ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 682 บทสนทนาระหว่างเทพเจ้ากู่กับไป๋ตี้
ราชวงศ์ต้าฟ่งทุบตีผู้คน
เป็นการคลี่คลายคดี!
ก่อนที่ตบะของเขาจะไปถึงระดับบรรลุสมบูรณ์ สิ่งที่เขาภาคภูมิใจจริงๆ คือความสามารถในการคลี่คลายคดี
ความสามารถในการคลี่คลายคดีเท่ากับการใช้เหตุผลเชิงตรรกะบวกกับการสังเกตอย่างละเอียด
การวางแผนของเขามันคนละระดับกับท่านโหราจารย์และสวี่ผิงเฟิง เขาจึงไม่อาจวางแผนกลยุทธ์ได้
แต่ถึงแม้จะเป็นท่านโหราจารย์ ก็อย่านึกสิว่าเขาจะเล่นเป็นลิงอยู่ร่ำไป
แม้แต่สวี่ผิงเฟิงที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ สวี่ชีอันก็ยังปล่อยให้แพ้กลับบ้านอย่างอัปยศ เมื่อเขาต้องรื้อเอาโชคชะตากลับมาใช้
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการ ‘คลี่คลายคดี’ อันทรงพลังของเขา ตามเบาะแสต่างๆ ที่เขาตั้งใจวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เพื่อถอดรหัสตัวตนที่แท้จริงของพ่อมดลึกลับ เพื่อตระเตรียมมาตรการตอบโต้
ในเวลาเพียงหนึ่งปี เขาเติบโตขึ้นจากภาชนะอ่อนแอที่ใครๆ ก็ชักใยได้ มาเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าในสภาวะเหนือมนุษย์
เติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เดินหมาก
เขาคลี่ผ้าคลุมหน้าของ ‘โหรลึกลับ’ สวี่ผิงเฟิงออกทีละชั้นทีละชั้นแล้วเขาก็เผยผ้าคลุมหน้าลึกลับของท่านโหราจารย์เป็นรายต่อไป
โหรสูงสุดสองคนยังไม่คณามือเขา นับประสาอะไรกับแม่ย่าแห่งเทียนกู่
“วันนั้นแม่ย่ามาหาข้าที่เหวลึกจี๋เยวียนเพื่อแจกแจงข้อดีข้อเสียและแนะนำให้ข้าไปจากชายแดนตอนใต้ อันที่จริง แม้ข้าไม่ได้ถอดกำไลออก แต่ท่านก็จะบอกข้าว่าข้าควรจัดการกับมันเช่นไร”
สวี่ชีอันวางถ้วยชาลงและมองแม่ย่าแห่งเทียนกู่ผ่านแสงเทียนสลัว
“ท่านได้เลือกแล้วที่จะเป็นพันธมิตรกับข้า ไม่ใช่สวี่ผิงเฟิงใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นเด็กฉลาด”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ยิ้มซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับ
สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงไม่เข้าใจพฤติกรรมที่ท่านกำลังจะทำ ท่านเป็นกลางเกินไป ไม่ได้เข้าข้างข้าหรือสวี่ผิงเฟิง แล้วยังปล่อยให้หัวหน้าทั้งห้าคนมาต่อสู้กับข้าอีก”
“แต่ในความเป็นจริง ท่านรู้ว่าข้าสามารถเอาชนะพวกนั้นได้ เพราะลี่น่ามอบเจ็ดยอดกู่ในตัวให้ข้า นั่นคือ ท่านรู้อยู่แล้วว่าเผ่าพันธุ์กู่กับเมืองอวิ๋นโจวย่อมไม่อาจเป็นพันธมิตรกันได้”
“เป็นพันธมิตรกับฝ่ายหนึ่ง ก็ย่อมแตกหักกับอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยสติปัญญาของเจ้า เจ้าจึงไม่ได้จับตาดูเก่อเหวินเซวียนอย่างใกล้ชิด แม้เก่อเหวินเซวียนจะเป็นตัวละครจิ๊บจ้อย แต่ก็ไม่อาจประเมินสวี่ผิงเฟิงที่อยู่เบื้องหลังเขาต่ำเกินไป”
“ข้านึกแล้วเชียวว่าต้องมีผู้สนับสนุนสวี่ผิงเฟิงอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้ท่านย่อมคาดการณ์ไม่ได้”
“ข้าก็นึกว่าท่านจับตาดูเก่อเหวินเซวียนอยู่ เหตุใดท่านถึงปล่อยให้เก่อเหวินเซวียนมาวุ่นวายในเหวลึกจี๋เยวียนโดยไม่ห้ามปรามเขาไว้?”
