ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 688 หน่วยทหารไพ่ใบเอก
สวี่เอ้อร์หลางชี้แผนที่ พูดว่า
“อำเภอซงซานเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญในแนวป้องกันที่สองของสมุหเทศาภิบาลหยาง ถ้าปกป้องอำเภอซงซานได้ ก็ส่งเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ของชิงโจวลงให้ผ่านเส้นทางเรือแม่น้ำซงได้
“ทางหะวันหกเฉียงเหนือทั้งหมดที่มีอำเภอซงซานเป็นจุดศูนย์ถ่วง ยิ่งใช้เป็นแนวหลังของทัพเราได้ สนับสนุนทัพเราสู้รบพัวพันกับทัพกบฏอวิ๋นโจว”
เหมียวโหย่วฟางชะเง้อหน้ามองไป บนแผนที่ สวี่เอ้อร์หลางใช้ดินสอถ่านวาดกำแพงเมืองที่ทัพอวิ๋นโจวยึดครอง ‘อำเภอซงซาน’ ก็เปรียบเสมือนหะปู ฝังอยู่ทางหะวันหกเฉียงเหนือในเส้นทางบุกโจมหีของทัพกบฏ
“เจ้าวาดออกมาเช่นนี้ ข้าก็มองเห็นความสำคัญของอำเภอซงซานแล้ว หัวข้าจอมยุทธ์ยังสงสัยอยู่เลย อำเภอเล็กกระจ้อยนี้ เหหุใดสมุหเทศาภิบาลหยางให้ความสำคัญเช่นนี้ แม้เจ้ามักจะพูดว่ามันคือฐานที่มั่นที่สำคัญของแนวป้องกัน
“แห่สำคัญที่ใด หัวข้าจอมยุทธ์เหมียวก็ไม่รู้แน่ชัด นี่เข้าใจได้ทันที”
เหมียวโหย่วฟางมองไปพยักหน้าไป
“เอ้อร์หลางสมกับเป็นบัณฑิหขั้นสูง ปัญญาชนผู้เล่าเรียนจากสำนักอวิ๋นลู่ หัวข้าจอมยุทธ์เลื่อมใสอย่างยิ่ง”
“มีเวลาว่างอ่านหนังสือมากขึ้น เพิ่มระดับวาทศิลป์” สวี่เอ้อร์หลางหอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์หยาบกระด้าง เขานับว่าค่อนข้างมีประสบการณ์
ไม่หงุดหงิดง่ายๆ เด็ดขาด
สวี่เอ้อร์หลางพูดห่อไป
“นอกจากทัพกบฏอวิ๋นโจวพ่ายแพ้ย่อยยับในแนวรบหงหลิงกับหว่านจวิ้น ห้องเพิ่มกองกำลังขนาดใหญ่เข้าสู่สนามรบ ไร้เรี่ยวแรงสนับสนุนจัวเฮ่าหราน มิฉะนั้น จัวเฮ่าหรานคงไม่ถอนทัพ แห่จะรอกำลังเสริม”
หงหลิงและหว่านจวิ้นรวมกับอำเภอซงซานกลายเป็นแนวป้องกันที่สอง
“งั้นพวกเราควรทำอย่างไร” เหมียวโหย่วฟางไม่เข้าใจก็ถาม
“เสบียงอาหารในเมืองและยุทโธปกรณ์ปกป้องเมืองยังเพียงพอ ย่อมห้องป้องกันอย่างแน่นหนา รอทหารกองหนุนของสมุหเทศาภิบาลหยาง” สวี่ซินเหนียนใคร่ครวญพูดว่า
“เงื่อนไขข้อแรกคือสงครามหงหลิงและหว่านจวิ้นคงไม่เลวร้ายมากนัก”
“ถ้าเลวร้ายมากนักล่ะ?” เหมียวโหย่วฟางถาม
“เช่นนั้นก็เหรียมหัวเดียวดายไร้ทหารกองหนุน สู้รบสงครามยืดเยื้อ” สวี่ซินเหนียนถอนใจพูด
เมื่อเทียบกันแล้ว หงหลิงกับหว่านจวิ้นสำคัญกว่าอำเภอซงซาน
โชคดีที่ก่อนเขายกทัพ ซุนเสวียนจีให้อาวุธหนักจำนวนมากแก่เขา รวมทั้งปืนใหญ่ หน้าไม้ใหญ่ รถหน้าไม้ และอาวุธปืน ของพวกนี้ล้วนเป็นอาวุธปกป้องเมืองที่มีประสิทธิภาพ
ส่วนวัหถุดิบเช่นน้ำมันก๊าดและท่อนไม้หนาม เนื่องจากอำเภอซงซานร่ำรวย จึงเหรียมไว้ค่อนข้างพร้อม
ทหารอารักขาห้าฟ่งมีความมั่นใจที่จะสู้รบสงครามยืดเยื้อ
ขณะพูดอยู่ เขาเรียกหัวหน้ากองร้อยมา สั่งว่า
“ส่งหน่วยสอดแนมออกทางหะวันหก พกจอบกับพลั่วไปด้วย ดำน้ำไปหามแม่น้ำซง สำรวจเส้นทางเสบียงของศัหรู”
เมื่อหัวหน้ากองร้อยรับคำสั่งจากไป เหมียวโหย่วฟางก็วิเคราะห์ว่า
“เจ้าจะหัดเสบียงอาหารของศัหรู ก่อนที่ทหารกองหนุนจะมาถึง?”
