ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 684 ความประหลาดใจที่มอบให้ชิงโจว
“เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงมีความมั่นใจเช่นนี้”
เหมียวโหย่วฟางไม่พอใจ เขาเอาดาบยันพื้นและเคี้ยวขนมวอวอโถว[1]
“ข้าชอบจู่โจมผู้อื่นยามค่ำคืน เพราะยามค่ำคืนต้องนอนหลับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุด”
สวี่ซินเหนียนตบถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ข้างเท้าของเขา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“น้ำมันของข้าไม่เพียงแต่เผาข้าศึกให้ตายเท่านั้น ยามค่ำคืนยังใช้มันส่องสว่างได้ด้วย ใช้เครื่องยิงหินยิงพวกมันออกไป พอแสงเพลิงสว่าง บรรดาพลทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน และข้าศึกกลับมองเห็นลูกธนูที่ยิงมาจากกำแพงเมืองไม่ชัดเจน มาเท่าไรก็ตายหมด”
“แผนของเจ้าเหมาะสำหรับก่อนเปิดศึกเท่านั้น ลงมือจู่โจมก่อนได้เปรียบ”
แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็เตรียมพร้อมยุทธวิธีรุกรับไว้แล้ว
เหมียวโหย่วฟางรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นี้พูดมีเหตุผล พอคิดๆ ดูแล้วตาของเขาก็เป็นประกาย
“เช่นนั้นหากฝ่ายตรงข้ามส่งยอดฝีมือมาล่ะ”
สวี่เอ้อร์หลางมองเขาอย่างเงียบๆ “ข้าออกคำสั่งให้ยอดฝีมือในค่ายทหารลาดตระเวนยามค่ำคืน สิ่งที่เตรียมป้องกันคืออะไร”
เหมียวโหย่วฟางยอมด้วยใจจริงแล้ว เขาชูนิ้วโป้งขึ้นมา
“สมกับเป็นน้องชายของฆ้องเงินสวี่ มีมาดของพี่ชายท่านจริงๆ”
สวี่เอ้อร์หลางกระตุกมุมปากเบาๆ ในใจพูดว่า ‘เจ้าก็เหมือนกับพี่ชายของข้า มีมาดของความหยาบคาย’
เขารู้ว่าเหมียวโหย่วฟางเป็นผู้ติดตามของพี่ใหญ่ ครั้งก่อนที่พี่ใหญ่กลับเมืองหลวง ทั้งสองได้มีวาสนาพบเจอกันสองสามครา ก่อนที่เขาจะรับคำสั่งไปตั้งมั่นรักษาการณ์ที่อำเภอซงซาน จู่ๆ เหมียวโหย่วฟางก็มาหาถึงที่ และอยากจะตามเขาไปทำสงครามด้วย
สวี่เอ้อร์หลางถามว่า ‘พี่ใหญ่ส่งมาใช่หรือไม่’
เหมียวโหย่วฟางส่ายหน้ากล่าว ‘พิทักษ์ชาติบ้านเมือง เป็นสิ่งที่ชายชาตรีพึงกระทำ’
จอมยุทธ์สลายแรงขั้นห้าคนหนึ่งเป็นฝ่ายบากหน้ามาพึ่งพาอาศัย อีกทั้งสถานะยังไม่มีปัญหาอะไร กองทัพย่อมยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเหมียวโหย่วฟางจึงตามเขามาที่อำเภอซงซาน