“ท่านเคยบอกว่าการผนึกเทพเจ้ากู่เป็นเป้าหมายชั่วนิรันดร์ของเผ่าพันธุ์กู่ ที่ข้ามาที่นี่คืนนี้นอกจากเรื่องเจ็ดยอดกู่แล้ว ก็มีเพียงเรื่องนี้ที่อยากถาม”
แม้เทียนกู่จะไม่เหมือนกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้าที่สามารถสอดส่องความลับสวรรค์ได้ตามอำเภอใจ แต่ก็สามารถมองเห็นแง่มุมในอนาคตได้ สวี่ชีอันต้องเผชิญกับบุคคลเช่นนี้จึงได้ระวังตัวแต่เนิ่นๆ
อาจมีเพียงลี่น่าเท่านั้นที่คิดว่าแม่ย่าแห่งเทียนกู่เป็นคนแก่ใจดี ซึ่งนี่อาจเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่เป็น
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ยังคงนิ่งเงียบ ก้มหน้าเย็บผ้าต่อไป
สวี่ชีอันไม่ได้เร่งเร้านางและดื่มชาต่อเพียงลำพัง ห้องนอนเงียบสงบ มีเพียงแมลงที่อยู่นอกหน้าต่างเท่านั้นที่ส่งเสียงร้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
อากาศทางชายแดนตอนใต้ร้อนมาก แม้ในฤดูหนาว พืชพรรณก็ยังเป็นสีเขียว นกและสัตว์ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในช่วงฤดูหนาวนานนัก เพราะถึงจะนานแค่ไหนก็ยังสั้นกว่าช่วงฤดูร้อน
“รู้เรื่องพวกนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเจ้า”
หลังจากนั้นไม่นาน แม่ย่าแห่งเทียนกู่ก็ถอนหายใจและพูดช้าๆ
“เจ้ารู้จักพลังแสงสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหรือไม่?”
สวี่ชีอันส่ายหัว
“แม่ย่า โปรดบอกให้ข้ารู้ด้วย”
“เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนะ ในอวิ๋นโจวก็มีประวัติความเป็นมาและวิหารอยู่”
ทันทีที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดจบ สวี่ชีอันก็โพล่งออกมา
“ไป๋ตี้?!”
สวี่ผิงเฟิงติดต่อกับทายาทสายเลือดเทพมารตั้งแต่เมื่อไร…หัวใจของเขาหนักอึ้งและความรู้สึกแย่ๆ ก็ประเดประดังเข้ามา
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นบุตรแห่งมนุษย์ที่ปราศจากความเหมาะสมจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับทายาทสายเลือดเทพมาร แม้เรื่องนี้จะไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นพันธมิตรกัน
มิตรของศัตรูก็ย่อมต้องเป็นศัตรู
“ข้าได้วิเคราะห์มาก่อนแล้วว่าอวิ๋นโจวต้องได้รับการสนับสนุนจากวังต่างชาติ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นผู้สนับสนุนที่จากไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน หากเหตุการณ์นี้ล้มเหลว พวกนั้นก็จะข้ามน้ำข้ามทะเลกลับไป เมื่อมองดูตอนนี้ บางทีอาจมีเหตุผลอื่นที่สวี่ผิงเฟิงเลือกอวิ๋นโจวมาเป็นฐานกำลัง เป็นต้นว่า เขาแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับไป๋ตี้”
สวี่ชีอันวิเคราะห์ในใจด้วยความเคยชิน “ข้าไม่รู้ว่าไป๋ตี้เป็นใคร แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่น่าใช่ระดับสุดยอด…”
เขาหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความคิดของตัวเองที่แตกซ่านกระจัดกระจายแล้วพูดว่า
“แม่ย่า ท่านว่าต่อเถอะ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ก้มหน้าเย็บผ้าและพูดว่า
“มันถามเทพเจ้ากู่สามคำถาม คำถามแรกคือ เจ้าจะหลุดพ้นจากผนึกเมื่อใด”