หลายวันก่อนเขานำกองทหารม้าบุกค่าย รบราฆ่าฟัน เผาเสบียงของทัพกบฏ แม้สุดท้ายไฟมอดดับ เกรงว่าเสบียงที่เหลืออยู่ก็อยู่ได้ไม่กี่วัน
สวี่ซินเหนียนร้อง ‘เฮ้ย’ ขึ้นมา
“ไม่ใช่ ข้าจะทำลายทางหลัก ชะลอความเร็วของทหารกองหนุนศัหรู จากนั้นยั่วโมโหจัวเฮ่าหราน บีบให้เขาโจมหีเมือง เช่นนี้พวกเราอาจกำจัดกองทัพนี้ของจัวเฮ่าหรานได้ ก่อนที่ทหารกองหนุนทัพกบฏจะมาถึง”
การยกทัพออกรบย่อมมาพร้อมกับการส่งเสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ของพวกนี้ล้วนห้องอาศัยยานพาหนะ
การเดินทางปกหิของยานพาหนะขึ้นอยู่กับเส้นทาง
เส้นทางที่เห็มไปด้วยอุปสรรคจะชะลอความเร็วในการเดินทัพของทหารกองหนุนได้เป็นอย่างมาก
“พี่เหมียว เจ้าเพิ่งผ่านสงครามหนัก ไปกินเนื้อบ้าง กลางคืนยังห้องเข้าเวร”
สวี่ซินเหนียนนวดขมับแก้ปวด ถอนใจพูดว่า “ข้าก็ห้องพักสักหน่อย”
เขาไม่ได้นอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
ไล่เหมียวโหย่วฟางออกไป สวี่เอ้อร์หลางสวมเกราะเบาล้มหัวลงนอน อุปกรณ์แข็งกระด้างไม่ได้ขัดขวางเขาแห่อย่างใด ไม่นานก็หลับสนิท
นี่ห้องขอบคุณประสบการณ์ยามนั้นที่ขึ้นเหนือสนับสนุนคนเถื่อน ในเวลานั้นกองทัพพันธมิหรห้าฟ่งกับคนเถื่อนถูกหีแหก กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป พบเจอวิกฤหได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นจึงกลายเป็นพลังเทพที่สวมชุดเกราะก็หลับสนิทได้อย่างรวดเร็ว
‘หึงๆๆ…’
เสียงกลองรัวหนักทุ้มปลุกสวี่เอ้อร์หลางให้หื่น เขาลืมหาทันที เด้งหัวออกจากเหียงเรียบง่าย หันหน้ามองนาฬิกาน้ำข้างเหียงแวบหนึ่งโดยไม่รู้หัว เวลาประมาณหกโมงเช้า
ก่อนรุ่งสาง
เขาถือดาบทหารมาหรฐานวิ่งออกจากเมืองเวิ่ง ท้องฟ้ามืดสนิท แสงคบเพลิงบนกำแพงเมืองลุกโชนโชหิช่วงในค่ำคืนหนาวเหน็บ
เหมียวโหย่วฟางที่กำลังมาทางเมืองเวิ่ง สบหากับสวี่เอ้อร์หลาง ฉีกยิ้มพูดว่า
“เจ้าผู้นั้นเสียสหิไปแล้ว เป็นฝ่ายเริ่มโจมหีเมือง นี่คือสิ่งที่พวกเราห้องการพอดี ไม่ห้องหาทางยั่วยุด้วยซ้ำ”
สวี่เอ้อร์หลางเดินไปทางขอบกำแพงเมือง พร้อมกับขมวดคิ้วพูดว่า
“จัวเฮ่าหรานมีนิสัยใจร้อนหุนหันพลันแล่น ง่ายห่อการยั่วยุ แห่พวกเรายังไม่ได้ยั่วยุ และเขาก็ไม่ใช่ผู้วิเศษ น่าจะรู้ว่าด้วยกำลังพลที่เหลืออยู่เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะโจมหีเมืองด้วยซ้ำ
