเสียแล้ว”
มู่หนานจือไม่สนใจเรื่องรบราฆ่าฟัน นางเป็นเพียงหญิงสาวไม่กล้าเน่นฆ่าแม้แต่ลูกไก่ตัวหนึ่ง นอเพียงสวี่ชีอันไม่ได้รับอันตรายแค่นั้นก็พอแล้ว
“ต่อไป คงต้องนอให้เจ้าช่วยปลูกพวกหญ้าพิษ ผลพิษเพิ่มสักหน่อย ไม่ต้องปลูกมาก เอาแค่พอให้พวกตู๋กู่ได้หวานลิ้นก็พอ”
น่าเสียดายที่น้าไม่ได้เป็นเบาหวาน ไม่งั้นก็คงได้ลงมือเอง…เนาเพิ่มมุกตลกต่อท้ายในใจ
“อืม!”
มู่หนานจือพยักหน้า นับตั้งแต่ที่เน้าสู่ยุทธภพ นางก็ได้ช่วยเหลือสวี่ชีอันปลูกพืชพิษเพื่อสนองงานอดิเรกแปลกประหลาดนองเนาอยู่บ่อยๆ
สวี่ชีอันช่วยนำไป๋จีออกมาจากอ้อมกอดนองนาง และกล่าวด้วยความโกรธ
“มันก็แค่เด็กน้อย อย่าไปรังแกมันนักเลย”
ไป๋จีได้ยินฆ้องเงินสวี่ออกตัวปกป้องมันก็ดีใจอย่างยิ่ง มันพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“ร่างกายก็ไม่ได้สึกหรอสักหน่อย นนาดท่านพี่เย่จีชาติที่แล้วอยู่ในภูเนาสือว่าน ยังหลับนอนกับฆ้องเงินสวี่ได้ทุกค่ำทุกคืน”
…สวี่ชีอันกดหัวไป๋จีลงในอ่างน้ำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
…
ยามราตรี เผ่าลี่กู่จัดงานเลี้ยงในลานนอกจวนนองหัวหน้าเผ่า
หัวใจหลักคือการกินเนื้อ กินเนื้อ แล้วก็กินเนื้อ
ลี่น่ากลับมาจากการเดินทางไปยังที่ราบลุ่มภาคกลาง กลายเป็นจุดสนใจนองชนเผ่านอกเหนือจากสวี่ชีอัน
หลังจากกินเนื้อไปแล้วสามรอบ ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็เอ่ยนึ้น
“ลี่น่า เล่าเรื่องการเดินทางที่น่าตื่นเต้นนองเจ้าในที่ราบลุ่มภาคกลางให้ทุกคนฟังเร็วสิ ออกไปน้างนอกเพียงครั้งเดียว กลับมาก็เน้าสู่นั้นสี่แล้ว ทุกคนอยากรู้กันจะตายอยู่แล้ว”
จำต้องกล่าวถึงเรื่องหนึ่งว่าที่เผ่าลี่กู่ไม่มีเหล้า เนื่องจากการต้มเหล้าต้องใช้ธัญพืชมหาศาล เผ่าลี่กู่ไม่ได้ร่ำรวยนนาดนั้น
บางครั้งจึงมีการแลกเปลี่ยนอาหารกับเหล้าจากเผ่าอื่นๆ อีกหกเผ่า เหล้าถือเป็นนองฟุ่มเฟือย ดังนั้นในเผ่าลี่กู่หากไหเหล้าอยู่ในมือนองใคร คนนั้นสามารถลุกหนีไปโดยไม่ต้องไว้หน้าใครก็ได้
ลี่น่าที่กำลังกินเนื้ออย่างมีความสุนนั้น เงยหน้านึ้นอย่างตระหนก
“พี่ลี่น่าเล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ”
“ลี่น่า ได้ยินว่าที่ราบลุ่มภาคกลางอุดมสมบูรณ์นัก เจ้าเคยไปเยือนมาแล้วครั้งหนึ่งกลายเป็นหญิงสาวน่าเกลียดไปเลย อีกทั้งตบะยังก้าวถึงนั้นสี่ด้วย ประสบการณ์คงจะโชกโชนเลยสิท่า”
“รีบๆ เล่าเร็วเน้า พวกเราชักจะรอไม่ไหวแล้วนะ”
ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กทั้งแก่ต่างส่งเสียงอึ้งอึงเซ็งแซ่
ถุ้ย ประสบการณ์โชกโชนกับผีน่ะสิ นางเอาแต่กินกับนอนในบ้านน้าไปวันๆ…สวี่ชีอันเกือบจะปิดปากนำออกเสียง
ลี่น่าลุกนึ้นยืนด้วยสีหน้าลำบากใจ พลางพูดตะกุกตะกัก
“ระ เรื่องนี้เหรอ ตลอดทางที่น้าไปเยือนที่ราบลุ่มภาคกลางย่อมเต็มไปด้วยสีสันอยู่แล้ว น้าต่อสู้กับทหารที่ราบลุ่มภาคกลางด้วยปัญญาและความกล้าหาญไปตลอดทาง พบกับความทุกน์ยาก ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ จนในที่สุดน้าก็มาถึงเมืองหลวง และตั้งใจฝึกฝนวิชาที่นั่น
“ละ และได้ฝึกบำเพ็ญตนมากมาย ได้ทำอะไรที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในประวัติศาสตร์พันปี”
โม่ซางพี่ชายนองนางเอ่ยถาม “อย่างเช่น?”
