ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 689 วีรกรรมยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์เต๋า
“แหม บางคนเกิดอารมณ์กระสันอีกแล้ว”
มู่หนานจือพูดอย่างไม่สบอารมณ์
นับนิ้วคำนวณ ห่างจากบำเพ็ญคู่ครั้งก่อนเกือบเดือนครึ่ง เดิมทีนางนึกว่าลั่วอวี้เหิงจะไม่มาบำเพ็ญคู่กับสวี่ชีอันอีก
แอบดีใจอยู่ไม่น้อย
แต่นางนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายเจ้าโคแก่กินหญ้าอ่อนผู้นี้จะมาบำเพ็ญคู่กับคนแซ่สวี่อีก นางอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว มียางอายหน่อยไม่ได้หรือ
ส่วนตนเองที่อายุน้อยกว่าลั่วอวี้เหิงเพียงไม่กี่ปี แน่นอนว่าไม่นับเป็นโคแก่
พระชายาคิดเสมอว่าตนเองเป็นเทพธิดาน้อย
ลั่วอวี้เหิงทำหน้าเย็นชา มองสวี่ชีอัน สีหน้าแฝงด้วยความกังวล
“สวี่หลาง ข้ารู้สึกถึงเจตนาร้ายของนาง มู่หนานจือเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง ข้าไม่มั่นใจที่จะแย่งบุรุษกับนางจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวแวบผ่านแววตาของนาง
“เพื่อไม่ให้เจ้าทิ้งข้าไป ข้าคิดว่าขายนางเข้าหอนางโลมดีกว่า ให้นางกลายเป็นหญิงมีตำหนิ เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องการนางแล้ว ไม่สิ ขายให้ชาวเผ่าลี่กู่ก่อนดีกว่า”
พูดไป ยกมือคว้าข้อมือของมู่หนานจือไป ดึงนางเดินออกนอกห้อง
เจ้าก็รอบคอบเกินไปหน่อยกระมัง ชาวเผ่าลี่กู่มีรสนิยมต่างออกไป ไม่ชอบสาวผิวขาว…สวี่ชีอันรีบแย่งเทพดอกไม้ของเขากลับมา พูดเสียงขรึม
“ราชครู มีเรื่องสำคัญ”
มู่หนานจือพิงอยู่ในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน กะพริบตาหลายครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พูดเสียงสั่นเครือ
“นาง นางจะขายข้าเข้าหอนางโลมจริงๆ…”
รู้จักกันมาหลายปี ลั่วอวี้เหิงล้อเล่นหรือไม่ นางแยกออก
“สภาพในยามนี้ของนางมีปัญหา ไม่ใช่ราชครูที่ถูกต้อง” สวี่ชีอันส่งกระแสจิตอธิบาย
ลั่วอวี้เหิงตรงหน้าผู้นี้คือ ‘เสี่ยวจวี้’ นางหวาดกลัวทุกอย่าง เพราะความกลัวถึงได้รอบคอบ
ทุกวันตื่นเช้ามา ทั้งที่เมื่อคืนบำเพ็ญคู่แล้ว นางก็จะต้องบำเพ็ญอีกรอบ หลังมื้อกลางวัน นางก็จูงสวี่ชีอันเข้าห้องไปบำเพ็ญคู่อีก
เหตุผลคือแม้สะกดกลั้นและหลอมเผาไฟแห่งกรรมผ่านการบำเพ็ญคู่ แต่ขอเพียงยังมีความเป็นไปได้ที่จะปะทุขึ้น งั้นก็ไม่อาจวางใจง่ายๆ
ความน่าจะเป็นเก้าสิบแปดส่วนร้อยว่าไม่ปะทุขึ้น ปัดเศษเป็นจำนวนเต็มเท่ากับปะทุขึ้นแน่นอน ไม่ผิดปกติ!