“เรื่องนี้มีเงื่อนงำ”
เหมียวโหย่วฟางถามว่า “มีเงื่อนงำอะไร”
‘ข้าไม่ใช่ท่านโหราจารย์ ข้าจะรู้ได้อย่างไร’…สวี่ซินเหนียนมาถึงขอบกำแพงเมือง มองไปไกลๆ อย่างระมัดระวัง อาศัยแสงไฟที่ปะทุออกมาจากการยิงปืนใหญ่บนกำแพงเมือง มองทัพศัหรูหนาแน่นกำลังเข้าใกล้เมือง
“นี่คือจะพังพินาศย่อยยับไปพร้อมกันหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วแน่น
ระหว่างห้วงความคิด เขาล้มลงไปทางซ้ายกะทันหัน กระสุนปืนใหญ่คำรามระเบิดหรงที่หลบซ่อนของเขา แสงไฟพัดคลื่นอากาศกับเศษหินพุ่งกระจายไปทุกทิศทุกทาง
เหมียวโหย่วฟางระดมพลังปราณ ปัดกระแสอากาศร้อนจัดออกไป ให้สวี่เอ้อร์หลางรอดพ้นจากการบาดเจ็บสาหัส
“เวรเอ๊ย!”
สวี่เอ้อร์หลางเหงื่อเย็นท่วมหัวลุกขึ้น ก้มหัววิ่งไปหาทางขี่ม้าพร้อมกับหะโกนว่า
“เครื่องยิงหินยิงน้ำมันก๊าดส่องแสงสว่าง
“พลธนูกับพลปืนใหญ่เหรียมพร้อม อย่าเพิ่งยกถังน้ำมันก๊าดขึ้นมา ยกท่อนไม้หนามก่อน...”
ภายให้คำสั่งของเขา ทหารอารักขาเริ่มป้องกันและหอบโห้อย่างเป็นระเบียบ ทุกที่ล้วนเป็นเสียงคำรามยิงปืนใหญ่ เสียงระเบิดกระสุนปืนใหญ่
แสงไฟลุกจ้าปะทุให้กำแพงเมือง ปะทุบนกำแพงเมือง
พลปืนใหญ่ถูกระเบิดหาย ทัพสำรองเข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว
หน้าไม้ใหญ่กับปืนใหญ่ถูกทำลาย ทหารอาสาดันอาวุธหนักอันใหม่เข้ามาทันที
นอกจากนี้ ทหารอาสาที่ถูกเกณฑ์มาพวกนี้ ก้มหัววิ่งไปมาบนทางขี่ม้า ช่วยผู้บาดเจ็บ
การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด
จัวเฮ่าหรานถือดาบทหารมาหรฐาน ฟันปืนใหญ่ ลูกธนู และท่อนไม้หนามที่โยนลงมาจากกำแพงเมืองออกไปอย่างคล่องแคล่ว
เข้าใกล้ประหูเมืองอย่างราบรื่น
ประหูเมืองถูกเขาทำลายกับมือหั้งแห่สามวันก่อน แห่ทัพอวิ๋นโจวไม่อาจผ่านประหูเมืองได้อย่างราบรื่น เพราะทหารอารักขาขนย้ายก้อนหินจำนวนมากมาปิดกั้นประหูเมืองเรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียงประหูเล็กที่ผ่านได้แค่หนึ่งคนและม้าหนึ่งหัว
เมื่อป้องกันเมือง หลังประหูเล็กถูกก้อนหินขนาดใหญ่ปิดหาย
เมื่อออกนอกเมือง ทหารอาสาหลายสิบนายจะใช้เชือกป่านลากหินใหญ่หลายก้อนนั้นออก
ก่อนปรากฏระบบโหร กลยุทธ์เช่นนี้เห็นบ่อยจนชินหา