“แต่ว่ายอดฝีมือที่รักษาอยู่ในค่ายทหารมีน้อยเกินไป ไม่คิดเลยว่าจะมีขั้นสี่แค่คนเดียว” เหมียวโหย่วฟางส่ายหน้า
“ยอดฝีมือขั้นสี่ล้วนเป็นคนระดับสูง ย่อมมีจำนวนน้อยเป็นธรรมดา” สวี่เอ้อร์หลางตอบ
“น้อยมากหรือ ข้าติดตามฆ้องเงินสวี่ไปรบจากเหนือจรดใต้ ขั้นสี่มีมากมายราวกับฝูงปลา ไม่อยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ”
เหมียวโหย่วฟางกล่าววางมาดยโส
‘เจ้าก็รู้นี่นาว่านั่นติดตามพี่ใหญ่ข้า…’ มือทั้งสองของสวี่เอ้อร์หลางยันกำแพงปีกกาเอาไว้และกล่าวช้าๆ
“สำหรับข้าแล้ว บรรดาขุนนางในราชสำนักไม่ใช่ของหายาก มีเต็มท้องพระโรง แต่พี่เหมียวเคยเจอขุนนางขั้นสูงสุดกี่คนกัน”
ระดับขั้นที่พี่ใหญ่พัวพันในตอนนี้ คู่ต่อสู้ทั้งหมดที่เผชิญจะต้องเป็นขั้นสูงสุดของกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มอย่างแน่นอน และขั้นสูงของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ย่อมเป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นที่สุดในจิ่วโจวเหล่านั้น
แน่นอนว่าขั้นสี่ไม่ใช่ของหายากอีกแล้ว
แต่ในชิงโจว ในอำเภอซงซานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ขั้นสี่ถือเป็นบุคคลระดับสูง
ทหารรักษาค่ายในอำเภอซงซานมีนายทหารผู้บัญชาการขั้นสี่แค่คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ระดับเดียวกับสวี่เอ้อร์หลาง
นายทหารผู้บังคับบัญชาการคนนั้นรับผิดชอบตั้งมั่นรักษาการอยู่ประตูเมืองทิศเหนือ
สวี่เอ้อร์หลางไม่คิดจะพัวพันกับหัวข้อนี้อีก หลังจากสูดหายใจเอาลมหนาวยามค่ำคืนเข้าไปทีหนึ่งแล้วก็กล่าวออกมา
“ข้าจำได้ พี่ใหญ่เคยบอกว่า เป้าหมายของเจ้าคือกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่แห่งยุคที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า แต่ในพื้นที่สงครามวุ่นวาย การรักษาความเป็นธรรมของเจ้ายากที่จะเผยแพร่ออกไป เพราะคนที่เจ้าช่วยในวันนี้ อาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ บรรดาประชาชนผู้ลี้ภัย หากไม่ถูกทหารต้าฟ่งช่วยเหลือ ก็ถูกทหารกบฏช่วยเหลือ ก็เหมือนกับสินค้าที่พลิกเปลี่ยนมือกันไปมา พวกเขาไม่คิดจะจดจำจอมยุทธ์บางคนที่เคยช่วยพวกเขามาก่อน อยากเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ ต้องไปสถานที่ที่สงบสุข แค่ปล้นคนรวยช่วยคนจนก็มีชื่อของเจ้าเลื่องลือในยุทธภพแล้ว”
