ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 685 เผ่าอั้นกู่
เมืองเวิ่ง อำเภอซงซาน
หลังจากที่สวี่ซินเหนียนฟังรายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากรองแม่ทัพแล้ว ก็เป่าลมออกจากปากโดยไม่มีเสียง
“ออกไปได้ ให้บรรดาทหารระวังให้มากหน่อย อย่าให้ยอดฝีมือจากกองกำลังของข้าศึกฉวยโอกาสโจมตีในยามวิกาลได้”
หลังจากการโจมตีเมืองสองครั้ง กองกำลังชั้นยอดของข้าศึกยังคงรักษากฎไว้ได้อย่างครบถ้วน คนที่ตายล้วนเป็นกองกำลังผสมที่ก่อตั้งขึ้นจากผู้ลี้ภัย
แม่ทัพของกองทัพอวิ๋นโจวเป็นคนฉลาด รู้จักใช้ชีวิตของผู้ลี้ภัยมาผลาญกระสุนปืนใหญ่และลูกธนูของกองกำลังป้องกันเมือง นอกจากนี้พวกเขายังปล่อยให้ยอดฝีมือปะปนอยู่ในกองกำลังผสม รอโอกาสที่จะปีนกำแพงเมืองแล้วทำการสังหารครั้งใหญ่ ทำลายหน้าไม้และปืนใหญ่
“แม่ทัพกองกำลังของข้าศึกเป็นคนฉลาด แต่ในการโจมตียามวิกาลกลับดูโง่เขลาอย่างยิ่ง”
สวี่เอ้อร์หลางมองไปที่เหมียวโหย่วฟางที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า
“แปลกเล็กน้อย”
เหมียวโหย่วฟางไม่เข้าใจ จึงยักไหล่ “มีอะไรแปลก ข้าคิดว่าเขาเป็นคนฉลาด รู้จักลอบจู่โจมในยามวิกาลที่ไม่มีการเตรียมการป้องกัน”
“ข้อเสียของการโจมตีเมืองในเวลากลางคืน เมื่อครู่ข้าได้บอกเจ้าแล้ว ว่าแม่ทัพที่มีความเชี่ยวชาญ จะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าเขามีเวลาจำกัดที่จำเป็นจะต้องโจมตีอำเภอซงซานในระยะเวลาสั้นๆ”
สวี่ซินเหนียนวิเคราะห์อย่างใจเย็น
“ถึงอย่างไรข้าก็รับผิดชอบเพียงสังหารศัตรู เรื่องใช้สมองข้าจะไม่มีวันมีส่วนร่วมอย่างเด็ดขาด”
เหมียวโหย่วฟางแสดงจุดยืนก่อน จากนั้นก็เริ่มคุยโว
“ข้าอาจจะไม่เคยบอกเจ้า ว่าที่ภูเขาสือว่านทางซินเจียงตอนใต้ในวันนั้น ตัวข้าได้ช่วยฆ้องเงินสวี่บุกเข้าไปในวัดหนานฝ่าซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของสำนักพุทธ เพื่อสู้ตายกับเหล่าภิกษุของสำนักพุทธ สุดท้ายก็พยายามจนเอาชนะอาซูหลัว ขั้นสองของสำนักพุทธมาจนได้ และได้วางรากฐานสำหรับการลุกขึ้นสู้แบบติดอาวุธของปีศาจทักษิณ วันนี้มีข้าช่วยเจ้า เจ้าวางใจได้เลย”
สวี่ซินเหนียนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดช้าๆ ว่า
“ตอนที่อยู่เมืองชิงโจว ข้าได้พบกับผู้พิทักษ์หยวน เขาได้เล่าเหตุการณ์ที่ภูเขาสือว่านให้ข้าฟังอย่างละเอียดแล้ว”
เหมียวโหย่วฟางที่ถูกเปิดโปงนิ่งไป แล้วก็ยิงฟันพูดทันที
“นั่นคือปีศาจลิงที่น่ารำคาญ”
สำหรับเรื่องนี้ สวี่ซินเหนียนเห็นด้วยจากใจจริง
‘สุภาพบุรุษคิดเห็นเหมือนกัน’
ทั้งสองคนเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างรู้กัน ราวกับกำลังพูดว่า
‘ดูเหมือนเจ้าก็จะมีประสบการณ์ที่น่าอับอายเช่นเดียวกัน’
เวลานี้ ทหารนายหนึ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน รายงานเสียงดังว่า
“ใต้เท้าสวี่ กำลังของข้าศึกส่งจดหมายผ่านลูกธนูมาฉบับหนึ่งขอรับ”
ดวงตาของสวี่ซินเหนียนเป็น ประกายเล็กน้อย พูดอย่างสงบว่า
“ส่งขึ้นมา”
เหมียวโหย่วฟางลุกขึ้นทันที รับจดหมายที่ส่งผ่านลูกธนูมาจากมือของทหารแล้วยื่นให้สวี่ซินเหนียน
ฝ่ายหลังเปิดออกอ่าน เมื่ออ่านจบก็ยิ้มเยาะ
“จดหมายเขียนว่าอย่างไร?”
