ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 690 กำลังเสริม (1)
หยางกงยกถ้วยชามาจิบน้ำชาที่ร้อนจัดอึกหนึ่ง ก่อนเอ่ยช้าๆ ว่า
“หากคิดจะจัดการกองทัพอสูรเหินเวหาก็มิใช่เรื่องยาก ให้จางเซิ่นร่วมมือกับยอดฝีมือในกองทัพและไล่ตีแตกไปทีละจุดก็สิ้นเรื่อง”
ทหารสามัญและจอมยุทธ์ระดับล่างไม่มีทางรับมือกับกองทัพอสูรเหินเวหาได้ แต่ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ยอดฝีมือขั้นสี่ซึ่งเหาะเหินเดินอากาศได้จะจัดการกับกองทัพอสูรเหินเวหา
หลี่มู่ไป๋หันไปเหลือบมองสหายรักแล้วเอ่ยเตือนว่า
“กองทัพอสูรเหินเวหาก็มียอดฝีมือ ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการตอบโต้ง่ายๆ เช่นนี้ พวกเราคิดได้แล้วทัพกบฏจะคิดไม่ถึงหรือ ไม่แน่ว่าอาจเป็นอุบายเชิญท่านลงอ่างอย่างหนึ่งก็ได้”
การให้ยอดฝีมือขั้นสี่ออกจากกองบัญชาการสูงสุดและต่อสู้กับศัตรูตามลำพังนั้นอันตรายร้ายแรงเกินไป ไม่แน่ว่าอาจจากไปไม่หวนกลับ
“หากพวกเรามีกองทัพอสูรเหินเวหาก็ดีสิ”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการเอ่ยด้วยความปลดปลง
“บางที พวกเราอาจขอกำลังเสริมจากคนเถื่อน และขอให้แมงมุมปีกนกของฝ่ายพฤกษาสุวรรณลงใต้ไปช่วยสนับสนุนได้”
ผู้พูดไม่มีเจตนาหากแต่สะกิดใจผู้ฟัง นายทหารฝ่ายเสนาธิการทางด้านซ้ายผู้หนึ่งหัวใจกระตุกวูบ ทว่าความคิดนี้ก็ถูกหักล้างอย่างรวดเร็ว
“ข้อคิดเห็นของท่านแตกต่างจากการร้องขอให้ราชสำนักระดมพลอินทรีหางแดงอย่างไรเล่า อีกทั้งชายแดนทางเหนือก็ห่างจากชิงโจวเป็นแสนลี้ จะมาทันได้อย่างไร”
“ให้ซุนเสวียนจีช่วยดีหรือไม่ เขาเป็นโหรระดับสาม หากเขารับผิดชอบเรื่อง ‘การขนส่ง’ ได้ ก็น่าจะเป็นไปได้นะ”
“หากซุนเสวียนจีไปแล้ว ผู้ใดจะยับยั้งจีเสวียนล่ะ เฮ้อ คิดไม่ถึงว่าจะมีจอมยุทธ์ขั้นสามรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งอยู่ในทัพกบฏอวิ๋นโจวด้วย”
“ทว่าแผนการขอกำลังเสริมจากคนเถื่อนนั้น อันที่จริงก็มีความเป็นไปได้ แต่ตามขั้นตอนแล้วต้องส่งจดหมายถึงราชสำนักก่อน จากนั้นราชสำนักจึงจะส่งทูตขึ้นเหนือ แม้คนเถื่อนจะตอบรับด้วยความยินยอมพร้อมใจ แต่กว่ากองทัพอสูรเหินเวหาของฝ่ายพฤกษาสุวรรณจะลงใต้เพื่อเข้าร่วมสงครามก็เป็นเรื่องภายหลังต้นวสันตฤดูแล้ว”
“น้ำที่อยู่ห่างไกลมิอาจดับความกระหายได้นะ”
“ท่านทั้งหลายวิสัยทัศน์สั้นเกินไปแล้ว ตอนนั้นที่ปลดประจำการกองทัพอสูรเหินเวหาเนื่องจากแผ่นดินสงบสุขจึงไม่ต้องใช้กองกำลัง ทว่าหลังการสู้รบที่เมืองจิ้งซาน ทุกท่านก็ควรจะระแวดระวังได้แล้ว”
“หากเว่ยกงยังอยู่ เขาคงรีบฝึกกองทัพอสูรเหินเวหานานแล้วเป็นแน่”
“หากพวกเรามีกองทัพอสูรเหินเวหาก็ดีสิ”
หลี่มู่ไป๋เคาะโต๊ะขัดจังหวะหัวข้อสนทนาเปล่าประโยชน์นี้แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ตงหลิงถูกทำลายแล้ว ทหารอารักขาภายใต้การนำของซุนเสวียนจีได้เปลี่ยนทัพกบฏเป็นจุดยุทธศาสตร์ และคุมเชิงกันอยู่ทางทิศเหนือและใต้ หว่านจวิ้นถูกปิดล้อม ทัพกบฏตัดสินใจจะใช้ความสามารถในการตรวจจับของกองทัพอสูรเหินเวหาดึงกองกำลังส่วนหนึ่งออกมาปิดล้อมฐานที่มั่น แล้วใช้กองกำลังหลักโจมตีฐานที่มั่นของกองกำลังเสริม นี่นับเป็นสงครามที่ค่อยๆ ผลาญกำลังของศัตรู และจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันในระยะเวลาอันสั้น