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหน้าพูดว่า
“สวี่หลางเคยเห็นโฉมหน้าแท้จริงของนาง ข้าก็เคยเห็น หญิงงามเช่นนี้ ปล่อยให้อยู่ต่อไปก็เป็นหายนะ
“ข้าไม่อาจนิ่งดูดายให้นางล่อลวงสามีของข้า กำจัดนางถึงเป็นแผนที่ดีที่สุด”
บุคลิกทั้งเจ็ดล้วนเสียสติ…สวี่ชีอันคร้านจะอธิบายเหตุผลใหญ่โตให้บุคลิกที่อยู่ได้เพียงวันเดียวฟัง พูดคล้อยตามว่า
“วางใจ ข้าจะไม่ทรยศราชครูเด็ดขาด”
ลั่วอวี้เหิงส่ายหน้าเบาๆ
“ข้าไม่เชื่อ นอกจากเจ้าจะสาบานว่าชาตินี้ไม่แตะต้องนาง ไม่รักนาง”
นี่มัน…สวี่ชีอันลอบมองมู่หนานจือแวบหนึ่ง
นึกไม่ถึงว่าเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดก็ไม่ยอมลดละ ออกแรงดิ้นจากในอ้อมแขนของคนแซ่สวี่ ยิ้มเยาะพูดว่า
“ได้ วันนี้เจ้าเป็นใหญ่ เจ้าอยากขายข้าเข้าหอนางโลมที่ใด ก็ขายไปที่นั่น”
พูดจบ นางชูข้อมือขึ้น ถอดสร้อยข้อมือออก
รูปโฉมงดงามก็คืออาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทพดอกไม้ นางเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าบุรุษผู้ใดก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของนาง บุรุษผู้ใดก็ตามที่เห็นโฉมหน้าแท้จริงของนาง ล้วนไม่อาจหักใจให้นางถูกขายเข้าหอนางโลม
ครู่นั้นที่ถอดสร้อยข้อมือออก ทั้งที่เป็นห้องซอมซ่อของเผ่าลี่กู่ แต่กลับเจิดจ้าไปทั่ว
ไป๋จีเงยหน้าขึ้นอย่างเคลิบเคลิ้ม มองหญิงงามผู้ซึ่งไม่อาจพรรณนาได้ด้วยวาจาหรือภาษาใดก็ตาม
หรือพูดได้ว่าถ้า ‘รูปโฉมงดงาม’ คือคำศัพท์ที่สร้างขึ้นเพื่อประเมินคนผู้หนึ่ง งั้นก็ต้องเป็นสตรีนางนี้ตรงหน้าแน่นอน
นางเพริศแพร้วแต่ไม่ดาษดื่น หยาดเยิ้มแต่ไม่ยั่วยวน หน้าตาไร้ซึ่งตำหนิเป็นเพียงมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่สุด ใบหน้าของนางเปล่งประกายด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล ท่วงท่าของนางพาให้ถอนตัวไม่ขึ้น
แม้เป็นหญิงงามชั้นยอดที่มีพลังพิเศษติดตัวเช่นลั่วอวี้เหิงนี้ อยู่ต่อหน้านางก็ด้อยลงไปทันที
“ขายเข้าหอนางโลมไม่ได้ นางเป็นของข้า!”
ไป๋จีเงื้ออุ้งเท้าฟาดลงไป ประกาศอย่างแข็งกร้าว
เสียงคำรามน่าเอ็นดูปลุกสวี่ชีอันให้ได้สติขึ้นมา เขารีบคว้าข้อมือของมู่หนานจือ สวมสร้อยข้อมือกลับไป พร้อมทั้งส่งกระแสจิตบอกไป๋จี
“เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญไม่ใช่หรือ จิ้งจอกเก้าหางมีเรื่องจะพูดกับข้าใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว!” จิ้งจอกขาวน้อยพูดอย่างสะลึมสะลือ
เขาลอบมองลั่วอวี้เหิงที่มีสีหน้าอึมครึมขึ้น มีแววตาหวาดกลัวขึ้น รีบกระซิบว่า
“เรียกนางมา”
มีเพียงฉลามที่ต่อสู้กับฉลามได้