เหมียวโหย่วฟางรีบถาม
สวี่เอ้อร์หลางพูดเบาๆ ว่า “แม่ทัพกองกำลังของข้าศึกชื่อจัวเฮ่าหราน เขาบอกว่าจะบุกตีเมืองภายในสามวัน จะตัดหัวข้า เพื่อมอบให้พี่ชายคนโตของข้าเป็นของขวัญเมื่อพบหน้ากันครั้งแรก”
…
กระโจมจักรพรรดิในเมืองอวิ๋นโจว ห่างจากประตูเมืองทิศตะวันออกสิบลี้
กองไฟลุกโชน กระโจมแต่ละหลังเงียบสงัด บรรดาทหารหลับไปตั้งนานแล้ว โดยมีทหารที่สวมชุดเกราะมือถืออาวุธลาดตระเวนไปมา
รอบนอกยังมีหน่วยสอดแนมคอยตระเวนดู
ด้านนอกกระโจมทหาร จัวเฮ่าหรานที่สวมชุดเกราะ รูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง ตัดหัวหน่วยสอดแนมของกองทัพต้าฟ่งที่จับมาได้ด้วยมือตัวเอง
เขาเลียสันมีดที่เปื้อนเลือด แสยะยิ้มแล้วพูดว่า
“คิดไม่ถึงว่าคนที่รับผิดชอบปกป้องอำเภอซงซาน ก็คือญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน เมื่อข้าตีอำเภอซงซานแตกแล้ว หัวที่ตัดไป ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี แล้วส่งคนนำไปมอบให้คนแซ่สวี่”
จ้าวเถียนรองแม่ทัพพูดน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ตามคำสารภาพของหน่วยสอดแนมคนนี้ สวี่ซินเหนียนคนนั้นเป็นศิษย์ของจางเซิ่นแห่งสำนักอวิ๋นลู่ มีความเชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม จะชะล่าใจไม่ได้”
เขารู้นิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่ของจัวเฮ่าหรานดี จึงพูดเสริมทันทีว่า
“แต่ว่า ด้วยความห้าวหาญของท่านแม่ทัพ การบุกตีเมืองคงเกิดขึ้นในอีกไม่นาน หากท่านแม่ทัพรู้ว่าท่านตัดหัวของสวี่ซินเหนียนได้ จะต้องชมเชยและมีรางวัลให้อย่างแน่นอน”
จัวเฮ่าหรานพยักหน้า
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ใครที่ตัดหัวของสวี่ซินเหนียนได้ จะมีรางวัลให้หนึ่งพันตำลึงเงิน พร้อมกับแต่งตั้งให้เป็นนายกอง”
…
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันนั่งสมาธิเสร็จ ก็เห็นผู้หญิงท่าทางโศกเศร้าเหมือนดอกไลแลค
นางสวย แต่ท่าทางโศกเศร้ากลับสามารถทำให้มองข้ามความสวยของนาง ทำให้อดคิดที่จะเดินเข้าไปในใจของนางเพื่อรับฟังความโศกเศร้าของนางไม่ได้
“สวี่หลาง เจ้าตื่นแล้ว”
ลั่วอวี้เหิงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เจ้าเองหรือ บุคลิกโศกเศร้า…สวี่ชีอันถอนหายใจโล่งอก ในเจ็ดอารมณ์ สิ่งที่จัดการได้ยากที่สุดคืออารมณ์สามประการ ได้แก่ ‘ใคร่’ ‘โกรธ’ และ ‘หึงหวง’
บุคลิกโกรธนั้นดีกว่าแบบอื่น เพียงแต่อารมณ์ร้อนไปหน่อย แค่พูดอะไรที่ไม่สบอารมณ์ ก็จะลงมือทำร้ายคนอื่นทันที
บุคลิกใคร่เป็นแบบที่สวี่ชีอันกลัวมากที่สุด มันหมายความว่าเขาต้องออกกำลังกายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก
ส่วนบุคลิกหึงหวงนั้นเขาไม่เคยประสบมาก่อน ครั้งก่อนบุคลิกหึงหวงออกหน้าเป็นคนสุดท้าย ลั่วอวี้เหิงได้ขับไล่ไปนานแล้ว
