ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 687 เมตตาเกินไปไม่ควรนำทัพ
มนุษย์ศพวางกล่องไม้ไว้ตรงหน้าสวี่ชีอัน หันหลังออกไป
‘แกร๊ก’
สวี่ชีอันวางนิ้วบนแม่กุญแจทองแดง ใช้พลังปราณแทนลูกกุญแจ ดีดสลักคลายออก
ทันทีที่กล่องไม้ถูกเปิดออก เขาได้กลิ่นผงกันเสียและไล่แมลง ในกล่องเป็นหนังสัตว์ม้วนหนึ่ง
ถ้าไม่ตั้งใจทำจากหนังสัตว์ งั้นอายุของแผนที่นี้มากกว่าสองพันปีแน่นอน ยุคปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ วัสดุในการทำหนังสือคือแผ่นไม้ไผ่ ส่วนหนังสัตว์เก่าแก่กว่าแผ่นไม้ไผ่…สวี่ชีอันคิดในใจ คลี่หนังสัตว์ออกมาครึ่งม้วน
หลังคลี่ออกถึงพบว่าแผนที่นี้ถูกฉีกจากตรงกลาง เป็นครึ่งซ้ายของแผนที่ฉบับเต็ม
วิธีวาดแผนที่แปลกมาก เต็มไปด้วยลายเส้นบิดเบี้ยวไม่สม่ำเสมอ ค่อนข้างคล้ายกับแผนที่ในชาติก่อนของสวี่ชีอัน
นอกจากลายเส้น ไม่มีตัวอักษรแม้แต่น้อย
ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนยังเรียนอยู่ แผนที่ภูมิประเทศก็เป็นเส้นยุ่งเหยิงแบบนี้…สวี่ชีอันมองโหยวซือ พูดว่า
“แผนที่นี้ถอดรหัสแล้วหรือไม่”
แน่นอนว่าแผนที่ม้วนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนกับแผนที่ภูมิประเทศในชาติก่อน
โหยวซือส่ายหน้า
“ท่านพ่อข้าเคยค้นคว้า คิดว่าลายเส้นในแผนที่เป็นสัญลักษณ์แทนภูมิลักษณ์ของที่นี่ มีเพียงโหรเท่านั้นที่เข้าใจ แต่ต่อให้เป็นโหร คิดจะค้นหาพื้นที่ที่สอดคล้องกันในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว ก็นับว่างมเข็มในมหาสมุทร”
เนื่องจากแทบหาไม่เจอ ดังนั้นเขาถึงแลกเปลี่ยนกับสวี่ชีอันอย่างเต็มใจ
ถึงอย่างไรทิ้งไว้ในเผ่าซือกู่ ก็น่าจะได้แต่เก็บรักษาตลอดไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ใช้แลกเปลี่ยนให้ศพโบราณนั้นถูกเก็บไว้ในเผ่าหลายวันหน่อย
นึกถึงศพที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบนั้น โหยวซือใจเต้นรัว เลือดร้อนเดือดพล่าน
สวี่ชีอันเงี่ยหู ได้ยินเสียงครวญครางของสตรีในส่วนลึกของลานบ้านดังก้องรุนแรงขึ้นกะทันหัน
เขาไม่ได้ใส่ใจ นำโลงศพออกมาจากเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทันที จากนั้นเก็บกล่องไม้บรรจุแผนที่ครึ่งม้วนเข้าไป
“จริงสิ เตือนเจ้าสักหน่อย อย่าทำอะไรแปลกๆ กับมัน จะได้ไม่แปดเปื้อนเหตุต้นผลกรรม แม้ข้าคิดว่าเหตุต้นผลกรรมบนร่างมันหายไปโดยสิ้นเชิงแล้วก็ตาม”
สวี่ชีอันเตือนด้วยรอยยิ้ม
‘โหยวซือ’ ใช้ตาขาวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า
“ในเผ่าซือกู่ของพวกเรา มีคำโบราณว่าไว้…ควบคุมความปรารถนาไม่ได้ ทำงานใหญ่ไม่สำเร็จ
“ผู้ที่มีโอกาสบรรลุขั้นสี่ ล้วนต้านทานความยั่วยวนของกู่เจ้าชะตาได้ แม้เผ่าข้าไม่ได้ห้ามเรื่องทางนี้ แต่ผู้ที่ก้าวข้ามกฎเกณฑ์กับศพ ล้วนเป็นสุนัขโง่ไม่ได้เรื่อง”
…สีหน้าของสวี่ชีอันค่อยๆ แข็งทื่อ
‘โหยวซือ’ ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของเขา ตั้งใจชื่นชมศพโบราณ โบกมือ
“ไปเถอะ อย่ารบกวนข้า”
…