“เทพเจ้ากู่ตอบว่า…ในช่วงเวลาสุดท้ายปลายมหาศักราชจะขาดเขาไปมิได้”
นี่คือการแปลความของนางตามความเข้าใจในภาษาเทพมาร
ในช่วงเวลาสุดท้ายปลายมหาศักราชจะขาดเขาไปมิได้รึ? สวี่ชีอันส่งเสียง “ฟู่” เขาคิดไตร่ตรองอย่างหนักและหวาดกลัวอย่างยิ่ง
คำตอบของเทพเจ้ากู่เปิดเผยข้อมูลสองอย่าง
หนึ่ง เวลาที่มหาศักราชจะสิ้นสุดลง
นี่อาจหมายถึงเหตุการณ์บางอย่าง โอกาสบางอย่าง ภัยพิบัติบางอย่าง ไม่ว่า ‘เวลา’ จะสื่อถึงอะไร แต่ระดับที่เกี่ยวข้องนั้นสูงมากอย่างแน่นอน
ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าสภาวะเหนือมนุษย์ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
สอง จะขาดเขาไปมิได้
เทพเจ้ากู่เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเขาสามารถหลุดพ้นจากผนึกได้ ระดับสุดยอดย่อมไม่มั่นใจอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเผ่าเทียนกู่มองเห็นแง่มุมแห่งโชคชะตาได้ เทพเจ้ากู่ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของไสยศาสตร์กู่ก็ย่อมทำได้เช่นกัน
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว สวี่ชีอันก็พยักหน้าให้แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูด
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดต่อ
“คำถามที่สอง ถามเทพเจ้ากู่ว่า ปรมาจารย์เต๋าอยู่ที่ไหน”
“คำตอบของเทพเจ้ากู่คือ…บางทีก็อาจหายไปหมดแล้ว”
ปรมาจารย์เต๋าอยู่ที่ไหน...
‘เรื่องนี้น่าสนใจ ลูกหลานเทพมารซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณโพ้นทะเล เริ่มให้ความสนใจปรมาจารย์เต๋าแล้ว’…สวี่ชีอันลูบคางและครุ่นคิด
ในบรรดาระดับสุดยอดทั้งหมด ปรมาจารย์เต๋าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ลึกลับและเก่าแก่ที่สุด
ไม่สามารถตรวจสอบปีตรัสรู้ได้ทั้งยังไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ใดๆ ได้แต่คาดเดาว่าเป็นเวลาที่ยุคเทพมารถึงกาลอวสานและเป็นเวลาที่ยุคเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพิ่งถือกำเนิดขึ้น
แต่ช่วงนี้มีระยะเวลาเป็นพันปี การจะระบุอย่างแม่นยำย่อมเป็นไปไม่ได้
เหตุใดไป๋ตี้ถึงให้ความสนใจปรมาจารย์เต๋าที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่หรือไม่? เหตุใดจึงถามเทพเจ้ากู่ซ้ำอีกครั้ง ทั้งที่เทพเจ้ากู่หลับใหลอยู่ที่ชายแดนตอนใต้ตั้งแต่สิ้นสุดยุคเทพมารและถูกนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อผนึกไว้เมื่อกว่าพันปีก่อน
หากมีการขัดกันระหว่างเทพเจ้ากู่กับปรมาจารย์เต๋า มันก็ควรจะเกิดขึ้นตอนเทพเจ้ากู่ยังหลับใหลอยู่ที่ชายแดนตอนใต้
‘นอกจากนี้คำตอบของเทพเจ้ากู่ยังมีข้อมูลมากมาย ปรมาจารย์เต๋าอาจถูกโค่น? ใครจะสามารถฆ่าปรมาจารย์เต๋าได้? เป็นไปไม่ได้ที่ปรมาจารย์เต๋าจะเบื่อชีวิตและจบชีวิตลงด้วยตัวเอง’…สวี่ชีอันถามว่า
“แม่ย่าคิดอย่างไรกับปรมาจารย์เต๋า?”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหัว “ข้าไม่รู้”
‘ไม่รู้แต่ไม่ใช่พูดไม่ได้’…สวี่ชีอันถามว่า “ท่านไม่ได้สอดส่องปรมาจารย์เต๋าในอนาคตไว้เลยหรือ?”