จากการที่ท่านน้าแสดงออกด้วยความหวาดกลัวเช่นนี้ สวี่ชีอันคาดการณ์ว่าบุคลิกหึงหวงก็คือตัวละครที่มีอยู่ในละครชิงรักหักสวาทในวัง ประเภทฮองเฮาผู้อำมหิต
ขอแค่บุคลิกทั้งสามลักษณะนี้ไม่ปรากฏตัว บุคลิกอื่นๆ สวี่ชีอันก็ไม่ได้สนใจ
บุคลิกโศกเศร้าเป็นคนอารมณ์เปราะบาง คิดแต่ว่าอายุของตัวเองสามารถเป็นแม่ของคนรักได้แล้ว จึงรู้สึกเสียใจ
“ราชครู ท่านงดงามดุจดวงแสงอรุโณทัย ชวนให้หลงใหล”
สวี่ชีอันดูแลเอาใจใส่คนโศกเศร้าเหมือนดูแลเอาใจใส่ดอกไม้ที่บอบบาง
บุคลิกโศกเศร้ามีสีหน้าเขินอาย พูดเสียงเบาว่า
“สวี่หลางไม่ต้องเรียกข้าว่าราชครู เรียกว่าอวี้เหิงก็ได้”
เอาแล้วเอาแล้ว เจ้าจะทำให้ข้าลำบากใจอีกแล้ว…สวี่ชีอันตัวสั่น คิดในใจว่า เพื่ออะไรกัน เดี๋ยวเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็คิดจะถือดาบไล่ฟันข้าอีก
…
ชายป่าบุพกาล รอบนอกจี๋เยวียน
ยอดฝีมือขั้นสี่ของเจ็ดเผ่ารวมตัวกันที่บริเวณชายป่าบุพกาล นำโดยผู้นำระดับเหนือมนุษย์เช่นแม่ย่าแห่งเทียนกู่
ในใจของทุกคนในเผ่าพันธุ์กู่ต่างหนักอึ้ง พลังมหาศาลของเทพเจ้ากู่โชติช่วง มักจะหมายความว่าอาจจะมีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์กำเนิดขึ้น
สัตว์ประหลาดที่รูปร่างพิกลพิการ จิตใจสับสน กลับอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการเข่นฆ่าและทำลายล้าง ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่ ผู้นำที่เสียชีวิตด้วยฝีมือของอสูรกู่นั้นมีไม่น้อย
อาจกล่าวได้ว่า อสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์นั้นถูกผู้นำของเผ่าพันธุ์กู่เสี่ยงชีวิตเพื่อกำจัดทิ้ง
“พลังของเทพเจ้ากู่เมื่อเทียบกับยามปกติ แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า”
คนที่พูดคือผู้อาวุโสขั้นสี่ของเผ่าซือกู่ ข้างกายของเขามีหุ่นของศพเดินได้ที่มีกลิ่นรุนแรงสามตัว
“ไม่ต้องพูดถึงจำนวนของการเกิดของระดับเหนือมนุษย์ อสูรกู่ และหนอนกู่ขั้นสี่ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ หากประมาทเลินเล่อ พวกข้าอาจจะมีอันตรายถึงชีวิต”
ขณะที่ผู้อาวุโสของเผ่าตู๋กู่พูดคำพูดเหล่านี้ ก็ได้มองไปยังผู้อาวุโสทั้งหกของเผ่าลี่กู่
ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนิว่า
“เจ้าดูอย่างไร อสูรกู่ที่ข้าฆ่าไปทั้งหมดยังมากกว่าเนื้อที่เจ้ากินไปเสียด้วยซ้ำ”
ปากไม่ยอมแพ้ คิ้วของผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่คลายตัว ขมวดแน่นตลอดเวลา
พลังของเทพเจ้ากู่ปะทุขึ้นไม่บ่อย ในชีวิตพวกเขาเคยประสบสองครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่จะสามารถเทียบกับการเคลื่อนไหวของเมื่อวานนี้ได้
หลังจากผ่านการดูดซึมและการย่อยมาตลอดคืน เกรงว่าบรรดาหนอนกู่และอสูรกู่ที่อยู่บริเวณจี๋เยวียนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ความแข็งแกร่งยังไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือป่าบุพกาลที่อยู่รอบนอกจี๋เยวียนนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ยากที่จะทำการปูพรมค้นหา หากมีการประมาทเลินเล่อ ก็อาจจะเป็นการให้พื้นที่หายใจกับหนอนกู่ระดับเหนือมนุษย์ในอนาคต