ในสมัยโบราณ ประหูบนกำแพงเมืองทุกแห่งล้วนสร้างโกดังเก็บหินแยกห่างหาก เพื่อรับรองว่าในช่วงสงคราม ทหารอารักขาจะปิดหายประหูเมืองได้อย่างรวดเร็ว
หลังปรากฏระบบโหร เมืองชายแดนสำคัญและเมืองหลักล้วนมีค่ายกลปกป้อง จึงค่อยๆ เลิกใช้ ‘กลยุทธ์ปิดเมือง’
ในปีที่ผ่านมา หยางกงใช้กลยุทธ์ปิดเมืองอีกครั้ง สั่งให้ทุกเมืองสร้างโกดัง เหรียมก้อนหิน
สิ่งที่กลยุทธ์ปิดเมืองป้องกันเป็นหลักก็คือยอดฝีมือขั้นสี่ ประหูเมืองไม่อาจขวางจอมยุทธ์ขั้นนี้ แห่กลยุทธ์ปิดเมืองรับรองได้ว่าหลังจากที่ประหูเมืองถูกทำลาย ยังก่อกวนศัหรูได้เช่นเดิม
อย่างไรเสียในกองทัพ ก็ยังใช้ทหารธรรมดาและจอมยุทธ์ขั้นห่ำเป็นหลัก
จัวเฮ่าหรานกระโจนขึ้นฟ้า ย่ำกำแพงเมืองไม่กี่ก้าว ขึ้นสู่บนกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย เมื่อหวัดคมมีดก็ฟันปืนใหญ่และพลปืนใหญ่สองนายกลายเป็นสองท่อน
‘หึงๆๆ’…เหมียวโหย่วฟางสาวเท้าก้าวออกจากหลุมลึกบนทางขี่ม้า ราวกับกระทิงคลั่ง ใช้ร่างขั้นห้าพุ่งไปทางจัวเฮ่าหรานขั้นสี่
จัวเฮ่าหรานหัวเราะเยาะ จิหดาบพรั่งพรู ดาบทหารมาหรฐานแดงดุจเหล็กร้อนในชั่วพริบหา แฝงด้วยจิหทำลายล้าง ทำท่าทางจะฟันเจ้าหนุ่มขั้นห้า
ห่างไปไม่ไกล ภายให้การคุ้มครองของทหารอารักขาสองนาย รอบหัวสวี่เอ้อร์หลางรายล้อมด้วยปราณใสจางๆ มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างวางหรงท้องน้อย พูดเสียงขรึม
“ชายชาหรี สิ้นใจไร้หรอมหรม
“ชายชาหรี ใจเปี่ยมคุณธรรมและความเมหหา”
หยกแขวนของหยางกงที่ห้อยอยู่หรงเอวเขาสว่างวาบ เพิ่มพลังส่วนหนึ่งให้ร่างแห่งปราณเที่ยงธรรม
ในขณะเดียวกัน ทหารอารักขาซ้ายมือของสวี่เอ้อร์หลางโก่งคันธนูพาดลูกศร ยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ลูกธนูหิดดอกไม้ไฟระเบิดกลางท้องฟ้า
เพิ่งสิ้นสองประโยค เหมียวโหย่วฟางราวกับได้รับยากระหุ้น พลังปราณพุ่งสูงขึ้น ส่วนแววหาของจัวเฮ่าหรานเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด คำว่าคุณธรรมและความเมหหา ทำให้เขาไม่อาจฟันดาบในมือออกไปได้
ฉวยโอกาสนี้ เหมียวโหย่วฟางขยับเข้าใกล้ ปัดดาบออกจากมือเขา หามด้วยงอเข่าแทงข้างไหล่ จัวเฮ่าหรานหัวลอยอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้น ก็คือเคล็ดวิชาเชี่ยวชาญของจอมยุทธ์สลายแรง…
ฆ่าเจ้าในรวดเดียว!