สวี่ชีอันกลับถึงเผ่าลี่กู่ แสงแดดอบอุ่น ยามเช้าเจ็ดโมงกว่า เขากลับห้องไปพบลั่วอวี้เหิงก่อน
ราชครูนั่งขัดสมาธิ บำเพ็ญตบะฝึกลมหายใจ เห็นเขาเข้ามา ลืมตางดงาม แย้มยิ้มพริ้มพราย ราวกับหญิงงามแห่งยุคผู้ชื่นชอบยิ้มแย้มท่ามกลางหมู่มวลบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ
โอ้ บุคลิก ‘ชอบ’ นี่เอง…สวี่ชีอันโล่งใจ บุคลิกชอบนั้นมีนิสัยเชิงบวกเหมือนกับ ‘โศกเศร้า’ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีอารมณ์เชิงลบ เมื่อบำเพ็ญคู่ก็ยอมทำตามความต้องการของเขา
“ชายแดนใต้ดีจริงๆ อากาศอบอุ่น แว่วเสียงนกร้องอบอวลกลิ่นดอกไม้ จิตใจข้าสุขสบาย”
ลั่วอวี้เหิงยิ้มพูด
“แต่ยุงเยอะ เมื่อคืนช่วยราชครูตบยุง ตบจนสะโพกแดงไปหมด”
สวี่ชีอันยิ้มพูด
ลั่วอวี้เหิงขึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง เขินอายหลายส่วน แต่ไม่โกรธ ยังคงยิ้มบางๆ
ถ้าเป็น ‘โกรธ’ กระบี่เดียวก็ส่งข้าขึ้นสวรรค์แล้ว…จากนั้นสวี่ชีอันมองสวี่หลิงอินที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ถามว่า
“หลิงอินกลับมานอนที่นี่ได้อย่างไร”
ลั่วอวี้เหิงพูดอย่างจนปัญญา
“เจ้าไปได้ไม่นาน นางก็วิ่งเข้ามา บอกว่าสงสัยว่าท่านอาจารย์ลี่น่าอยากกินนาง หวาดกลัวมาหาเจ้า แต่เจ้าไม่อยู่”
…สวี่ชีอันใคร่ครวญพูดว่า “พบว่าข้อมือของตนมีรอยกัดใช่หรือไม่”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า
หลังจากที่หลิงอินเลื่อนขั้น ปริมาณอาหารเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด วันหน้ากลับเมืองหลวง อาสะใภ้คงต้องร้องไห้แล้ว…สวี่ชีอันไม่รู้ว่าควรออกความเห็นอย่างไร ได้แต่อธิษฐานแทนอาสะใภ้ในใจ
วันที่สาม ทหารเผ่าซินกู่ เผ่าซือกู่ เผ่าลี่กู่ และเผ่าอั้นกู่รวมพลเสร็จสิ้น
ในนั้น กองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ห้าร้อยนาย ทหารเผ่าลี่กู่สี่ร้อยนาย นักควบคุมศพผู้เชี่ยวชาญของเผ่าซือกู่หกร้อยนาย ทหารชั้นยอดเผ่าอั้นกู่แปดร้อยนาย เผ่าพันธุ์กู่ทั้งหมดสองพันสามร้อยนาย และหุ่นเชิดมนุษย์ศพที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งอีกหนึ่งพันนาย
กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่มีสมาชิกสามพันกว่านาย ออกจากชายแดนใต้ มุ่งหน้าสู่ชิงโจว
ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง โม่ซางพี่ใหญ่ของลี่น่าก็อยู่ในกองทัพเผ่าลี่กู่
ส่วนลี่น่านั้น คิดจะทำให้เผ่าลี่กู่แข็งแกร่งขึ้น หลังจากซึมซับพลังโลหิตของเทพกู่ ก็จะขึ้นเหนือสู่ชิงโจว เข้าร่วมสงคราม ขัดเกลาวิชากู่
เผ่าลี่กู่ทั้งดีใจและกังวลใจกับการส่งทหารชั้นยอดสี่ร้อยนายสู่สงคราม ดีใจที่ภายหลังจะได้ฝากปากท้องของคนกลุ่มนี้ให้ต้าฟ่ง พวกผู้อาวุโสแอบกำชับทหารหนุ่มที่ออกศึก
“กินให้เต็มที่ กินให้หมดยุ้งฉางของคนที่ราบกลาง”
แต่กังวลว่าหลังจากที่คนกลุ่มนี้ออกเดินทาง กำลังพลล่าสัตว์ยิ่งขาดแคลน ผู้ชราที่เมื่อก่อนทำนาทำไร่หรือไม่ทำอะไรเลย ยามนี้ก็ต้องถกแขนเสื้อขึ้นเขาล่าสัตว์
…
กลางดึก!