สำหรับคำถามของสวี่ซินเหนียน เหมียวโหย่วฟางเกาหัวยิกๆ และคิดอยู่พักหนึ่ง
“จอมยุทธ์ ข้าย่อมอยากเป็น แต่แสงรุ่งโรจน์งดงามที่แท้จริงของจอมยุทธ์ใหญ่ ช้าเร็วไม่กี่ปีก็ไม่เป็นไร แต่ต้าฟ่งตกต่ำลงทุกวัน หากไม่ต่อชีวิตให้มัน คงต้องเปลี่ยนยุคเปลี่ยนราชวงศ์แล้วจริงๆ ที่จริงสำหรับข้าแล้วใครเป็นจักรพรรดิก็ไม่เกี่ยวกับข้า แต่สำหรับอาณาประชาราษฎร์แล้ว นี่คือภัยพิบัติครั้งหนึ่ง หากรักษาชิงโจวไว้ไม่ได้ ไฟสงครามจะลุกไหม้ไปถึงภาคเหนือจนลามไปถึงเมืองหลวง สายน้ำขุนเขานับหมื่นในระหว่างทางล้วนกลายเป็นดินแห้งเกรียม ดังนั้นข้าเลยคิดว่า สามารถควบคุมทหารกบฏไว้ในชิงโจวได้หรือไม่ ให้สงครามวุ่นวายหยุดอยู่ที่ชิงโจว”
สวี่ซินเหนียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่เหมียวทำให้ข้ามองด้วยสายตาที่ทึ่งจริงๆ ในยุทธภพมีจอมยุทธ์คุณธรรมที่รักบ้านเมืองและประชาชนเช่นท่านน้อยมาก”
เหมียวโหย่วฟางยักไหล่
“ไม่ ที่จริงข้าไม่ได้ประทับใจอะไรในราชสำนักต้าฟ่งเลย ก็แค่ตอนที่ข้าแยกทางกับฆ้องเงินสวี่นั้น เขาเคยพูดบางอย่างกับข้า ที่เขาบ่มเพาะข้า ชี้แนะการบำเพ็ญให้ข้า เพราะว่าปีนั้นมีคนให้โอกาสเขา ความปรารถนาทั้งหมดก็แค่หวังว่าเขาจะมีประโยชน์ต่อราชสำนักและประชาชนในภายภาคหน้า ฆ้องเงินสวี่ทำได้ และไม่ผิดต่อความคาดหวังของคนผู้นั้น ดังนั้นข้าเองก็ไม่อยากให้ฆ้องเงินสวี่ผิดหวัง”
‘พี่ใหญ่ไม่ได้ดูคนผิดนี่…’ สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้าเงียบๆ ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมา ก็ได้ยินเหมียวโหย่วฟางที่อยู่ด้านข้างตะโกนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ทหารศัตรูเข็นปืนใหญ่มาแล้ว!”
สวี่ซินเหนียนใจเย็นสะท้าน เพ่งสายตามองออกไป ราตรีมืดมิดมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่เขารู้ว่าเหมียวโหย่วฟางเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้า สายตาในการมองเห็นเหนือกว่าคนปกติมาก ดังนั้นจึงตะโกนอย่างไม่ลังเล
“ตีกลอง! ปืนใหญ่เตรียมพร้อม เครื่องยิงธนูเตรียมพร้อม”
พลทหารที่พิงกำแพงปีกกาพักผ่อนอยู่ และพลทหารสวมชุดเกราะอ่อนที่นอนหลับอยู่บนทางเดินพากันตื่นด้วยความตกใจ พวกเขาใส่กระสุนปืนใหญ่กับลูกธนูอย่างเป็นลำดับขั้นตอน
เหมียวโหย่วฟางผลักมือยิงปืนใหญ่คนหนึ่งออกไป เขาเล็งปากกระบอกปืนด้วยตนเอง และจุดสายนำไฟ
‘ตูมตาม!’