“แต่หากไม่สนใจเป็นเวลานาน ช้าเร็วหว่านจวิ้นจะสิ้นเสบียงและอาวุธ”
เขาชะงักครู่หนึ่ง ก่อนมองเหล่าทหารฝ่ายเสนาธิการด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วเอ่ยว่า
“หากมิอาจหาทางแก้ไขสถานการณ์ยากลำบากของหว่านจวิ้นได้ เช่นนั้นก็ต้องคิดหาทางรักษาอำเภอซงซานไว้”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการรอบข้างตะลึงงัน ก่อนตอบสนองโดยการหันมาทางหยางกง
“หัวหน้า หากข้าจำไม่ผิด จนถึงตอนนี้อำเภอซงซานยังไม่มีข่าวดีส่งมาเลยนะ ยิ่งไม่มีจดหมายขอกำลังเสริมมาด้วย”
หยางกงพยักหน้า
“เทียบกับตงหลิงและหว่านจวิ้นแล้ว อำเภอซงซานมีความสำคัญเป็นรอง ทัพกบฏอวิ๋นโจวต้องโจมตีสองที่แรกก่อนเป็นแน่”
หลี่มู่ไป๋ส่งเสียง ‘อืม’
“อำเภอซงซานครอบครองชัยภูมิและเสบียงอาหารบริบูรณ์ ทั้งยังมีจู๋จวินและเอ้อร์หลางนั่งรักษาการณ์ คิดว่าคงป้องกันไว้ได้ ทว่าดูจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ตงหลิงแตกและหว่านจวิ้นถูกปิดล้อมแล้ว
“ก้าวต่อไปของทัพกบฏอวิ๋นโจวก็คืออำเภอซงซานนี่ละ”
ขณะที่เอ่ยอยู่นั้น เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็รีบร้อนเข้ามาพร้อมกับสาส์นลับในมือ แล้วเอ่ยเสียงสูงว่า
“ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาล มีรายงานด่วนจากอำเภอซงซานขอรับ”
หยางกงรีบเอ่ยว่า “ส่งมา”
เจ้าพนักงานจึงส่งสาส์นลับขึ้นไป
ทันทีที่หยางกงเปิดออกอ่าน สีหน้าก็พลันดำดิ่ง
หลี่มู่ไป๋และคนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็เย็นเยือกหัวใจ “ในสาส์นว่าอย่างไร”
หยางกงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“กองทัพอสูรเหินเวหาบุกโจมตีอำเภอซงซาน เอ้อร์หลางขอกำลังเสริม”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ขึ้นมา
“นี่เป็นสาส์นเมื่อสามวันก่อน”
จากอำเภอซงซานใช้ม้าเร็วห้อตะบึงมาถึงเมืองชิงโจวต้องใช้เวลาสามวัน
…
อำเภอซงซาน
ดวงตะวันเจิดจ้า แต่กลับไม่นำพาความร้อนมาแม้แต่น้อย สวี่เอ้อร์หลางยืนอยู่ยอดกำแพงเมืองพลางคว้าเศษหินที่ปะปนโลหิตของทหารอารักขาและควันดินปืนขึ้นมา
เขามองไปรอบๆ โดยไม่แสดงสีหน้า ยอดกำแพงเมืองเต็มไปด้วยหลุมระเบิดเป็นรอยแตกกระดำกระด่างจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม
ทหารถูกห่อด้วยผ้ากระสอบและผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดกระจัดกระจายอยู่ประปราย ไม่เห็นร่างที่สมบูรณ์แม้แต่คนเดียว
และผู้ที่รั้งอยู่ด้านบนสุดของกำแพง คือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดในบรรดาทหารอารักขาของอำเภอซงซาน
เดิมอำเภอซงซานมีทหารอารักขาสองพันนาย บัดนี้เหลือเพียงห้าร้อยนาย คนอื่นๆ ได้เสียชีวิตในสงครามด้วยการบุกและตั้งรับอันโหดร้าย
สามวันผ่านไปนับตั้งแต่การบุกโจมตีของกองทัพอสูรเหินเวหา
วิธีการโจมตีของกองทัพอสูรเหินเวหานั้นแสนง่ายดาย คือการขว้างกระสุนปืนใหญ่และกระปุกน้ำมันเชื้อเพลิงมายังยอดกำแพงเมือง เหล่าทหารอารักขากระทำกับทัพศัตรูที่ล้อมเมืองอย่างไร กองทัพอสูรเหินเวหาก็รับมือกับทหารอารักขาเช่นนั้น
แนวทางอันแสนง่ายดายแต่กลับอันตรายถึงชีวิต
