ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 683 การบำเพ็ญคู่ต้องใช้ความรู้สึกของพิธีกรรม
เมื่อหันหน้าไป สวี่ชีอันก็เห็น ‘สัตว์ประหลาด’ เนื้อตัวปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็น ค่อยๆ เคลื่อนร่างกายใหญ่มหึมาปานภูเขาคืบคลานเข้าไปในรอยแยกหุบเขาที่ลึกล้ำไร้ก้นบึ้งไกลสุดลูกหูลูกตา
โครงสร้างร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้น่ากลัวมาก เส้นเอ็นของมันปูดโปนออกมา กล้ามเนื้อของมันพองขึ้นทีละส่วนราวกับกอปรขึ้นมาจากกองภูเขากล้ามเนื้อ
‘ภูเขา’ ที่กอปรขึ้นมาจากกล้ามเนื้อ มีโพรงอากาศเรียงรายเป็นแถว พ่นควันสีเขียวเข้มออกมา ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าแล้วก่อตัวเป็นเมฆสีเขียวเข้ม
เงาหนาทึบเหนียวเหนอะไหลออกมาจากตีนเขา
เทพเจ้ากู่!
ครั้งสุดท้ายเขาเห็นเทพเจ้ากู่อยู่ในความฝันอันง่วงงุนหลังจากเข้านอนกับราชครู
เมื่อเทียบกับช่วงเวลานั้น ในตอนนี้กลิ่นอายของเทพเจ้ากู่อ่อนแอลงมาก ร่างกายใหญ่โตเป็นเหมือนกองเนื้อที่ปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็น สิ่งมีชีวิตใดที่อยู่รอบตัวก็ล้วนตายซากแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาคล้ายดังรอบตัวห้อมล้อมไปด้วยกองซากศพ
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน แต่สวี่ชีอันก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของเทพเจ้ากู่
เมื่อเทพเจ้ากู่เข้าสู่เหวลึกจี๋เยวียน ภาพตรงหน้าก็แตกสลาย สวี่ชีอันลืมตาขึ้นในห้องที่มืดมิดและรู้สึกว่ามีอะไรบางสิ่งบางอย่างกัดแขนเขาอยู่
เมื่อหันหน้าไปมอง ก็เห็นสวี่หลิงอินกำลังแทะแขนเขาอยู่ แทะทั้งๆ ที่ยังหลับ เห็นนางขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับนางสงสัยว่าทำไมถึงแทะคากิไม่เข้า
สุดจะทนจริงๆ ข้ามีน้องสาวที่โง่เง่าและตะกละตะกลามอย่างเจ้าได้อย่างไร…สวี่ชีอันดึงแขนตัวเองออกและบีบจมูกเล็กๆ ของสวี่หลิงอิน สิบวินาทีต่อมา นางก็ขยี้ตาและงัวเงียตื่นขึ้นอย่างงุนงง
“เจ้าหิวหรือไม่”
สวี่ชีอันถาม
“หม้อเบ้อเริ่มเลย ข้าฝันถึงของกินอร่อยๆ เต็มไปหมด”
เสี่ยวโต้วติงเต้นเร่าๆ สะบัดแขนสะบัดขาและพูดน้ำเสียงเกินจริง
แล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงละห้อยทันที “แต่ข้าแทะไม่เข้า”
ถ้าเจ้าเชี่ยวชาญพลังเทพวชิระสมัยมหายาน เจ้าสามารถลงไปที่เหวลึกจี๋เยวียนเพื่อกินเทพเจ้ากู่ได้…สวี่ชีอันชี้ไปยังรอยกัดเล็กๆ ที่อยู่บนมือขวานาง
“ดูสิ เจ้าแทะมือตัวเองด้วย”
ยังมีรอยฟันจางๆ อยู่บนมือขวาของนางแต่น้ำลายระเหยไปหมดแล้ว สวี่ชีอันคิดว่าต้องเจ็บบ้างตอนแทะมือตัวเอง ด้วยสัญชาตญาณนางเลยไม่ได้แทะแรง
เมื่อแทะแล้ว สวี่หลิงอินก็พยายามดูดด้วย
เสี่ยวโต้วติงมองไปที่มือขวาของนาง มีรอยกัดอยู่จริงๆ นางผงะเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างทำท่าเหลือเชื่อ
“ใครอยากกินมือข้า”
“เป็นลี่น่า!” สวี่ชีอันบอก
พอเสี่ยวโต้วติงได้ยินเรื่องนี้ นางก็ตื่นตัวทันที เงียบไปชั่วขณะแล้วพูดเสียงดัง