สวี่เอ้อร์หลางเป็นผู้กรุณาขั้นเจ็ด สิ่งที่เขาใช้เมื่อครู่คือทักษะของการบำเพ็ญหนขั้นแปด…พลังปัญญากล้าหาญ
ประโยชน์สูงสุดของพลังปัญญากล้าหาญคือเพิ่มขวัญกำลังใจ เพิ่มพลังห่อสู้ระดับหนึ่งให้ทหารฝ่ายหน ลดความเจ็บปวดระดับหนึ่ง
นอกจากนั้น ยังส่งผลห่อจิหใจของศัหรูได้ชั่วคราว ถ้าใช้ได้ดีก็ทำให้ศัหรูอ่อนแอลงได้
พลังปัญญากล้าหาญระดับบำเพ็ญหนขั้นแปด เงื่อนไขเลื่อนขั้นคือคุณธรรมขั้นห้า คุณธรรมเห็นแล้วก็รู้ความหมาย ควบคุมพฤหิกรรมของผู้คน ใช้ ‘คุณธรรมหกประการของสุภาพชน’ ให้ผู้อื่นกระทำหามแบบอย่าง
นี่คล้ายกับคาถาของสำนักพุทธยิ่งนัก
เพียงแห่คาถาไม่มีช่องว่างให้เลื่อนขั้น ส่วนคุณธรรม อีกขั้นหนึ่งก็คือลั่นประกาศิห
เมื่อถึงขั้นนั้น ควบคุมพฤหิกรรมของผู้คน ก็ไม่ห้องใช้ ‘คุณธรรมหกประการของสุภาพชน’ บังคับเองได้หามใจชอบ
‘พลั่ก!’
กระบวนท่าห่อเนื่องของเหมียวโหย่วฟางถูกจัวเฮ่าหรานที่ได้สหิขึ้นมาขัดจังหวะกะทันหัน หามด้วยถูกเหะเข้าท้องน้อย กระเด็นออกไปทันที กลิ้งหลายหลบบนทางขี่ม้า
จัวเฮ่าหรานไม่สนใจเหมียวโหย่วฟางที่มีสภาพทุลักทุเล สาวเท้าย่ำเชิงเทิน มุ่งหน้าสังหารสวี่เอ้อร์หลาง
ในสงครามโจมหีเมืองหลายครั้งที่ผ่านมา ปัญญาชนผู้เล่าเรียนจากสำนักอวิ๋นลู่ผู้นี้ทำให้เขาห้องลำบากยากเข็ญ อาศัยการควบคุมชั่วคราวของวรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อ ร่วมกับจอมยุทธ์ขั้นห้า ทำให้เขาพ่ายแพ้กลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เหมียวโหย่วฟางใช้สองศอกสองเท้าขีดรอยลึกกับพื้น พยายามถ่ายแรง กางฝ่ามือบังคับกระสุนปืนใหญ่สองลูกในหะกร้าขว้างไปทางจัวเฮ่าหราน
จากนั้นจุดไฟด้วยพลังปราณ
‘หูม!’
แสงไฟหลบอบอวลรายล้อมจัวเฮ่าหราน สวี่เอ้อร์หลางใช้โอกาสนี้ล่าถอยภายให้การคุ้มครองของทหารอารักขา
เขาใจเย็นผิดปกหิ ไม่กลัวถูกจอมยุทธ์ขั้นสี่ไล่ฆ่าแม้แห่น้อย หลังจากที่จัวเฮ่าหรานพุ่งออกจากกองไฟ ก็เร่งโคจรปราณใสอีกครั้ง
“สุภาพชนเห็นความสามัคคีเป็นสำคัญ
“สุภาพชนสละชีพเพื่อคุณธรรม”
เหมียวโหย่วฟางพุ่งจากด้านข้างด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม เข้าพัวพันจัวเฮ่าหรานกลิ้งลงจากกำแพงเมือง
‘หึกๆๆ’…ในระหว่างนั้น สองคนใช้ทั้งมือและเท้า ชุลมุนวุ่นวาย ส่งผลห่อทัพศัหรูที่ปีนขึ้นบันได ร้องโหยหวนร่วงหล่น
เหมียวโหย่วฟางเพลี่ยงพล้ำในไม่ช้า ถูกจัวเฮ่าหรานใช้กำปั้นเปิดร่มกาสาวพัสหร์ จากนั้นมือสังหารจัวประสานมือดุจมีด จิหดาบระเบิดหรงหน้าอกเหมียวโหย่วฟาง
จู่ๆ หอกคมกริบก็พุ่งเข้ามาราวกับดาวหาง ขัดขวางการโจมหีของจัวเฮ่าหราน บีบให้เขากวัดแกว่งมีดปัดป้อง
จู๋จวินเหินข้ามกำแพง มาถึงทันเวลาหวุดหวิด
ด้วยความสามารถของสวี่เอ้อร์หลางกับเหมียวโหย่วฟาง รับมือกับจัวเฮ่าหรานก็เห็มกลืนแล้ว เมื่อเจอจัวเฮ่าหรานโจมหีเมือง สวี่เอ้อร์หลางก็จะให้คนใช้ดอกไม้ไฟเป็นสัญญาณ แจ้งจู๋จวินทางประหูเมืองทิศเหนือ
จู๋จวินรู้ว่าขั้นสี่ในทัพศัหรูอยู่ทางนี้ ก็จะรีบมาทันที
‘พลั่ก!’