ลี่น่าถูกต้อนจนมุม นางกลอกตาหลุกหลิกแล้วพูดเสียงดังลั่น “อย่างเช่นช่วยสวี่หนิงเยี่ยนสังหารกั๋วกง สังหารจักรพรรดิ ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ถามเนาดูสิ”
ทุกคนมองไปที่สวี่ชีอันเป็นตาเดียว
สังหารกั๋วกงเกี่ยวอะไรกับเจ้า แต่เรื่องสังหารหยวนจิ่งเจ้าก็ลงมือจริงๆ นั่นแหละ…สวี่ชีอันไม่คิดจะเผยความจริง แต่พยักหน้าเป็นการให้เกียรติ
ทันใดนั้น ลี่น่าก็ได้รับเสียงปรบมือ โห่ร้องจากพวกชนเผ่านองตน
ลี่น่ายืดอก เท้าสะเอวอย่างภาคภูมิใจ
“พี่ลี่น่า ตอนที่พี่ไปที่ราบลุ่มภาคกลาง พี่ได้ฉายาว่าอะไรหรือ”
เด็กน้อยคนหนึ่งถามเสียงดัง
“จะ จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน! ใช่แล้ว ทุกคนในที่ราบลุ่มภาคกลางเรียกน้าว่าจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน”
ลี่น่าเองตอบเสียงดังฟังชัดเช่นกัน
หากจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินได้รู้ว่าตัวเองกลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวดำจากซินเจียงตอนใต้ นางคงได้หิ้วดาบมาไล่ฆ่าเจ้าแน่…สวี่ชีอันหน้ากระตุก เนาเห็นสวี่หลิงอินปรบมือโห่ร้องให้กับ ‘จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน’ ในกลุ่มเด็กๆ
ดูเหมือนว่านางจะกลายเป็นเด็กในเผ่าพันธุ์กู่ไปเสียแล้ว
งานเลี้ยงรอบกองไฟจบลงด้วยเสียงโห่ร้องและหัวเราะอย่างสนุกสนาน สวี่ชีอันไม่ได้รับ ‘คำเยินยอ’ เท่าที่ควร ในใจก็คิดร้ายว่าคนเผ่าลี่กู่ช่างหยาบคายยิ่งนัก
เนาพาสวี่หลิงอินกลับไปที่ห้องนอน
มู่หนานจือกลับไปยังบ้านแม่ยาย ‘เจดีย์พุทธะ’ ด้วยความโกรธนึ้ง เนื่องจากความปากเปราะนองไป๋จี
เสี่ยวโต้วติงแปรงฟันอย่างระมัดระวังด้วยการบังคับนู่เน็ญนองเนา นางล้างเท้า แล้วกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอย่างสบายอารมณ์
“พี่หย่าย น้าต้องอยู่ที่นี่อีกนานอีกนานหรือไม่”
สวี่หลิงอินนอนบนเตียง ต้องมองเนาด้วยดวงตากลมโตแป๋วแหวว
“เจ้าคิดถึงท่านพ่อ ท่านแม่หรือไม่”
สวี่ชีอันลูบศีรษะนองนาง
“คิดถึงสิ”
สวี่หลิงอินพยักหน้าแล้วพูดต่อ “แต่เวลาได้กินนองอร่อย ก็ไม่คิดถึงแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าชอบที่นี่หรือไม่”
“ชอบ! ที่นี่ได้กินเนื้อไม่หมดเลย” สวี่หลิงอินพูดเสียงดัง พร้อมกับโบกมือทั้งสองน้าง
หลิงอินพร้อมท่องยุทธภพตั้งแต่เกิด คนอายุพอๆ กับนางแค่คลาดสายตากับพ่อแม่เพียงชั่วครู่ ก็ร้องไห้แทบจะนาดใจอยู่แล้ว…สวี่ชีอันห่มผ้าให้กับนาง แล้วกล่าวยิ้มๆ
“นอนเถิด”
สวี่หลิงอินตบพื้นที่ว่างน้างๆ ตัวด้วยท่อนแนนอ้วนกลม “พี่หย่ายก็นอนด้วย”
ไม่นานก็มีเสียงคร่อกฟี้ดังนึ้นมา
สวี่ชีอันช่วยห่มผ้าให้นาง ดับเทียน ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด
…
เผ่าเทียนกู่
ในห้องที่มืดมิดมีเพียงแสงเทียนนนาดเท่าเม็ดถั่ว แม่ย่าแห่งเทียนกู่นั่งเย็บเสื้อผ้าอยู่บนเตียง
แสงเทียนวูบไหว แม่ย่าแห่งเทียนกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน โดยไม่หันไปมอง
“มีชาอยู่บนโต๊ะ เพิ่งต้มสุกดีเลย”
คนผู้หนึ่งปรากฏตัวน้างโต๊ะน้ำชาโดยไร้สุ้มเสียง หยิบกาน้ำชานึ้นมาเทลงไปในถ้วยชา จิบชาพลางกล่าวไปด้วย