“เจ้าอาจเข้าใจผิดคิดว่า เทียนกู่กำลังสอดส่องแง่มุมแห่งโชคชะตาอยู่ แล้วแง่มุมคืออะไร?”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่อ้อมแอ้มพูดออกมา
“เป็นการฟังความเข้าข้างเดียวไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เป็นเศษเสี้ยวความโกลาหลที่สอดส่องอะไรไม่ได้”
“ข้อจำกัดนั้นใหญ่หลวงและควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่ว่าถ้าข้าอยากรู้อะไร ข้าจะใช้เทียนกู่สอดส่องได้ทันที”
ช่องว่างระหว่างเทียนกู่กับการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ของท่านโหราจารย์นั้นใหญ่เกินไป…สวี่ชีอันพึมพำ “แล้วท่านคิดว่าจุดประสงค์ที่ไป๋ตี้ถามถึงที่อยู่ของปรมาจารย์เต๋าล่ะ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหัวอีกครั้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คำถามที่สาม ไป๋ตี้ถามเทพเจ้ากู่ว่า ใครคือผู้เฝ้าประตู”
“คำตอบของเทพเจ้ากู่ คือ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ แต่มารู้ทีหลัง…”
สวี่ชีอันชะงักครู่หนึ่งแล้วโพล่งถามขึ้นมาทันทีโดยไม่รอให้แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดจบ
“รู้อะไร?”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดอย่างอับจนหนทาง “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน แต่พลังของรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อหยุดยั้งเทพเจ้ากู่ไว้และผนึกซ้ำอีกครั้ง” …สวี่ชีอันแทบตกขบวนเมื่อคิดว่านักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อไม่น่าเป็นบุตรแห่งมนุษย์เพราะพอเขาตายก็ทำลายคำสอนต่างๆ ของเขาทิ้งหมด
“แม่ย่าคิดอย่างไรกับผู้เฝ้าประตู?”
เขาถามแม่ย่าแห่งเทียนกู่ทันที
“ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เฝ้าประตูและข้อมูลเกี่ยวกับผู้เฝ้าประตูทั้งหมดก็เป็นความลับสวรรค์ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสำนักโหราจารย์ ดังนั้นเจ้าควรรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ตอบกลับ
“ผู้ที่รู้ความลับสวรรค์จะถูกความลับสวรรค์ผูกมัดไว้”
สวี่ชีอันถอนหายใจและพยักหน้า นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการสอดส่องความลับสวรรค์และมันเป็นกฎของสวรรค์
เขารินน้ำให้ตัวเองอีกแก้ว จิบแล้วจ้องมองใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้ชรา
“เหตุผลที่แม่ย่าตามใจเก่อเหวินเซวียนก็เพื่อใช้เขาค้นหาความลับของผู้เฝ้าประตูจากเทพเจ้ากู่”
หากเป็นเพราะแรงจูงใจนี้ ก็อธิบายพฤติกรรมของแม่ย่าแห่งเทียนกู่ได้
นางเลือกที่จะสร้างพันธมิตรด้วยตัวเองมาเนิ่นนาน ทำตัวเป็นกลางและไม่เข้าไปข้องเกี่ยว นางกำลังรอให้เก่อเหวินเซวียนไปเหวลึกจี๋เยวียน มีแม้กระทั่งแอบเคลื่อนไหวลับๆ เพื่อช่วยให้เก่อเหวินเซวียนเข้าสู่เหวลึกจี๋เยวียน
ตัวอย่างเช่น การลบกลิ่นอายของเขา เพื่อมิให้กระจกเทพฮุ่นเทียนหาเขาเจอ
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การช่วยเขากวาดล้างแมลงและสัตว์ร้ายตามทาง เพื่อให้เขาไปถึงรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อได้อย่างราบรื่น