“นางตะกละอยากกินเนื้อที่ข้ากินไปเมื่อคืนแน่”
สวี่ชีอันใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อทำความเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร
ลี่น่าต้องการขโมยเนื้อที่นางกินไปเมื่อคืนด้วยการกินนางกลับ
“ข้าเพิ่งเอาชนะนางมา” สวี่ชีอันพูดปลอบ
“ขอบคุณหม้อใหญ่…”
เสี่ยวโต้วติงรู้สึกโล่งใจ หากท่านอาจารย์ต้องการกินนาง นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมตาม เพราะท่านอาจารย์แข็งแกร่งกว่านาง
สวี่หลิงอินเพิ่งเลื่อนระดับจึงมีความอยากอาหารมาก นางเลยรู้สึกหิว แต่เนื่องจากนางง่วงมากเกินไป นางจึงไม่สามารถตื่นมานั่งหิวได้ นางเลยมีพฤติกรรมแทะ ‘คากิ’ ตอนนอนหลับ
สวี่ชีอันออกไปเจอน่องของตัวอะไรไม่รู้ในครัว จึงเอามาหั่นแล้วทอดเป็นอาหารจานเนื้อให้สวี่หลิงอิน
ในห้องที่มีแสงเทียนสลัวๆ ที่โต๊ะ เขามองไปยังเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีคราบมันเต็มปาก แต่จิตใจของเขากลับล่องลอยไปที่อื่น
เทพมารเคยครอบงำทั้งสวรรค์และพิภพแต่จวบจนวันนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าเทพมารน่ากลัวเพียงใด
แต่ด้วยพลังลูกหลานเทพมาร เพียงแค่มองเสือดาวจากท่อไม้ไผ่ก็สามารถเข้าใจอะไรได้สักอย่างสองอย่างแล้ว
คนเถื่อนและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ครอบครองภาคเหนือในตอนนี้ ตลอดจนสัตว์วิญญาณทรงพลังบางตัวบนแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวและสัตว์วิญญาณโพ้นทะเลก็ล้วนเป็นลูกหลานของเทพมารทั้งสิ้น
จากนี้ก็สามารถคาดเดาได้ว่าเทพมารในสมัยโบราณมีพลังมากพอที่จะทำให้ผู้คนสั่นสะท้านอย่างแน่นอน
ลูกหลานเผ่าพันธุ์ผู้บำเพ็ญพรตรุ่นต่อๆ มาโต้เถียงกันไม่รู้จบเรื่องเหตุผลที่เทพมารถึงกาลอวสาน
แนวคิดกระแสหลักที่แพร่หลายที่สุดคือกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจมีชัยเหนือเทพมารที่ปกครองทวีปโบราณและเข้าครอบงำสัตว์โลก
หลังจากเทพมารสิ้นชีพ ลูกหลานของพวกมันก็เข้าต่อสู้กับปีศาจยาวนานหลายพันปีและในที่สุดก็ถูกกำจัดออกไป
“ในภาพที่ข้าเห็น ไม่มีมนุษย์ ไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจ…”
“ถ้าไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับรูปภาพเหล่านี้ เจ็ดยอดกู่ก็ควร ‘ส่ง’ รูปมาให้ข้า ส่วนใหญ่เจ็ดยอดกู่จะเป็นวิธีการช่วยให้เทพเจ้ากู่หลุดพ้นจากผนึก หรืออีกนัยหนึ่ง รูปภาพเหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเทพเจ้ากู
“ถ้าไม่ใช่มนุษย์ แล้วสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่สามารถฆ่าเทพมารได้? เทพเจ้ากู่รอดมาได้อย่างไร ดูเหมือนใจเขาจะเต้นแรงจนแทบสำลัก”
สวี่ชีอันนึกถึง ‘ผู้เฝ้าประตู’
เขาเฝ้าประตูแบบไหน? ไม่สิ ‘ประตู’ น่าจะหมายถึงอย่างอื่น
“ไป๋ตี้ไม่ได้ถามเรื่องการล่มสลายของเทพเจ้ากู่และเทพมาร ซึ่งหมายความว่าเขารู้ความจริงอยู่แล้ว ว่าผู้เฝ้าประตูสังหารเทพมาร ทำไมเขาจึงถามเรื่องอื่นอีก?