ไป๋จีร้อง “อืม” กระโดดออกจากอ้อมแขนของมู่หนานจือ ยืนบนพื้นอย่างมั่นคง มองสวี่ชีอัน ยกอุ้งเท้าชี้โต๊ะสี่เหลี่ยมธรรมดา พูดเสียงหวานว่า
“เจ้าวางข้าไว้บนนั้น”
สวี่ชีอันทำตามคำพูด วางไป๋จีไว้บนโต๊ะ มันเริ่มขดตัว หางจิ้งจอกฟูนุ่มพาดอยู่บนตัว
ไม่กี่วินาทีต่อมา จิตใจอันแรงกล้ามาถึง ไป๋จีลืมตาช้าๆ ตาซ้ายพรั่งพรูด้วยแสงใสราวกับหมอกควัน
มันกวาดตามองสามคนในห้องแวบหนึ่ง พินิจสวี่ชีอัน ยิ้มหวานพูดว่า
“เจ้าดูเหมือนร้อนใจอยู่บ้าง”
น้ำเสียงอ่อนหวานน่าหลงใหล ไพเราะเสนาะหู เป็นเสียงของจิ้งจอกเก้าหาง
ไม่ร้อนใจได้หรือ ปลาในบ่อจะสู้กันเองแล้ว…สวี่ชีอันมองมู่หนานจือกับลั่วอวี้เหิง เห็นพวกนางจ้องจิ้งจอกเก้าหางด้วยเจตนาร้ายเล็กน้อย ก็รู้ว่าวิธีเบี่ยงเบนความขัดแย้งได้ผล
เขาพูดเสียงเรียบ
“องค์หญิงเรียกข้ามามีเรื่องอะไร”
“อีกไม่นานข้าก็จะกลับแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว เจ้าไปรอที่ภูเขาสือว่านได้แล้ว” จิ้งจอกเก้าหางยิ้มพูด
สวี่ชีอันใคร่ครวญชั่วครู่ วิเคราะห์ว่า
“ด้วยการวางเค้าโครงในชายแดนตอนใต้ของสำนักพุทธ อาศัยอาซูหลัวเพียงผู้เดียว เกรงว่าคงยากที่จะตีเสมอพวกเรา เป็นไปได้หรือไม่ที่ตู้เอ้อร์กับกว่างเสียนจะเข้าร่วมสงคราม”
ไป๋จีนั่งหมอบบนโต๊ะ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู คำพูดที่ออกมากลับเป็นเสียงของพี่สาวที่เป็นผู้ใหญ่
“ได้รับประโยชน์จากความเกรียงไกรของฆ้องเงินสวี่ สำนักพุทธสูญเสียพระอรหันต์หนึ่งรูป เทพอารักษ์สองตน เจียหลัวซู่อยู่ชิงโจวควบคุมท่านโหราจารย์ สำนักพุทธจะปกป้องภูเขาสือว่าน ตู้เอ้อร์ย่อมต้องเข้าร่วม
“ส่วนกว่างเสียน น่าจะส่งร่างอวตารเข้าร่วม”
สวี่ชีอันเลิกคิ้ว
“ส่งเพียงร่างอวตาร?”
จิ้งจอกเก้าหางยิ้มหวานพูดว่า “กว่างเสียนรักษาการณ์อรัญตา ห้าร้อยปีไม่เคยจากไป เจ้าคิดว่าเขาเฝ้าอะไรอยู่”
เฝ้าพระพุทธเจ้าที่บรรทม ถ้าเป็นเช่นนี้ ความยากในการแย่งภูเขาสือว่านคืนก็จะลดลง ถึงยามนั้นสนับสนุนปีศาจทักษิณคุมเชิงกับสำนักพุทธ…สวี่ชีอันรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อย่างน่าประหลาด
‘การกวาดล้างปีศาจหกสิบปี’ คือสงครามที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ ยามนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือการเพิ่มความพลิกผันให้กับประวัติศาสตร์ช่วงนี้
หลายปีต่อมา คนรุ่นหลังอาจเขียนเช่นนี้ในหนังสือประวัติศาสตร์
‘ห้าร้อยปีหลังจากการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี ด้วยความช่วยเหลือของสวี่ชีอันฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง ปีศาจทักษิณขับไล่สำนักพุทธออกจากซินเจียงตอนใต้ ยึดบ้านเกิดคืนมาได้!’