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาและไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ซ่อมแซมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ลดศีรษะลงกัดด้ายให้ขาดและพูดว่า “ใช่”
“นี่มันดึกแล้ว ได้เวลาพักผ่อนแล้ว”
สวี่ชีอันพูดว่า “ผู้เยาว์รบกวนท่านแล้ว”
แล้วละลายหายไปในเงามืด
…
เมื่อกลับมาถึงเผ่าลี่กู่ ก็เห็นห้องโถงสว่างไสวด้วยแสงเทียนและพี่ชายน้องสาวโม่ซางกับลี่น่ากำลังรับประทานของว่างยามดึกกัน เป็นหม้อเนื้อสำหรับพวกเขาแต่ละคนและคนละหม้อ
เสื้อผ้าส่วนใหญ่ขาดวิ่นมีเพียงเท้าเปลือยเปล่า มีเลือดอยู่บนหน้าอกโม่ซางแต่ไม่พบบาดแผล
สวี่ชีอันเดาว่าพี่ชายน้องสาวเพิ่งทะเลาะกันและโม่ซางผู้เป็นพี่ชายถูกน้องสาวทุบตี ในเวลานี้ พี่ชายกับน้องสาวกำลังทานอาหารเพื่อเติมพลัง
โม่ซางพูดว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าจะลักพาตัวองค์หญิงราชวงศ์ต้าฟ่งไม่ก็โฉมงามอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าฟ่งมาเป็นภรรยาข้าหรอกรึ?”
‘ดูเหมือนความงดงามของสตรีจากที่ราบลุ่มภาคกลางจะไม่ใช่ประเด็นที่เผ่าลี่กู่ของพวกเจ้าสนใจกันสักเท่าไร ‘…มันเกี่ยวกับว่าเป็นองค์หญิงหรือเปล่า สวี่ชีอันตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่ง
“ข้าก็ลักพาตัวมาให้แล้วไง สตรีที่อยู่ข้างๆ สวี่หนิงเยี่ยนคือโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าฟ่ง”
ลี่น่าสาบาน
“ขาวไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ดำได้ แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ แบบนี้ นางมั่นใจได้อย่างไรที่บอกว่าตัวเองเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าฟ่ง”
โม่ซางไม่สนใจสักนิดแล้วพูดว่า “สตรีจากที่ราบลุ่มภาคกลางตัวขาววอกน่าเกลียดจริงๆ กองคาราวานพวกนั้นโกหกข้า”
กองคาราวานจากที่ราบลุ่มภาคกลางบอกเขาว่าพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือคือโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าฟ่ง นั่นเป็นคำโอ้อวดของพ่อค้าจากที่ราบลุ่มภาคกลาง
โม่ซางถามพวกเขาว่าเมื่อเทียบกับสตรีเผ่าพันธุ์กู่ของพวกเราแล้วเป็นอย่างไร?
พ่อค้าจากที่ราบลุ่มภาคกลางมองไปทางคนผิวดำกลุ่มเล็กๆ จากชายแดนตอนใต้และพูดอย่างจริงใจว่า
“เหมือนเมฆบนท้องฟ้ากับโคลนกลางทุ่งนา”
โม่ซางเคี้ยวอาหารหนักหน่วงและเอ็ดตะโรเสียงดัง
“ข้าคิดออกแล้ว กลายเป็นว่าผู้หญิงจากชายแดนตอนใต้ของพวกเราเป็นก้อนเมฆ ส่วนผู้หญิงจากราชวงศ์ต้าฟ่งเป็นก้อนโคลน”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าเคยเห็นองค์หญิงจากที่ราบลุ่มภาคกลางแล้ว พวกนางขาวผ่องมีน้ำมีนวลจริงๆ ห่างไกลจากข้าลิบลับ” ลี่น่าพูดจาตรงไปตรงมา
“ใช่แล้ว เจ้าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในเผ่าลี่กู่ของพวกเรา” โม่ซางพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของน้องสาว
สวี่ชีอันจับมือกับพี่ชายน้องสาวในใจตัวเองแล้วกลับไปที่ห้อง
‘คร่อก คร่อก...’