“เทพเจ้ากู่บอกว่า เดิมทีเขาคิดว่าผู้เฝ้าประตูเป็นปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ แต่ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเป็นคนเมื่อพันปีก่อน จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าผู้เฝ้าประตูไม่น่าเป็นฆาตกรที่เข่นฆ่าเทพมาร ทั้งยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้เทพมารตาย
“ไป๋ตี้ถามก่อนเลยว่าปรมาจารย์เต๋าอยู่ที่ไหน เพราะรู้ว่าปรมาจารย์เต๋าอาจถูกโค่น จึงถามว่าใครเป็นผู้เฝ้าประตู นี่หมายความว่าไป๋ตี้สงสัยว่าปรมาจารย์เต๋าเป็นผู้เฝ้าประตูมิใช่หรือ?
“เมื่อมหาศักราชสิ้นสุดลง จะขาดเขาไปมิได้ หึ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงปิดผนึกระดับสุดยอดทั้งหมดไว้”
ด้วยเหตุผลเชิงตรรกะที่ระมัดระวังยิ่ง เขาย่อมได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์
“อ่า แต่เว่ยกงเคยกล่าวไว้ในจดหมายลาตายของเขาว่า โลกนี้โหดร้ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก เขารู้ความลับหรือเป็นแค่การคาดเดา? ถ้าเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ของเว่ยกงก็มิได้จำกัดอยู่แต่ในราชสำนักอีกต่อไป”
ในเวลานี้ สวี่หลิงอินเลียจานกระเบื้องด้วยความตั้งใจที่ไม่ค่อยอภิรมย์เท่าไหร่และพูดว่า
“ข้าอิ่มแล้ว”
สติสัมปชัญญะของสวี่ชีอันกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วจ้องมองดูจานที่แทบไม่ต้องล้าง
“อิ่มจริงหรือ?”
“ถ้ามีอีกจานก็คงดี”
สวี่หลิงอินได้คืบจะเอาศอก
“พอแล้ว ตอนกลางคืนอย่ากินเยอะ”
สวี่ชีอันอุ้มนางขึ้นและโยนลงบนเตียง “ไปนอนเถอะ”
“แต่ถ้าข้ากินไม่อิ่ม ข้านอนไม่หลับ”
เสี่ยวโต้วติงดิ้นรนต่อสู้อย่างหนักและอีกไม่กี่นาทีต่อมา…
“คร่อก คร่อก...”
นางก็หลับเป็นตาย
สวี่ชีอันผสานตัวเข้ากับเงามืดและออกจากลานบ้านของท่านหัวหน้าเผ่า
การนอนเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งสำหรับเขา แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ปริมาณข้อมูลที่ได้รับในวันนี้มีมากเกินไปทำให้เขาหมดอารมณ์ที่จะนอน
หลังจากเดินไปรอบๆ ภูเขาป๋อ เขาก็พบสระน้ำใสแจ๋วแห่งหนึ่ง
จึงตัดสินใจไปอาบน้ำและซักผ้าข้างทาง
วันนี้ทั้งต่อสู้กับหัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่และไปที่เหวลึกจี๋เยวียนอีกรอบเนื้อตัวย่อมไม่สะอาด
“ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในแม่น้ำและทะเลสาบ แนวคิดเรื่องสุขอนามัยของข้าก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ข้ามักจะเข้านอนโดยไม่อาบน้ำไม่แปรงฟัน…”
แม้ว่าสุขอนามัยจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์
‘จ๋อม…’
เขาถอดเสื้อผ้าและโดดลงไปในน้ำเย็นฉ่ำชื่นใจสบายเนื้อสบายตัว