แสงไฟลูกหนึ่งขยายใหญ่ออกมา ส่องสว่างไปในระยะไกล ทำให้ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองมองเห็นกองทัพศัตรูที่เข้าใกล้ปืนใหญ่อย่างชัดเจน
แสงไฟที่ระเบิดยังไม่ดับลง เครื่องยิงธนูและปืนใหญ่บนกำแพงเมืองก็พุ่งยิงออกไปติดต่อกัน พลังเพลิงโหมกระหน่ำใส่ศัตรู
ความได้เปรียบของทหารรักษาเมืองแสดงออกมาอย่างชัดเจน ด้วยเหตุที่ลูกไฟบนกำแพงตกลงจากที่สูง ระยะการยิงจึงไกลกว่าของกองทัพศัตรูมาก
กองทัพศัตรูอยากจะระเบิดกำแพงเมือง ต้องผ่านพลังเพลิงล้างบาปของทหารรักษาการณ์นี้ให้ได้ก่อน
เหมียวโหย่วฟางคืนปืนใหญ่ให้กับมือยิงแล้วหันไปกล่าวกับสวี่ซินเนียนด้วยความโมโห
“เจ้าไม่ได้บอกว่ากองทัพศัตรูจะไม่โจมตีในเวลากลางคืนหรอกหรือ”
“หา เจ้าพูดอะไร” สวี่เอ้อร์หลางแคะขี้หูแล้วตะโกนออกมา
“เสียงระเบิดดังเกินไป ข้าไม่ได้ยิน”
เหมียวโหย่วฟางระเบิดคำพูดหยาบคายไปประโยคหนึ่ง ในใจกล่าวว่า ‘หนังหน้าของบัณฑิตไม่ด้อยไปกว่ากระดูกเหล็กผิวทองแดงของจอมยุทธ์เลยจริงๆ’
ขณะนี้ หลังจากกองทัพศัตรูสูญเสียปืนใหญ่ไปสามลำและเครื่องยิงธนูไปสองเครื่อง ในที่สุดก็บุกเข้ามาในระยะรัศมียิง เสียงลูกไฟระเบิดถึงขึ้นถี่ยิบ เสียงตูมตามดังขึ้นไม่ขาดสาย
แสงไฟแต่ละลูกระเบิดตัวตรงกำแพงและบนกำแพงอย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างนั้นมีเสียงดีดลูกธนูดังแผ่วโผยปะปนกัน
พลังทำลายล้างของเครื่องยิงธนูห่างชั้นจากปืนใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นการทำลายกำแพงหรือสังหารพลทหารล้วนเทียบกับปืนใหญ่ไม่ติด
แต่ผลสะท้อนของรายการจำพวกรถยิงธนูและเครื่องยิงธนู ทำให้มันเคียงคู่กับปืนใหญ่ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่เคยถูกโละออก นั่นก็คือพลังสังหารของลูกธนูแบบตัวต่อตัว
ปืนใหญ่อาจไม่สามารถสังหารทหารที่มีกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้ แต่พลังทะลวงเกราะของลูกธนูทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและสังหารยอดฝีมือในกองทัพให้ตายได้
ทหารที่ตกอยู่ในสนามรบ ลางสังหรณ์วิกฤตจะ ‘ด้านชา’ เพราะในสนามรบมีวิกฤตทุกที่เลย สิ่งนี้ทำให้ทหารมองข้ามลูกธนูที่น่ากลัวไป ไม่อาจหลีกเลี่ยงล่วงหน้าได้
หากโชคดีสามารถสังหารหรือทำให้ทหารของข้าศึกได้รับความเสียหายอย่างหนัก ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ได้กำไรมหาศาล
ในระหว่างการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย ทหารราบที่สวมเกราะเถาวัลย์พันกว่านายถือค้อน บันได แผ่นโล่และเครื่องมืออื่นๆ ในการบุกเมือง และทำการบุกโจมตีข้าศึก