สายตาของจิ้งจอกเก้าหางจ้องอยู่บนร่างลั่วอวี้เหิง หรี่ตายิ้มพูด
“ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ก็จะช่วยเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้าอีกแรง? จิ๊ๆ สมกับเป็นเจ้า รับหนึ่งในนักพรตหญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวเข้าสู่วังใน”
ไม่ใช่ นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตาย ลั่วอวี้เหิงเป็นคนที่เจ้าหยอกล้อเช่นนี้ได้? สวี่ชีอันตำหนิในใจ สังเกตสีหน้าของลั่วอวี้เหิง เห็นนางทำหน้าเย็นชาไม่สนใจ พูดอย่างจนปัญญาว่า
“ไม่ใช่ อีกไม่กี่วันราชครูก็จะปลีกวิเวก ไม่เข้าร่วมสงครามชายแดนตอนใต้”
สำหรับเขา ลั่วอวี้เหิงสยบไฟแห่งกรรมได้โดยเร็ว หนีเคราะห์กรรมกลายเป็นเซียนครองพิภพ ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
มีผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นหนึ่งสักท่านคอยรักษาการณ์ ต้าฟ่งถึงจะมั่นคง
ก่อนหน้านั้น อะไรก็ตามที่อาจทำลายลั่วอวี้เหิง ‘สมดุล’ สงคราม ล้วนเป็นความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้าอย่างผิดหวังอยู่บ้าง
“องค์หญิงอย่าเพิ่งไป ทางข้านี้มีข่าวสำคัญ ไม่รู้ว่าสนใจแลกเปลี่ยนหรือไม่”
สวี่ชีอันทำตามหลักการความรู้ก็คือความมั่งคั่ง คิดจะขายบทสนทนาของเทพกู่กับไป๋ตี้ให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ สำหรับข้อมูลลับเช่นนี้ ย่อมต้องสนใจแน่นอน
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางร้อง ‘เหอะ’ ขึ้นมา
“งั้นก็ต้องดูว่าข่าวของเจ้าคู่ควรให้ข้าสนใจหรือไม่”
สวี่ชีอันพูดเสียงขรึม
“ไม่นานมานี้ ไป๋ตี้ที่เคยปรากฏตัวที่อวิ๋นโจว มาหาเทพกู่ที่เผ่าพันธุ์กู่ ถามคำถามเขาสามข้อ”
แสงใสที่พรั่งพรูจากตาซ้ายของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสั่นไหวเล็กน้อย สำรวมท่าทางยั่วยวน
“เจ้าดึงดูดความสนใจของข้าได้สำเร็จ”
สวี่ชีอันจึงเล่าบทสนทนาของไป๋ตี้กับเทพกู่ให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางฟัง
พูดจบ เขายิ้มพูดว่า “องค์หญิงคิดจะใช้ค่าตอบแทนอะไรแลกเปลี่ยนความลับนี้”
“บังเอิญพอดี!”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มหวานพูดว่า
“เมื่อข้าเดินทางสู่โพ้นทะเล ก็เคยเจอไป๋ตี้ รู้สาเหตุที่ยามนั้นผู้สืบสายเลือดเทพกู่บรรพกาลหนีออกจากแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว ซ้ำยังเกี่ยวข้องกับคำถามสามข้อนี้”
สวี่ชีอันหน้าขรึมทันที โพล่งปากถามว่า
“เหตุผลอะไร!”
แม้เผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นหลังประกาศบ่อยครั้ง ยุคเทพกู่บรรพกาลจบสิ้นโดยบรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลังจากที่เทพกู่บรรพกาลเสื่อมอำนาจ ผู้สืบสายเลือดเทพกู่บรรพกาลก็ถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์สังหารหมดสิ้น แต่สวี่ชีอันรู้ว่าหลังจากที่เทพกู่บรรพกาลเสื่อมอำนาจ ผู้สืบสายเลือดของเขาเคยปกครองจิ่วโจวอีกนานหลายปี
ในเวลานั้น แม้เผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจค่อยๆ รุ่งเรือง แต่ไม่ปรากฏขั้นเหนือมนุษย์ ขั้นหนึ่งเกรงว่าล้วนหาได้ยากยิ่ง
ยากที่จะต่อต้านผู้สืบสายเลือดเทพกู่บรรพกาลที่มีจำนวนมาก
เพียงแต่ไม่สิ้นหวังเหมือนยุคเทพกู่บรรพกาลก็เท่านั้น