น้ำในสระลึกแค่เอวของเขาเท่านั้น เมื่อยืนอยู่ในสระน้ำเย็นๆ กล้ามเนื้อร่างกายส่วนบนก็กระชับได้สัดส่วนและสวยงาม เส้นสายเรียบลื่นเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ไม่เหมือนกล้ามเนื้อตายซากน่าเหลือเชื่อพวกนั้น
ประกอบกับใบหน้าหล่อเหลาสมเป็นชาย แม้จะหมองคล้ำไร้รัศมี แต่ก็ยังเป็นเรือนร่างที่เย้ายวนใจสำหรับอิสตรี
“จุ๊ จุ๊! ทันทีที่ข้าเห็นร่างของฆ้องเงินสวี่ ข้าก็หิวจนเดินไม่ไหว”
เสียงหัวเราะมีเสน่ห์ดังมาจากริมฝั่ง
ภายใต้แสงจันทร์ สตรีรูปร่างสูงสง่ายืนอยู่ริมฝั่ง สวมเสื้อเกาะอกสีขาว กางเกงขายาวสีขาวและชุดกระโปรงบาน
ท่อนขาของนางเรียวกระชับ เอวเล็กรับกับเสื้อตัวใน หน้าอกอวบอิ่มเด่นชัดและใบหน้าของนางก็มีเสน่ห์ชวนมอง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
สวี่ชีอันพูดด้วยความไม่พอใจ “แม้ข้าสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้าเป็นเวลาสามเดือน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานั้น”
หลวนอวี้ปิดปากและแย้มยิ้มเล็กน้อย ยกมือขึ้นแตะไหล่ที่มีกลิ่นหอมจรุงของนางและชุดกระโปรงก็เลื่อนหลุดออก นางค่อยๆ เดินเข้าไปในสระ น้ำเย็นๆ ในสระไหลอาบขาเรียวยาวและเอวเล็กๆ ของนาง…
นางเดินไปหาสวี่ชีอันและขยิบตาให้
“ช่วงกลางวัน ข้าซึมซับพิษเสน่หาของนังฉุนเยียนไว้ พิษเสน่หาที่สะสมไว้ทำให้ข้ารู้สึกคันที่หัวใจเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงคิดถึงฆ้องเงินสวี่มากเป็นพิเศษ”
แน่ใจหรือว่าคันที่หัวใจ…สวี่ชีอันพูดเสียงเย็นชา “เจ้ากลับไปเถอะ”
หลวนอวี้เม้มริมฝีปากสีแดงของนางพลางเอ่ยวาจาฉุนเฉียว “พวกท่านชอบพูดปากอย่างใจอย่าง ถ้าไม่ใช่เพื่อพบปะเป็นการส่วนตัวกับข้า ท่านมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้ว่าข้าสะกดรอยตามมา”
สวี่ชีอันถอนหายใจ “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่เป็นคนอื่น”
หลวนอวี้เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย “นังตัวแสบฉุนเยียนนั่นน่ะหรือ?”
สวี่ชีอันส่ายหัว “มองไปข้างหลัง!”
หลวนอวี้มองกลับไปด้วยความสงสัย ภายใต้แสงจันทร์ บนฝั่งริมสระน้ำ มีสตรีสวมชุดขนนกนางหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น นางสวมมงกุฎดอกบัวไว้บนหัว สะพายดาบโบราณไว้กลางหลังและถือไม้ปัดฝุ่นไว้ที่ข้อพับแขนขวาของนาง
ใบหน้าของนางมีลักษณะสวยงามอย่างยิ่งและนางก็โด่งดังไปทั่วประเทศ มีชาดเล็กๆ แต้มอยู่ตรงกลางหว่างคิ้วของนาง ทำให้บรรยากาศรอบข้างเย็นสบายและงดงาม
ลมกระโชกแรงยามค่ำคืนพัดผ่านมา ขนนกปลิวว่อน ราวกับว่าพวกมันจะใช้ประโยชน์จากความว่างเปล่าเพื่อทะยานขึ้นไปได้ทุกเมื่อ
คนผู้นี้สามารถบุกรุกเข้ามาภายในรัศมีห้าจั้งของนางอย่างเงียบเชียบ หลวนอวี้เลิกคิ้วขึ้นและตะโกน
“เจ้าเป็นใคร!”