เสียงกรนของเสี่ยวโต้วติงดังขึ้นเป็นจังหวะและด้วยสายตาอันแรงกล้าของเขา เขาเห็นน้องสาวโง่ๆ ของเขานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง เตะผ้าห่มหนังสัตว์ออก
ข้อมือขวาเปียกเหมือนถูกเคี้ยว
เตียงไม่ใหญ่นักและเสี่ยวโต้วติงใช้พื้นที่ไปถึงสองในสาม สวี่ชีอันจัดมือจัดเท้าของนาง ดึงผ้าห่มหนังสัตว์มาคลุมร่างน้องสาวแล้วหลับตาพักผ่อน
…
ในความมืดสลัว เขาได้ยินเสียงคำรามเสียดแทงหัวใจทำให้เขาตื่นขึ้นทันที
ในขณะนี้ สวี่ชีอันตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าเขายังคง ‘อยู่ในความฝัน’ โดยอาศัยวิญญาณในสภาวะเหนือมนุษย์ของเขาและปฏิกิริยาแรกของเขาคือ
ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ของสำนักพ่อมดอยู่ที่นี่รึ?
เพื่อให้สามารถจัดการกับยอดฝีมือระดับเขาในโลกแห่งความฝันได้ ในระบบหลัก มีเพียงระบบพ่อมดที่เรียกว่า ‘พ่อมดแห่งความฝัน’ ที่อยู่ในขั้นสี่เท่านั้น
แม้ว่าลัทธิเต๋าจะมีวรยุทธ์ล่อให้หลงในความฝันเช่นกันแต่มันเป็นอิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้าหยิน เมื่อเทียบกับพ่อมดแห่งความฝันแล้วก็แตกต่างกันเหมือนมืออาชีพกับมือสมัครเล่น
ในเสียงคำรามที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น สวี่ชีอันมองเห็นภาพ
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม เขาเห็นดาวตกตกลงมายังพื้นโลก ลากเปลวเพลิงเป็นทางจากฟากฟ้าสู่พื้นดิน
ในเปลวไฟสีแดงสด มีนกเพลิงใหญ่ยักษ์ปีกหักอยู่ตัวหนึ่ง
นกเพลิงตกลงมาพร้อมกับเปลวเพลิง ราวกับดาวตกและพื้นดินที่มันตกลงมาก็พังยับเยิน พร้อมๆ กับซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนนอนเรียงรายยาวเหยียดเต็มพื้น
ยักษ์ตาเดียวถูกควักลูกตาออก เลือดไหลหยดย้อยออกจากหน้าผากที่เป็นโพรงกลวงโบ๋ หินอัคนีที่หัวงูถูกตัดออกไป เปลือกกระดองเต่าเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ยักษ์ที่มีแขนสิบสองคู่ถูกตัดคอหัวขาด ร่างกายงูยักษ์ที่ใหญ่โตราวภูเขาเน่าเฟะเหลือแต่โครงกระดูก
ราชสีห์ทองคำเหลือร่างกายอยู่เพียงครึ่งเดียว ตามตัวปกคลุมไปด้วยก้อนเนื้อ เอ่อล้นไปด้วยความเกลียดชัง ได้แต่จ้องมองท้องฟ้าแล้วตายจากไป งูเก้าหัวถูกสะบั้นตัวกับหัวแยกออกจากกัน…
นี่คือเทพมารสมัยโบราณที่สวี่ชีอันเคยเห็นในความฝัน
“ข้าเห็นเหตุการณ์ตอนที่เทพมารถูกโค่น…”
สถานที่นี้เป็นเพียงความฝัน แต่ดูเหมือนสวี่ชีอันจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระส่ำก้องหู
……………………………………….