แต่แผ่นดินใหญ่จิ่วโจวในยามนี้ ถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์ปกครองโดยสมบูรณ์ ครั้งก่อนจิ้งจอกเก้าหางพูดไว้ ยุคโบราณจู่ๆ ผู้สืบสายเลือดเทพกู่บรรพกาลจำนวนมากก็ออกจากแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว เดินทางสู่โพ้นทะเล
ลั่วอวี้เหิงกับมู่หนานจือก็สนใจเช่นกัน ฝ่ายแรกในฐานะหนึ่งในยอดฝีมือแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว ย่อมต้องสนใจ
ฝ่ายหลังกลับอยากรู้อยากเห็นเป็นหลัก
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพูดชัดถ้อยชัดคำ
“พวกมันถูกปรมาจารย์เต๋าขับไล่ออกจากจิ่วโจว”
ถูกปรมาจารย์เต๋าขับไล่…ดังนั้นไป๋ตี้ต้องการถามว่าปรมาจารย์เต๋าอยู่ที่ใด…ยามนั้นเหตุใดปรมาจารย์เต๋าต้องไล่ผู้สืบสายเลือดเทพกู่บรรพกาลออกจากจิ่วโจว มารดาเขาก็ถูกผู้สืบสายเลือดเทพกู่บรรพกาลกินหรือ
นอกจากนี้ ผู้เฝ้าประตูหมายความว่าอะไร เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เต๋าหรือไม่…
ครู่หนึ่งนี้ ในสมองสวี่ชีอันดุจฟ้าแลบแวบผ่าน แต่ละความคิดพรั่งพรูดุจฟองอากาศ จากนั้นแตกสลายในชั่วพริบตา
เขาเหมือนจะจับทางอะไรได้
สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับสืบสวนคดีที่มีเบาะแสไม่เพียงพอ มีการคาดเดา แต่ไม่อาจพิสูจน์
ในขณะเดียวกัน เขายังนึกได้อีกหนึ่งคำถาม หลังจากรู้ว่าปรมาจารย์เต๋าอาจเสื่อมถอย ไป๋ตี้จะหวนคืนจิ่วโจวหรือไม่
…
ที่ว่าการสมุหเทศาภิบาลชิงโจว
ในห้องโถง หยางกงนั่งอยู่หลังโต๊ะ ฟังพวกนายทหารฝ่ายเสนาธิการโต้เถียงไม่จบสิ้น
แนวหน้าส่งข่าวกรองทางทหารมาสองเรื่อง เมืองหว่านถูกล้อมด้วยกองทัพสองหมื่นนาย ทัพอวิ๋นโจวล้อมแต่ไม่โจมตี สังหารทหารม้าสามเส้นทางที่ไปสนับสนุนจนหมดสิ้น
กองทัพชิงโจวเสียหายอย่างหนัก
สถานการณ์เมืองตงหลิงยิ่งย่ำแย่ยิ่งซับซ้อน ซุนเสวียนจีกับจีเสวียนต่อสู้กันอย่างยิ่งใหญ่ จนกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งกลายเป็นซากปรักหักพัง
ตงหลิงไม่ใช่ปัญหาว่าจะปกป้องไว้ได้หรือไม่อีกต่อไป เมืองนี้ล่มสลายแล้ว
ยามนี้ทัพชิงโจวที่เดิมทีตั้งมั่นและรักษาการณ์ตงหลิงถอนทัพออกจากกำแพงเมือง เข้าสู่สนามรบกับทัพกบฏอวิ๋นโจว สถานการณ์ถึงทางตัน
แม้ไม่ได้พ่ายแพ้ แต่แนวป้องกันตงหลิงนี้หายไปแล้ว
“จื่อเชียน!”
หลี่มู่ไป๋พ่นลมหายใจช้าๆ
“ทหารกองหนุนที่ส่งไปเมืองหว่านถูกซุ่มโจมตี เพราะในทัพกบฏมีกองทัพอสูรเหินเวหา เผชิญหน้ากับหน่วยสอดแนมของกองทัพอสูรเหินเวหา ฝ่ายเราเดินทัพไม่มีความลับอีกต่อไป
“นี่คือทางตัน”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการนิ่งเงียบ
ต้าฟ่งไม่มีกองทัพอสูรเหินเวหา เท่ากับยกท้องฟ้าให้ศัตรู ทุกการเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาของศัตรู จะไม่แพ้ได้อย่างไร
และสิ่งที่จะรับมือกองทัพอสูรเหินเวหาได้ มีเพียงกองทัพอสูรเหินเวหา
หยางกงคลึงหว่างคิ้ว พ่นลมหายใจยาว
“ข้าส่งข่าวด่วนให้ราชสำนักแล้ว ขอเกณฑ์อินทรีหางแดงของเหลยโจว”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการท่านหนึ่งพูดอย่างท้อใจ
“แต่ยังไม่พอด้วยซ้ำ เหลยโจวจะเกณฑ์ได้สักกี่ตัว ราชสำนักขายอินทรีหางแดงให้สมาคมพ่อค้าและตระกูลขุนนางท้องถิ่นตั้งนานแล้ว
“อีกทั้งอินทรีหางแดงไม่เคยเข้าร่วมสงคราม จะมีพลังต่อสู้ได้มากเพียงใด หยางกง ถ้าไม่อาจต้านทานกองทัพอสูรเหินเวหาของศัตรู สงครามต่อจากนี้ไม่ดีสำหรับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง”
…………………………………………..