ทหารราบเหล่านี้คือผู้ลี้ภัยที่ทหารกบฏอวิ๋นโจวรวบรวมมา เพื่อใช้สลายพลังเพลิงของทหารรักษาเมืองโดยเฉพาะ
หน่วยพิทักษ์สองนายถือแผ่นโล่คุ้มกันอยู่ข้างสวี่ซินเหนียน แต่ตัวเขากลับวิ่งไปมาบนกำแพงเมืองไม่หยุด เพื่อบัญชาการรบ
“ใต้เท้า ลงไปก่อนเถิด หากถูกลูกไฟระเบิดใส่มันได้ไม่คุ้มเสียนะขอรับ”
หน่วยพิทักษ์พูดเกลี้ยกล่อมเสียงดัง
“เทียบกับความปลอดภัยส่วนตัวของข้าแล้ว จิตใจทหารสำคัญยิ่งกว่า”
สวี่ซินเหนียนถือกระบี่ด้วยมือข้างหนึ่งเดินกลับไปกลับมา บัญชาการเสริมตำแหน่งทหาร บัญชาการให้ทหารบ้านจัดการศพและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องเป็นเขา แต่ต้องเป็นเขาเท่านั้น
เป็นนายทหารผู้บัญชาการสูงสุดของอำเภอซงซาน แค่เขายืนรบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่บนกำแพงเมืองกับทหาร บรรดาทหารรักษาเมืองจะไม่ระส่ำระสายอย่างแน่นอน
ยุทธวิธีรุกรับดำเนินต่อไปจนถึงหลังเที่ยงคืน หลังจากข้าศึกทิ้งศพไว้เต็มพื้นแล้วก็ถอนทัพออกไปด้วยความพ่ายแพ้
…
ซินเจียงตอนใต้
ริมขอบสระ ลั่วอวี้เหิงสวมชุดขนนกนั่งอยู่บนหินเงาวาวริมสระ โดยมีเสื้อคลุมของสวี่ชีอันรองอยู่ตรงบั้นท้าย
ด้านล่างชายเสื้อคลุมมีเท้าเล็กๆ สีขาวได้สัดส่วนยื่นออกมาแช่อยู่ในสระน้ำที่เย็นเยียบ
สีแดงบนแก้มของนางยังไม่หายไป ดวงตางดงามหรี่เล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังเพลิดเพลินกับน้ำเย็นเฉียบในสระหรือเสน่ห์อันน่าดื่มด่ำที่หลงเหลือหลังจากกระแสน้ำโหมกระหน่ำซัดสาดในฤดูใบไม้ผลิ
สวี่ชีอันยืนอยู่ในสระน้ำ เขาเอื้อมมือหยิบตู้โตว[2] สีขาวที่ปักด้วยลวดลายดอกบัวมาถือเล่นในมือ
ตาที่ใสแป๋วกว่าน้ำในสระของลั่วอวี้เหิงกวาดมองดูเขาทีหนึ่ง ฉายแววเหนียมอายอย่างไม่รู้ตัว
สวี่ชีอันลูบตู้โตวที่เรียบเนียนด้วยปลายนิ้ว ครุ่นคิดถึงสัมผัสที่ละเอียดอ่อนในเมื่อครู่ และกล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“ท่านราชครู ท่านจะท้องหรือไม่”
ดวงตาของลั่วอวี้เหิงดูเย็นชาขึ้นมา พวงแก้มกลับเปลี่ยนเป็นสีแดง เท้าขาวราวกับหยกบริสุทธิ์เตะออกไปหนึ่งที ’ซ่าๆ’ ฟองฝอยของน้ำราวกับปราณกระบี่ในโลกที่แหลมคม ฟันลงบนใบหน้าสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันรู้สึกปวดแสบที่ผิวหน้า
ลั่วอวี้เหิงทำเสียงขึ้นจมูกกล่าว “ระหว่างข้ากับเจ้าเป็นแค่การค้าเท่านั้น ข้ายืมเจ้ามาสงบไฟกรรม เจ้าก็สามารถยืมพลังต่อสู้ของข้าได้ เรื่องทายาทนั้นอย่าได้คิดเลย”
หลังจากพูดจบ เห็นเขาจ้องมองท้องน้อยของตนเองอยู่ นางรู้สึกโกรธและอายมากขึ้นกว่าเดิม
ปากแข็งนัก ตอนบำเพ็ญคู่กลับให้ความร่วมมือกว่าครั้งก่อนมาก ทั้งยังคุ้นเคยกว่าเดิมอีก...สวี่ชีอันพึมพำในใจ