ในกระโจมทหารห่างจากอำเภอซงซานสิบลี้ จัวเฮ่าหรานนั่งข้างโต๊ะประชุม ตรงหน้าคืออ่างทองแดง ในอ่างนั้นคือขาแกะที่เพิ่งย่างเสร็จ
เขาถือขาแกะด้วยมือซ้าย ออกแรงกัดแทะ ดาบยาวขวามือเปื้อนคราบเลือด
สองฝั่งของโต๊ะประชุม คือพวกแม่ทัพที่นิ่งเงียบ
สงครามใหญ่เพิ่งจบลง ทัพอวิ๋นโจวใต้บัญชาจัวเฮ่าหรานขับไล่ทหารอารักขาต้าฟ่งที่ลอบโจมตีกลางดึก สงครามลอบโจมตีเช่นนี้เกิดขึ้นบางครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
พวกแม่ทัพลอบมองจัวเฮ่าหรานแวบหนึ่ง ไม่กล้าพูดคุย บรรยากาศในกระโจมทหารอึมครึม มีเพียงเสียงจัวเฮ่าหรานกัดแทะขาแกะ
พ้นห้าวันไปนานแล้ว ยังไม่อาจยึดอำเภอซงซาน
ไม่เพียงแต่ยึดไม่ได้ ทางทัพอวิ๋นโจวนี้เรียกได้ว่าสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
จัวเฮ่าหรานคือแม่ทัพผู้ดุร้าย พลังต่อสู้องอาจห้าวหาญ ฝีมือการนำทัพก็โดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใด กลยุทธ์ของเขาในการยึดอำเภอซงซานคือ สามวันก่อน จัดกลุ่มผู้อพยพปะปนกับทหารผลาญกระสุนปืนใหญ่ ลูกศรหน้าไม้ และลูกศรธนูของอีกฝ่าย
รวมทั้งยุทโธปกรณ์ปกป้องเมืองเช่นท่อนไม้หนามและน้ำมันก๊าด
ในระหว่างนั้น ส่งยอดฝีมือปะปนกับผู้อพยพ หาโอกาสปีนขึ้นกำแพงเมือง ทำลายปืนใหญ่และหน้าไม้ใหญ่
ลูกไม้นี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ในวันที่สามของสงครามตีเมือง ทัพปกป้องเมืองเหลือปืนใหญ่เพียงสองลำ หน้าไม้ใหญ่หนึ่งลำ มีแนวโน้มยากลำบากขึ้น ได้แต่พึ่งท่อนไม้หนามและน้ำมันก๊าด รวมทั้งพลธนูต่อต้านทัพอวิ๋นโจวที่ตีเมือง
จัวเฮ่าหรานเห็นเช่นนี้ ส่งทหารราบชั้นยอดที่ดักซุ่มอยู่สามวันตีเมืองทันที
แต่เมื่อทหารราบชั้นยอดของทัพอวิ๋นโจวบุกเข้าสู่ระยะยิงปืนใหญ่ บนกำแพงเมืองก็รัวยิงกระสุนปืนใหญ่และระดมยิงธนูทันที แรงกระสุนโหดเหี้ยมโจมตีทหารราบชั้นยอดจนย่อยยับ
หลังจากตีเมืองล้มเหลว ทิ้งทหารเจ็ดถึงแปดร้อยนาย ลนลานล่าถอย
สวี่ซินเหนียนผู้นั้นยังมีปืนใหญ่และหน้าไม้ใหญ่อยู่ในมืออีกจำนวนหนึ่ง แต่ในช่วงสามวันก่อนอดทนไม่ใช้งาน แม้ทหารอารักขาบาดเจ็บล้มตายไปมากในระหว่างนี้