“โชคดีที่ฆ้องเงินสวี่ช่วยไว้ เขาเป็นทหาร เชี่ยวชาญในการยกทัพจับศึก มีเขาคอยช่วยในสนามรบ ก็เหมือนกับเสือติดปีก”
ผู้อาวุโสรองของเผ่าลี่กู่กล่าว
บรรดาผู้อาวุโสของแต่ละเผ่าพากันพยักหน้า ถึงแม้เผ่าตู๋กู่ ซือกู่ และฉิงกู่จะไม่ชอบคนจากที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสรองพูดนั้นเป็นความจริง
“ถ้ามีโหรช่วยก็คงจะดี ช่วยระเบิดจี๋เยวียน ลดความยุ่งยากได้มากมาย หรือว่าเหมือนนิกายมนุษย์ลัทธิเต๋าที่สามารถควบคุมระบบของค่ายกลกระบี่ได้”
ชายวัยกลางคนข้างๆ แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูด
ในขณะที่กำลังถกเถียงกัน ทุกคนก็เห็นแสงสีทองที่มาพร้อมสายลม นั่นคือฆ้องเงินสวี่ที่มีวงแหวนเพลิงอยู่ด้านหลังศีรษะ
และข้างกายเขา มีผู้หญิงคนหนึ่งขี่กระบี่บินมา เท้าเหยียบกระบี่บิน สวมชุดขนนก มือถือแส้หางม้า ชาดที่หว่างคิ้วดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นพิเศษ
ในพริบตาที่เห็นผู้หญิงขี่กระบี่ ผู้ชายของเผ่าพันธุ์กู่ต่างตกตะลึง จากนั้นก็แสดงสีหน้าหลงใหล สติสัมปชัญญะบอกพวกเขาว่า นี่คือหญิงบริสุทธิ์แห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่สายตาบอกพวกเขาว่า นี่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
พวกเขาเห็นรูปแบบของผู้หญิงที่พวกเขารักจากผู้หญิงคนนี้
สวี่ชีอันลงสู่พื้นดิน พยักหน้าให้กับแม่ย่าแห่งเทียนกู่และคนอื่นๆ แล้วพูดว่า
“นี่คือผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ราชครูแห่งต้าฟ่ง”
ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์…ยกเว้นแม่ย่าแห่งเทียนกู่แล้ว ทุกคนต่างจ้องหน้าลั่วอวี้เหิงด้วยความประหลาดใจ ถ้าจำไม่ผิด ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์คนปัจจุบันคือผู้แข็งแกร่งขั้นสอง
“ข้าเชิญมาร่วมกันกำจัดอสูรกู่โดยเฉพาะ”
สวี่ชีอันพูดขึ้นอีกครั้ง
มีผู้ฝึกฝนกระบี่นิกายมนุษย์เข้าร่วม การกำจัดหนอนกู่ และอสูรกู่จะง่ายขึ้นอีกมาก...ดวงตาของผู้อาวุโสของเผ่าลี่กู่ ซินกู เทียนกู่ และอั้นกู่เป็นประกาย ดีใจจากใจจริง
แต่ผู้อาวุโสของเผ่าตู๋กู่ ฉิงกู่และซือกู่ บางคนเงียบขรึมบางคนรู้สึกกลืนไม่เข้าายไม่ออก เพราะภายในใจของพวกเขารู้สึกอาฆาตแค้นสวี่ชีอัน เพราะเขาเป็นตัวแทนของราชวงศ์ต้าฟ่ง
‘ทำไมต้องปฏิบัติต่อศัตรูอย่างมีมารยาทด้วย?’ นี่เป็นเสียงจากส่วนลึกของหัวใจที่เหมือนกันของพวกเขา
แต่ตอนนี้เห็นสวี่ชีอันได้เชิญผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงของต้าฟ่ง เพื่อมาช่วยเผ่าพันธุ์กู่กำจัดอสูรกู่
ความจริงใจและเจตนาดีนี้ ทำให้ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็พูดจารุนแรงออกมาไม่ได้