มีความกลัวแฝงอยู่ในดวงตาของนาง แต่นางมั่นใจพอเพราะมีสวี่ชีอันอยู่ข้างๆ
รอยยิ้มของลั่วอวี้เหิงเย็นจัดดั่งแอ่งน้ำและดวงตาของนางยิ่งแจ่มชัด
“คนที่ต้องการสังหารเจ้า!”
ในชั่วพริบตา โลกทั้งใบก็เต็มไปด้วยปราณกระบี่ ฟาดฟันไปทางหลวนอวี้จากทั่วทุกทิศทาง
‘กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง…’
ปราณกระบี่เบาบางราวกับขนวัว แต่หนาแน่นดังห่าฝน ถูกปิดกั้นด้วยชั้นแสงสีทอง
สวี่ชีอันเปิดม่านปราณพลังเทพวชิระสกัดกั้นความโกรธของลั่วอวี้เหิง ทำให้หลวนอวี้รอดพ้นวิกฤตที่จะถูกศรนับพันดอกแทงทะลุร่าง
“ท่านราชครู นางเป็นหัวหน้าเผ่าฉิงกู่แห่งเผ่าพันธุ์กู่และเป็นพันธมิตรของราชวงศ์ต้าฟ่ง ดังนั้นโปรดเมตตา”
สวี่ชีอันรีบบอก
จากนั้นเขาก็หันไปอธิบายให้หลวนอวี้ฟัง “นางเป็นราชครูของราชวงศ์ต้าฟ่งและยังเป็นสหายคู่บำเพ็ญของข้าด้วย”
ลั่วอวี้เหิงชำเลืองมองเขาเล็กน้อยคล้ายดูแคลน แต่ดูดซับปราณกระบี่จากทั่วฟ้า
“ไปก่อนเถอะ!”
เขาผลักหลวนอวี้ ผลักนางออกจากสระและลอยไปไกล
ลั่วอวี้เหิงไม่ได้ห้ามเขา
หลังจากไล่ไฟฟ้าแรงสูงออกไปแล้ว สวี่ชีอันก็หัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้ข้ามาทำธุระอยู่ที่ชายแดนตอนใต้ ค่อนข้างห่างไกลจากราชวงศ์ต้าฟ่ง จึงไม่ได้ติดต่อท่านราชครูมาระยะหนึ่งแล้ว”
ลั่วอวี้เหิงยังคงไม่แสดงท่าทีอะไร “ข้าไปชิงโจวเพื่อตามหาซุนเสวียนจีและเขาบอกข้าว่าเจ้าอยู่ทางชายแดนตอนใต้”
หลังจากมาถึงชายแดนตอนใต้ก็ตามความรู้สึกของยันต์คุ้มกายาตลอดทางจนมาพบกันที่นี่
สวี่ชีอันจ้องมองนางเป็นเวลานานและพูดว่า “ท่านราชครูสามารถดับไฟแห่งกรรมได้แล้วหรือ?”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า “ไฟแห่งกรรมอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว”
ดังนั้นจึงกำราบไว้จนสามารถมาถึงที่นี่ตอนนี้สินะ? สวี่ชีอันรีบแสดงความยินดี “ขอแสดงความยินดี ท่านราชครูเข้าใกล้เซียนครองพิภพไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว”
อันดับหนึ่งของลัทธิเต๋าเรียกว่าเซียนครองพิภพ
จากนั้นลั่วอวี้เหิงก็ยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นบัวหิมะก็สว่างขึ้น
นางมองไปรอบๆ และขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ในดินแดนอนารยชนทางชายแดนตอนใต้ ข้าหาโรงเตี๊ยมไม่ได้เลย ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังที่ราบลุ่มภาคกลาง”
การบำเพ็ญคู่ต้องใช้ความรู้สึกของพิธีกรรมด้วยรึ? สวี่ชีอันมองไปรอบๆ แล้วพูดไปยิ้มไป “ที่นี่ดีมาก ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครมารบกวนท่านหรอก”