กล่าวถึงคำว่า ’เมตตาเกินไปไม่ควรนำทัพ’ จัวเฮ่าหรานต้องยอมรับว่าเจ้าหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้นำทัพที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
แม่ทัพใหญ่เคยว่าไว้ ธาตุแท้ของสงครามก็คือทำทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ
โจมตีซึ่งหน้าไม่สำเร็จ จัวเฮ่าหรานก็ลอบแบ่งกำลังพล ให้ทหารชั้นยอดฉวยโอกาสกลางดึกโจมตีจากยอดผาทางใต้ ผลลัพธ์เหยียบกับดักหมีที่วางไว้ทั่วภูเขา รวมทั้งตกหลุมลึกที่ปักไม้แหลม
นอกจากยอดฝีมือที่ฝ่าออกไปได้ พวกทหารธรรมดาล้มตายย่อยยับ
จัวเฮ่าหรานกังวลว่าอำเภอซงซานฝนไม่ตกมาครึ่งเดือนแล้ว ในภูเขาแห้งแล้ง เป็นไปได้สูงว่าสวี่ซินเหนียนผู้นั้นจะจุดไฟเผาภูเขา จึงล้มเลิกความคิดที่จะอ้อมยอดผาบุกโจมตีทหารอารักขา
คืนวันที่สี่ บนกำแพงเมืองตีกลองกะทันหัน จากนั้นแว่วเสียงกีบเท้าม้าดังสนั่น
กลางวันตีเมืองล้มเหลว ทัพอวิ๋นโจวที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงนึกว่าศัตรูจู่โจม ยกทัพรับศึก ผลลัพธ์พบว่าศัตรูหลอกล่อไม่ได้โจมตีด้วยซ้ำ
ผ่านไปหลายครั้ง ทัพอวิ๋นโจวถูกก่อกวนจนหมดเรี่ยวหมดแรง
ช่วงรุ่งอรุณ เสียงกลองบนกำแพงเมืองดังขึ้นอีกครั้ง แต่ทัพกบฏอวิ๋นโจวไม่ได้ใส่ใจ ก็ส่งหน่วยสอดแนมและกำลังพลกลุ่มเล็กๆ ออกไปตรวจสอบสถานการณ์พอเป็นพิธี
ผลลัพธ์เจอกองทหารม้าเบาหนึ่งพันนายบุกโจมตี ทัพอวิ๋นโจวบาดเจ็บล้มตายสองพันกว่านาย
เสียทหารชั้นยอดหกพันนายไปหนึ่งในสาม
วันที่ห้า จัวเฮ่าหรานบุกตีเมืองโดยไม่คำนึงถึงการสูญเสีย พ่ายแพ้กลับมา ทหารอารักขาก็บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย
เมื่อถึงช่วงกลางคืน ทหารอารักขาเล่นลูกไม้เดิมซ้ำอีกครั้ง ก่อกวนจนทัพอวิ๋นโจวเหลืออดเหลือทน
ยามนี้เป็นวันที่เจ็ด ทัพผู้อพยพสี่พันนายล้มตายหมดสิ้น ทหารชั้นยอดหกพันนายใต้บัญชาจัวเฮ่าหรานเหลือเพียงสามพันนาย
ส่วนฝ่ายทหารอารักขายังมีเกือบสองพันนาย
ดูจากสัดส่วนจำนวนทหารทั้งสองฝ่ายในยามนี้ ไม่อาจยึดอำเภอซงซานได้แล้ว
จัวเฮ่าหรานกลืนเนื้อคำสุดท้าย กวาดตามองแม่ทัพทุกนายอย่างเย็นชา พูดว่า
“บอกพวกทหารพักผ่อนให้เต็มที่ คืนนี้ไม่มีการโจมตีก่อกวนแล้ว
“นอนเต็มอิ่มแล้ว รุ่งสางตีเมืองแตก!”