สามารถเชิญราชครูแห่งต้าฟ่งมายังซินเจียงตอนใต้ได้ คิดว่าคงจะต้องใช้ไหวพริบอย่างมาก …ผู้อาวุโสของทั้งสามเผ่าคิดในใจ
“สามารถเชิญผู้นำเต๋านิกายมนุษย์มาได้ คงต้องใช้ไหวพริบเป็นอย่างมาก”
ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยความสะเทือนใจ
ผู้คนจากชนเผ่าอื่นจะเก็บความสงสัยไว้ในใจ แต่คนของเผ่าลี่กู่นั้น “พูดอะไรตรงไปตรงมา” มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
สวี่ชีอันมองลั่วอวี้เหิงแวบหนึ่ง ก็ส่งเสียง “อ้อ”
“ไม่มีอะไร ราชครูเป็นคู่บำเพ็ญของข้า”
หลังจากพูดจบ สวี่ชีอันก็เห็นคนยี่สิบกว่าคนในที่นั้น สีหน้าประหลาดขึ้นทันที
‘ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์เป็นคู่บำเพ็ญของเขา…’
‘บัดซบ สาวงามเป็นเอกเช่นนี้ถูกทหารหยาบคายคนนี้ดันเสียแล้วหรือ…’
‘ฆ้องเงินสวี่สมกับที่เป็นทหารอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง ความรู้เกี่ยวกับที่ราบลุ่มภาคกลางนั้นลึกซึ้งกว่าพวกเรามากนัก…’
‘หึ แย่งผู้ชายของข้าจับคนของข้า…’
ความคิดต่างๆ นานา ผ่านเข้ามาในหัวใจของทุกคน
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พยักหน้าให้ลั่วอวี้เหิง แล้วพูดว่า
“ออกเดินทางเถิด”
…
มีลั่วอวี้เหิงคอยช่วยเหลือ ทำให้การเคลื่อนไหวเพื่อกำจัดอสูรกู่นั้นง่ายและรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
ผู้ฝึกฝนกระบี่ที่กำลังจะหนีเคราะห์กรรม นางสามารถระเบิดพลังสังหารออกมา ทำให้เผ่าพันธุ์กู่ทุกคนจ้องมองด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ
เมื่อถึงยามพลบค่ำ สวี่ชีอันและเผ่าพันธุ์กู่ทุกคนก็ออกจากจี๋เยวียน กลับไปยังเผ่า
เขาไม่ได้ตามหลงถูกลับไปที่เผ่าลี่กู่ แต่ตามแม่ย่าแห่งเทียนกู่ไป พูดว่า
“แม่ย่า ข้าขอคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ค้ำไม้เท้า เดินเคียงข้างไประยะหนึ่ง ผู้อาวุโสถามด้วยสีหน้าเมตตาว่า
“เกี่ยวกับการขอกำลังเสริม?”
สวี่ชีอันพยักหน้า
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เดินช้าๆ พึมพำว่า
“เรื่องฉิงกู่ และตู๋กู่ช่างมันเถิด ทั้งสองเผ่ามีอคติต่อต้าฟ่งเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน แต่เผ่าซือกู่นั้นมีความเป็นไปได้ สำหรับโหยวซือแล้วมีความแค้นที่เว่ยเยวียนฆ่าพ่อของเขา แต่คนในเผ่าของเขาไม่ได้มีความแค้นต่อต้าฟ่งมากนัก”
“ส่วนเผ่าอั้นกู่มีสาเหตุมาจากนิสัย ที่ดีกว่าเผ่าลี่กู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ขาดแคลนเงินทองและอาหาร มีความเป็นอยู่ขัดสน เจ้าสามารถเริ่มจากด้านนี้”
สาเหตุมาจากนิสัย? เป็นเพราะพวกเขาเอาแต่เล่นซ่อนหากันทั้งวันใช่หรือไม่? สวี่ชีอันอดกลั้นไว้ ไม่ได้พูดออกมา
“คนในเผ่าซินกู่ค่อนข้างมีเหตุผล ดูเหมือนฉุนเยียนจะมีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้า ปรึกษากันดีๆ ไม่น่าจะยาก เผ่าลี่กู่มอบอาหารให้ก็พอแล้ว ชาวเผ่าเป็นคนชอบทำสงคราม ไม่กลัวการพลีชีพ เผ่าเทียนกู่ไม่ชำนาญในการรบ วิชาดูดาว โหรก็ทำได้ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเราแล้ว”