ใบหน้างดงามของลั่วอวี้เหิงจ้องมองเขาอย่างเย็นชาคล้ายเคลือบทาด้วยน้ำแข็ง
สวี่ชีอันเดินไปที่ริมฝั่งและดึงแขนเสื้อกว้างของนาง
ลั่วอวี้เหิงทำสีหน้าเย็นชาดึงแขนเสื้อกลับและไม่พูดสิ่งใด
สวี่ชีอันดึงกลับมาทว่าลั่วอวี้เหิงก็ดึงกลับไป
หลังจากพัวพันกันอยู่ครู่หนึ่ง ลั่วอวี้เหิงก็นิ่วหน้าแล้วถูกลากลงไปในน้ำ
…
อำเภอซงซาน
ด้านบนกำแพงเมือง สวี่ซินเหนียนสวมเครื่องแบบทหารถือคบเพลิงไว้ในมือ เดินไปบนเส้นทางม้าที่เต็มไปด้วยรอยร้าวและหลุมบ่อ นับอาวุธป้องกันทีละชิ้น
กองทหารรักษาการณ์สองสามกลุ่มรวมตัวกันอยู่บนกำแพงเมือง กำลังยุ่งอยู่กับการซ่อมแซมกำแพงเมืองที่ทรุดโทรม
อำเภอซงซานอยู่ติดกับยอดเขาอันตรายทางตอนใต้ ภูมิประเทศบริเวณนั้นสูงมากและกำแพงเมืองยังสูงตระหง่านใหญ่กว่าเมืองในมณฑลทั่วๆ ไป แม่น้ำซงที่อยู่ทางทิศตะวันตกเป็นป้อมปราการธรรมชาติที่สามารถปิดกั้นการชุมนุมขนาดใหญ่ของกองทัพข้าศึกศัตรูได้
ดังนั้นประตูเมืองที่ต้องรักษาอย่างเคร่งครัดจึงเป็นประตูทิศตะวันออกและประตูทิศเหนือ
นี่คือข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติของอำเภอซงซาน นอกจากนี้อำเภอซงซานยังพัฒนาการค้าในพื้นที่ที่ครอบคลุมการขนส่งทางน้ำ ทั้งยังมีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ควบคู่ไปกับเงินตราอาหารและธัญพืชสำรองเต็มคลัง
เหตุผลข้างต้นทำให้เมืองนี้เป็นหนึ่งในสามเมืองที่สำคัญที่สุดในแนวป้องกันปราการที่สองของหยางกง
สวี่เอ้อร์หลางได้รับความไว้วางใจจากหยางกงให้ทำภารกิจสำคัญในการปกป้องเขตอำเภอซงซาน
“เมืองอยู่คนอยู่ เมืองตายคนก็ตาย”
นั่นคือสิ่งที่เขาตอบในเวลานั้น
เมื่อวานนี้ ทหารกบฏหกพันนายเข้าประชิดเมืองและต่อสู้อย่างดุเดือดกับกองทหารรักษาการณ์ที่ทำหน้าที่รักษาเมือง
กองพันทหารปืนใหญ่ฝ่ายกบฏนำปืนใหญ่สี่สิบกระบอกออกมาเผชิญหน้ากับปืนใหญ่สิบสองกระบอกบนกำแพงเมือง
ภายใต้การกำบังของปืนใหญ่ ทหารราบได้เข้าโจมตีเมือง
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนพลบค่ำ ฝ่ายกบฏล่าถอยทิ้งแปดร้อยศพไว้เบื้องหลัง
ทัพหลังเสียทหารไปสามร้อยนาย
“เจ้าบอกว่าลูกหลานเต่าพวกนั้นจะโจมตีในตอนกลางคืน”
สุ้มเสียงเอ้อระเหยลอยชายดังมาจากด้านหลัง
สวี่เอ้อร์หลางหันไปดูและเห็นว่าคนที่พูดคือชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา มือข้างหนึ่งถือดาบและมืออีกข้างหนึ่งถือแผ่นแป้งทอด
เขาสวมชุดเกราะเบาที่มีรอยบากจากดาบแล้วเดินสบายๆ เข้ามา
“การโจมตีตอนกลางคืนในการสู้รบแบบปิดล้อม เป็นการเคลื่อนไหวที่โง่เขลาที่สุด”
สวี่เอ้อร์หลางพูดเบาๆ “พี่เหมียว อย่าใส่ใจเรื่องนี้เลย”
……………………………………….