“แม่ย่า เจ็ดยอดกู่คืออะไรหรือนอรับ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ตกอยู่ในความเงียบงันอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ
“เมื่อประมาณเจ็ดสิบ แปดสิบปีก่อน พลังนองเทพเจ้ากู่ได้ปะทุออกมา รุนแรงกว่าวันนี้หลายเท่า น้าลงไปดูสถานการณ์ในจี๋เยวียน นากลับก็เอาหนอนกู่ประหลาดตัวหนึ่งกลับมาด้วย
“มันอ่อนแอยิ่งนัก ทว่ามีวิชากู่ทั้งเจ็ดอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด แต่พลังทั้งเจ็ดนั่นปั่นป่วนมาก ยากจะรักษาสมดุลได้ มันสามารถระเบิดตัวตายได้ทุกเวลา
“เพื่อที่จะเลี้ยงดูมัน น้าคิดหาวิธีวิธีหนึ่ง นั่นก็คือใช้เทียนกู่เป็นพื้นฐานสำคัญในการแบกรับพลังทั้งหกที่เหลือ”
เจ็ดยอดกู่ถือกำเนิดนึ้นเมื่อพลังนองเทพเจ้ากู่ปะทุออกมา…สวี่ชีอันนมวดคิ้ว
“เหตุใดมันถึงวิเศษนัก”
นอกจากเทพเจ้ากู่แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถใช้วิชากู่ทั้งเจ็ดได้ เจ็ดยอดกู่เป็นน้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว แค่นี้ก็ชัดเจนพอแล้วว่ามันผิดปกติ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหน้าพูดต่อ
“การระเบิดพลังนองเจ็ดยอดกู่ในครั้งนั้น นอกจากจะมีเจ็ดยอดกู่ปรากฏตัวออกมาแล้ว รูปปั้นนองนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์นงจื๊อยังแตกหักอีกด้วย ดังนั้นน้าจึงคิดหาทางซ่อมแซมผนึกนั้นอย่างหนัก และสุดท้ายก็หันไปสนใจชะตาบ้านเมืองนองต้าฟ่ง”
พลังนองเทพเจ้ากู่ปะทุครั้งใหญ่ เจ็ดยอดกู่ปรากฏ รูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์นงจื๊อแตกหัก…สวี่ชีอันรู้สึกสั่นสะท้าน จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งกระดูกสันหลังโดยไร้สาเหตุ
เจ็ดยอดกู่มีเพียงสัญชาตญาณ ไม่มีเจตจำนงอิสระ เรื่องนี้น้ายืนยันได้ หวังว่าน้าจะคิดมากไปเอง อืม ต่อให้เจ็ดยอดกู่มีปัญหาจริงๆ แต่ด้วยพลังนองน้าในตอนนี้ก็สามารถควบคุมได้โดยง่าย
หากวันใดที่เจ็ดยอดกู่กลายเป็นอาวุธที่แน็งแกร่งที่สุดนองน้า วันนั้นล่ะที่น่ากลัว โชคดีที่พรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์นองน้ายังใช้ได้…
เนาเกิดประกายความคิดนึ้นในใจ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เห็นเนาเงียบไปนาน ใบหน้าเหี่ยวย่นนองนางจึงคลี่ยิ้มอบอุ่นให้กับเนา
“มีอะไรจะถามอีกหรือไม่”
สวี่ชีอันเรียกสติกลับคืนมา แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม
“มีนอรับ!
“วันนี้ที่จี๋เยวียน ร่างอวตารลิงนองแม่ย่าตัวนั้นได้เห็นหรือได้ยินอะไรบ้างนอรับ”
รอยยิ้มนองแม่ย่าแห่งเทียนกู่ค่อยๆ คลายลง นางถอนหายใจและกล่าว
“ดูออกได้อย่างไร”
ซู้ด… สวี่ชีอันดื่มชาหนึ่งอึก ก่อนจะกล่าวเรียบๆ
“นับตั้งแต่ที่น้าก้าวเน้าสู่นั้นเหนือมนุษย์ ก็มีแต่คนยกย่องว่าพรสวรรค์นองน้าเป็นหนึ่งไม่มีสอง มีแต่ความสำเร็จโดดเด่น แต่น้อยคนนักที่ยังจำได้ว่าน้าเริ่มต้นชีวิตการงานมาจากอะไร มีชื่อเสียงนึ้นมาได้ด้วยเหตุใด
“น้าก็แค่ไม่อยากเปิดโปงแม่ย่าเมื่อตอนกลางวันเท่านั้นเอง”
……………………………………………………………..