“ขอบคุณแม่ย่า”
สวี่ชีอันประสานมือคารวะ
หลังจากสอบถามที่อยู่ของแต่ละเผ่าอย่างชัดเจนแล้ว เขาและลั่วอวี้เหิงก็กลับไปยังเผ่าลี่กู่ หลังจากราชครูเข้าไปในห้องแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือติดยันต์ไว้บนประตูหน้าต่างเพื่อตัดขาดระหว่างภายในและภายนอก
ส่วนสวี่ชีอันนั้นได้ไปส่งสวี่หลิงอินที่ห้องของลี่น่า
‘แปะๆๆ…’
ในห้องที่แสงเทียนสลัว อากาศในซินเจียงตอนใต้ร้อน ยุงเป็นสิ่งที่น่าโมโห สวี่ชีอันช่วยตบยุงให้ราชครู ตบจนดึกดื่น
…
วันรุ่งขึ้น แสงอรุโณทัยเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า สวี่ชีอันฉวยโอกาสตอนที่ราชครูยังไม่ตื่น เดินทางไปที่เผ่าอั้นกู่
เผ่าอั้นกู่อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของจี๋เยวียน เป็นเมืองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ กำแพงดินสูงสามเมตรล้อมรอบเมือง ด้านหลังเป็นเทือกเขา ด้านนอกเมืองมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่านเสียงดังซู่ซ่า
ประชากรของเมืองมีประมาณเจ็ดพันคน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประชากรทั้งหมดของเผ่าอั้นกู่ เผ่าพันธุ์กู่เพิ่มทวีขึ้นนับพันปี พัฒนาเป็นชนเผ่าเล็กๆ มากมาย บริเวณรอบๆ เมืองนี้ มีหมู่บ้านเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่มากมาย
สวี่ชีอันใช้วิชากระโดดสู่เงาตลอดทาง และเมื่อมาถึงเผ่าอั้นกู่ แสงอรุโณทัยก็ขึ้นสูงแล้ว
แม่น้ำที่อยู่นอกเมืองเป็นสีแดงทองสวยงามไหลอย่างเงียบๆ
ในเมืองเงียบสงบ เหมือนกับเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้คนจู่ๆ ผู้คนก็อันตรธานไป มีความแปลกประหลาดท่ามกลางความเงียบสงัด
เขาหันไปมองรอบๆ ตัว ก็เห็นเด็กในสวมชุดชาวซินเจียงตอนใต้นั่งกินวอวอโถวอยู่ที่ประตูบ้าน
“ผู้ใหญ่ในบ้านล่ะ?”
สวี่ชีอันกระเถิบเข้าใกล้
ขณะที่พูด เขาสังเกตเด็กชายอย่างละเอียด เด็กน้อยแต่งกายเรียบง่าย ดูเหมือนวอวอโถวในมือจะเป็นอาหารเช้าของเขา
เด็กชายมองเขาอย่างงุนงง เพราะฟังภาษาของที่ราบลุ่มภาคกลางไม่เข้าใจนั่นเอง
ในเวลานี้ ในเงามืดข้างอ่างน้ำที่ประตู มีชายหนุ่มคนหนึ่งคลานออกมา สวมชุดสีดำสลับฟ้า ใบหน้าขาวซีด ที่ศีรษะโพกผ้าสีดำ
“ท่านคือฆ้องเงินสวี่ใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีนอบน้อม
“เจ้าเป็นพ่อของเขาหรือ?”
สวี่ชีอันถามกลับ
“ข้าเป็นหน่วยลาดตระเวน ทันทีที่ท่านเข้ามาในเมือง พวกเราก็สังเกตเห็นแล้ว หัวหน้าได้มอบหมายไว้ ถ้าหากฆ้องเงินสวี่มาเยี่ยมเยียน ให้พาท่านไปพบเขา”
ชายหนุ่มพูดจบ ก็หันไปมองเด็ก
“พ่อแม่ของเขาซ่อนตัวอยู่ ไม่ถึงสองชั่วโมงจะไม่ออกมาอย่างแน่นอน”
พูดแล้วอาการติดยาของข้าก็กำเริบ อยากจะซ่อนตัวเหมือนกัน…สวี่ชีอันพยักหน้า น้ำเสียงสงบ
“นำทางเถิด”