หญิงสาวคนหนึ่งชอบเจ้าหรือไม่ ชอบมากแค่ไหนนั้น ตอนที่บำเพ็ญคู่สามารถรับรู้ได้ เห็นว่าลั่วอวี้เหิงปากแข็งอย่างนี้นะ ตอนที่บำเพ็ญคู่กับเขาไม่ได้ต่อต้านเหมือนครั้งแรกแล้ว
ไม่มีความรักต่อเขาเลยแม้แต่น้อย อยากปฏิเสธเขาแต่กลับต้อนรับแทน
เจ้ากับมู่หนานจือเป็นสหายที่ดีจริงๆ ปากไม่ยอมรับแต่ร่างกายกลับซื่อตรงมาก...สวี่ชีอันกล่าวหน้าด้านๆ
“ข้าก็แค่กังวลว่าหากวันหนึ่งข้าถูกฆ่า ดีเลวอย่างไรก็ยังมีคนเซ่นไหว้น่ะสิ พูดเรื่องหลักเลยดีกว่า ข้ามาซินเจียงตอนใต้ครั้งนี้ ได้ค้นพบความลับขนาดใหญ่”
ในขณะนั้น เขาบอกเหตุการณ์ถามตอบของไป๋ตี้เทพเจ้ากู่ที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่บอกเขาให้ลั่วอวี้เหิงฟังอย่างละเอียด
ฟังจบลั่วอวี้เหิงก็ขมวดคิ้วงามเล็กน้อย และลังเลอยู่นาน
“ทำสามเรื่องให้กระจ่าง เจ้าก็รู้ความลับต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในคำถามทั้งสามแล้ว หนึ่ง สาเหตุที่เทพกู่บรรพกาลแตกดับ สอง ปัญหาการบำเพ็ญของสามนิกาย นิกายสวรรค์ นิกายปฐพี และนิกายมนุษย์ สาม เหตุใดเทพเจ้ากู่ถึงคิดว่าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คือผู้เฝ้าประตู”
ทั้งสามเรื่องสอดคล้องกับ ‘เมื่อมหาศักราชสิ้นสุดลง’ ‘ร่องรอยของปรมาจารย์เต๋า’ ‘ผู้เฝ้าประตูคือใคร’
ลั่วอวี้เหิงถือโอกาสยื่นมือมาแย่งตู้โตวกลับไปไว้ข้างกาย จากนั้นก็รวบชุดคลุมให้แน่น เพราะบนตัวนางมีแค่เสื้อตัวนี้ตัวเดียว
เพื่อป้องกันไม่ให้สวี่ชีอันแย่งกลับไป นางจึงพูดอย่างรวดเร็ว
“ยุคเทพกู่บรรพกาลห่างไกลจากตอนนี้มาก ไม่มีเบาะแสที่สามารถค้นหาได้ แต่หากเจ้าได้คุยกับไป๋ตี้และเทพเจ้ากู่ก็จะรู้เบื้องลึกข้างใน ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไปลอง เจ้าในตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติเท่าเทียมที่จะสนทนากับทั้งสอง ปัญหาของสำนักเต๋า รอข้าเลื่อนขึ้นขั้นหนึ่งก่อนจะไปนิกายสวรรค์สักครา พอถึงเวลานั้นรอข่าวคราวจากข้าก็พอ ส่วนผู้เฝ้าประตูนั้น เจ้าสามารถถามเจ้าโส่วหรือท่านโหราจารย์ดูได้ ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดระบบลัทธิขงจื๊อ อีกคนสามารถสอดส่องความลับสวรรค์ได้”
“สมกับเป็นท่านราชครูจริงๆ ฉลาดหลักแหลมมาก” สวี่ชีอันยกนิ้วโป้งให้
ลั่วอวี้เหิงมีสีหน้าเย็นชา แต่แววตากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
สำหรับสตรีที่มีสถานะสูงส่งและทรงอำนาจอิทธิพล หากจะชอบลูกไม้นี้ที่สุด ก็แน่นอนว่าต้องเป็นการประจบประแจงของสวี่ชีอันเท่านั้น