เขามีสีหน้าเอาจริงเอาจัง พูดจามั่นอกมั่นใจ ราวกับรุ่งสางจะตีเมืองแตกได้แน่นอน
…
เหมียวโหย่วฟางกับจู๋จวินนำทัพทหารม้าห้าร้อยนายพุ่งผ่านประตูเมือง กลับกองบัญชาการสูงสุด
“แม่ทัพจู๋ เอ้อร์หลางต้มเนื้อวัวอยู่บนกำแพงเมือง ขึ้นไปกินสักหน่อย?”
เหมียวโหย่วฟางเชิญชวนด้วยไมตรี
จู๋จวินเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างซูบผอม เงียบขรึมพูดน้อย ขั้นสี่เพียงหนึ่งเดียวในอำเภอซงซาน รับหน้าที่อารักขาประตูเมืองทิศเหนือ
เพราะมีเขาอยู่ สวี่เอ้อร์หลางถึงกล้าให้ทหารม้าโจมตีค่ายศัตรู มิฉะนั้นไปก็เท่ากับตาย
เขาส่ายหน้า พูดเสียงเรียบ
“ให้ใต้เท้าสวี่ส่งมาประตูเมืองทิศเหนือ ไม่ต้องดื่มสุราก็ได้”
พูดจบ พาลูกน้องของตนควบม้าออกไป
“น่าเบื่อ!”
เหมียวโหย่วฟางส่ายหน้า พลิกตัวลงจากหลังม้า ปีนขึ้นบันไดสู่บนกำแพงเมือง
หม้อเหล็กเรียงรายระหว่างทาง พวกทหารนั่งล้อมหม้อเหล็กกินเนื้อ
ใบหน้าของพวกเขาเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข กินเนื้อคำใหญ่ กระตือรือร้นยิ่งนัก
เหมียวโหย่วฟางมองใบหน้าตื่นเต้นของพวกทหาร นึกถึงบทสนทนาเมื่อกลางวันกับสวี่เอ้อร์หลาง
สวี่เอ้อร์หลางบังคับเกณฑ์ใช้วัว สุนัข ไก่ และเป็ดของชาวบ้านในอำเภอ เลี้ยงฉลองให้ทหารอารักขา ชดเชยด้วยเสบียงอาหารปริมาณเล็กน้อย
แรกเริ่มเหมียวโหย่วฟางรู้สึกว่าไม่เหมาะสม คิดในใจว่านี่เท่ากับปล้นทรัพย์ชาวบ้านไม่ใช่หรือ
แต่สวี่เอ้อร์หลางบอกเขา ช่วงภัยสงคราม ผลประโยชน์ของทหารต้องวางไว้เป็นอันดับแรกเสมอ ผลประโยชน์ของชาวบ้านเป็นรอง พลทหารหลั่งเลือดต่อสู้สุดชีวิตวันแล้ววันเล่า เหนื่อยล้าอ่อนแรง กินเนื้อเพิ่มขวัญกำลังใจได้
สำหรับชาวบ้าน ปกป้องเมืองไม่ได้ จุดจบของพวกเขาจะเลวร้ายกว่าเดิม
ยามนี้เหมียวโหย่วฟางคิดว่า สิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล
เขามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเวิ่ง เห็นสวี่เอ้อร์หลางก้มหน้าพิจารณาแผนที่บนโต๊ะ ขมวดคิ้วนิ่งเงียบ
“เอ้อร์หลาง ตามคำพูดของเจ้า พรุ่งนี้พวกเขาน่าจะถอนทัพแล้ว”
“ถ้าไม่มีทหารกองหนุน ย่อมเป็นเช่นนั้น”
สวี่เอ้อร์หลางเงยหน้ามองมา
“แต่ข้าคิดว่า ทหารกองหนุนของทัพกบฏอวิ๋นโจวใกล้มาถึงแล้ว”
…………………………………………..