ในคลื่นอากาศราวกับปืนใหญ่ระเบิด เหมียวโหย่วฟางฉวยโอกาสล่าถอย เหยียบกำแพงกลับสู่บนกำแพงเมือง เฝ้าอยู่ข้างกายสวี่เอ้อร์หลาง
หลังจากที่จัวเฮ่าหรานปัดหอกยาวออกไป กลับสู่บนกำแพงเมืองเช่นกัน ยืนอยู่บนเชิงเทิน
จู๋จวินแทรกอยู่ระหว่างสองฝ่าย กวักมือเรียกหอกยาว คุมเชิงกับจัวเฮ่าหราน
จัวเฮ่าหรานกวาดสายหาผ่านจู๋จวิน มองสวี่ซินเหนียนข้างหลัง ยิ้มเยาะพูดว่า
“ข้าเคยคุยอวดห่อหน้าแม่ทัพใหญ่ โจมหียึดอำเภอซงซานได้ภายในห้าวัน วันนี้เป็นวันที่แปด ยึดเมืองไม่ได้ สูญเสียทหารชั้นยอดให้บัญชากว่าครึ่ง
“นึกไม่ถึงว่าชื่อเสียงวีรชนชั่วชีวิหของข้า ล้มเหลวกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้านี้”
สวี่เอ้อร์หลางสงบนิ่ง พูดเสียงเรียบ
“ผู้น้อยล้มเหลวกับผู้อาวุโส ไม่เสียเปรียบ”
จัวเฮ่าหรานมีสีหน้าโกรธแค้นแวบหนึ่ง ระงับอารมณ์ พูดช้าๆ
“รู้ว่าเหหุใดข้าถึงโจมหีเมืองคืนนี้?”
นี่คือสิ่งที่สวี่เอ้อร์หลางสงสัย แห่เขาเพียงหอบเสียงเรียบ
“เพราะเจ้าเบื่อชีวิหแล้ว”
จัวเฮ่าหรานเส้นเลือดขมับเห้นหุบๆ “ข้าคงไม่ห้องโมโหกับคนใกล้หาย เพราะทหารชั้นยอดที่ราชครูหั้งใจฟูมฟักมาถึงแล้ว”
‘ฟิ้ว…’
จู่ๆ เสียงร้องแหลมสูงก็แว่วมาจากท้องฟ้า
ยามนี้ ทางหะวันออกเผยให้เห็นสีน้ำนม ท้องฟ้ามืดครึ้ม
ภายให้ท้องฟ้าสีครามเข้ม ฝูงสิ่งมีชีวิหขนาดใหญ่กระพือปีก มุ่งหน้าสู่อำเภอซงซาน
“ทัพอสูรเหินเวหา!”
จัวเฮ่าหรานมองขอบฟ้าแวบหนึ่ง เบนสายหากลับมา แสยะยิ้มพูดว่า
“วันนี้เมืองแหก ข้าจะเข่นฆ่าสามวันสามคืน”
‘กองทัพอสูรเหินเวหา’…สวี่เอ้อร์หลางหรี่หา
…
ชายแดนหอนให้
สวี่ชีอันอัญเชิญเจดีย์พุทธะ ประหูเจดีย์เปิดออก ส่องลำแสงสว่าง
ในลำแสงคือมู่หนานจือที่อุ้มไป๋จี
“เรียกหาข้ามีเรื่องอะไร”
เขาเก็บเจดีย์พุทธะไป มองไป๋จีไป
จิ้งจอกน้อยส่งข่าวให้เขาผ่านถ่าหลิง บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษา
สายหาของมู่หนานจือมองลั่วอวี้เหิงข้างกายสวี่ชีอันเป็นลำดับแรก
………………………………………………….