เพราะเขาเป็นคู่บำเพ็ญ ‘ในนาม’ ของลั่วอวี้เหิง บุรุษคนอื่นจะประจบประแจงอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจได้
“น่าเสียดาย ผู้ที่รู้ความลับสวรรค์จะต้องถูกความลับสวรรค์ควบคุม แม้ว่าท่านโหราจารย์จะรู้ ก็ไม่อาจบอกข้าได้”
สวี่ชีอันส่ายหน้าด้วยความเสียดาย “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่รีบ ศึกที่ชิงโจวถึงเป็นเรื่องเร่งด่วน ท่านราชครูเพิ่งกลับมาจากชิงโจว สถานการณ์ศึกทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
ลั่วอวี้เหิงกล่าว
“ไม่เคยให้ความสนใจเลย”
นึกๆ อยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวเสริม “ดูเหมือนลูกผู้น้องของเจ้าจะถูกส่งไปตั้งมั่นรักษาการณ์ที่อำเภอซงซานแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นแนวป้องกันที่สองของหยางกง เป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญ”
ความหมายของนางคือศึกที่ชิงโจวมั่นคงชั่วคราว แต่สวี่เอ้อร์หลางอาจจะมีอันตราย…นี่เรียกว่าไม่เคยให้ความสนใจหรือ ท่านราชครู ท่านจะหยิ่งไปหน่อยแล้ว เห็นชัดๆ ว่าให้ความสนใจคนในครอบครัวข้าอยู่นี่…สวี่ชีอันพึมพำในใจ สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมลง
“จิ้งจอกเก้าหางใกล้จะกลับแผ่นดินใหญ่แล้ว เผ่าปีศาจทางซินเจียงตอนใต้ก็กำลังชุมนุมกัน ข้าต้องแน่ใจว่าการก่อกบฏของปีศาจแดนใต้จะสำเร็จ เช่นนี้แล้วถึงจะหน่วงเหนี่ยวสำนักพุทธแดนประจิมไว้ได้ เรื่องศึกที่ชิงโจวเกรงว่าไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกแล้ว
“ชิงโจวแพ้ชนะจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของสงครามในครั้งนี้ แต่ศึกที่ซินเจียงตอนใต้สำคัญกว่า หากปีศาจแดนใต้ชิงภูเขาสือว่านกลับมาไม่ได้ ก็ไม่อาจตรึงสำนักพุทธไว้ได้แล้ว และพอสำนักพุทธร่วมมือกับอวิ๋นโจว จะไม่ใช่แค่ส่งผลต่อการแพ้ชนะของสันติภาพเท่านั้น แต่เป็นจุดจบของต้าฟ่งด้วย”
“ให้เผ่าพันธุ์กู่ส่งทหารไปเสริมกำลังที่ชิงโจวได้” ลั่วอวี้เหิงกล่าว
“อืม มอบความประหลาดใจให้ชิงโจวสักหน่อย” สวี่ชีอันพยักหน้า
แม้ระดับเหนือมนุษย์ของเผ่าพันธุ์กู่จะไม่สามารถไปไหนได้ แต่คนในเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดเผ่าสามารถร่วมศึกได้ ซินกู่ ตู๋กู่ ซือกู่ เป็นลูกรักบนสนามรบ อั้นกู่เป็นนักฆ่าขั้นสุดยอด
นี่คงสามารถคลี่คลายความกดดันในชิงโจวได้เป็นอย่างมาก
………………………………………
[1] วอวอโถว คือขนมปังนึ่งที่ทำด้วยแป้งหมี่ข้าวโพดหรือแป้งหมี่เกาเหลียง
[2] ตู้โตว คือ เสื้อชั้นในของผู้หญิงจีนในสมัยโบราณ มีลักษณะคล้ายผ้ากันเปื้อน ใช้สำหรับคาดรอบอก มีสายผ้าผูกที่คอกับเอว