ทหารอารักขาสละชีวิตทางตรงไปเกือบพันคนในวันแรก ด้านบนของกำแพงเมืองถูกกระสุนปืนใหญ่ระเบิดเป็นหลุมนับพัน ก้อนอิฐก้อนหินถูกเผาเกรียมถ้วนทั่ว
เมื่อเวลาพลบค่ำ ข้าศึกจึงถอยกลับ
หลังผ่านหนึ่งวันอันสิ้นหวังเช่นนี้ ขวัญกำลังใจของทหารอารักขาก็ทรุดฮวบ และคิดว่าเมืองจะต้องถูกทำลายในวันพรุ่งนี้แน่แล้ว จิตใจจึงล่องลอยไม่เป็นส่ำ
สวี่เอ้อร์หลางส่งคนไปเก็บกระจกทองเหลืองจากทุกครัวเรือนในเมืองตลอดทั้งคืน และเรียกรวมช่างฝีมือมาปรับแปลงคันศรยักษ์เป็นหน้าไม้ทรงพลังที่สามารถยิงขึ้นไปในอากาศได้
เมื่อเข้าวันที่สอง กองทัพอสูรเหินเวหาก็บุกโจมตีอีกครั้ง กระจกทองเหลืองที่วางไว้ทั่วยอดกำแพงเมืองได้หักเหแสงแดดจนทำให้กองทหารม้าและอสูรเหินเวหาตาเกือบบอด
ทหารอารักขาจึงฉวยโอกาสยิงธนูหน้าไม้ อสูรเหินเวหาร่วงไปสิบสองตัว และขับไล่กองทัพอสูรเหินเวหาได้สำเร็จ ผลลัพธ์อันน่ายินดีนี้ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารอารักขาเพิ่มพูนขึ้นมาก
แต่สวี่เอ้อร์หลางรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้สามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้เพราะความคาดไม่ถึงเท่านั้น หลังเวลาสายัณห์ กระจกทองเหลืองก็จะไม่เป็นผลอีกต่อไป
ดังนั้น ภายหลังกองทัพข้าศึกถอนกำลัง เขาจึงให้ทหารอารักขาด่าประจานจัวเฮ่าหรานที่ยอดกำแพงเมือง ตั้งใจดูหมิ่นสมาชิกครอบครัวหญิงของอีกฝ่าย หลังจากก่นด่าไปหนึ่งชั่วยาม จัวเฮ่าหรานซึ่งถูกยั่วยุจึงนำกองกำลังเข้าโจมตีเมือง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกครั้งและสูญเสียกันทั้งคู่
จัวเฮ่าหรานกลับไปด้วยความพ่ายแพ้ หลังตะวันรอน เนื่องจากทหารราบของทัพข้าศึกเกิดการสูญเสียอย่างหนัก หลังจากระดมทิ้งระเบิดอย่างเร่งรีบ กองทัพอสูรเหินเวหาจึงล่าถอยไป
ตกกลางคืน สวี่เอ้อร์หลางก็เกณฑ์กองกำลังอาสามารวมตัวกว่าพันคน และสั่งให้จู๋จวินพร้อมเหมียวโหย่วฟางนำขบวนตีค่าย สุดท้ายก็เหลือรอดกลับมาเพียงสามร้อยกว่าคนเท่านั้น
จนถึงขณะนี้ กองกำลังทหารอันเกรียงไกรของทั้งสองฝ่ายถูกทำลายเกือบสิ้น
“ข้าได้ส่งคนไปขอกำลังเสริมจากเมืองชิงโจวแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับว่ากำลังเสริมของใครจะมาถึงก่อนกัน”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยเสียงต่ำ
เหมียวโหย่วฟางซึ่งอยู่ข้างกายยิ้มไม่ออกมาสามวันแล้ว เขาโค้งหลังคำนับแล้วกระซิบ ‘อืม’ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติอีกครั้ง จึงขมวดคิ้วพลางว่า
“แม้กองทัพของจัวเฮ่าหรานจะได้รับความเสียหายและเหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยคน ทว่ากองทัพอสูรเหินเวหายังคงสภาพสมบูรณ์ หากการโจมตีทุกคืนพวกเรายังคงได้แต่พ่ายแพ้ เกรงว่าจะยืนหยัดอยู่ไม่ทันการมาถึงของกำลังเสริม…”
ทันใดนั้นเขาก็เบิกตาโต ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
สวี่เอ้อร์หลางยิ้มพลางว่า “หากกำลังเสริมของพวกเรามาก่อน เช่นนั้นแม้จัวเฮ่าหรานจะยึดอำเภอซงซานได้ ก็จะถูกบีบให้ล่าถอยเนื่องจากกำลังคนไม่พอ อำเภอซงซานก็จะยังคงเป็นของพวกเรา”
ทว่าทหารอารักขาที่นี่และชาวบ้านในเมืองก็จะกลายเป็นหมากที่ถูกทอดทิ้ง…เหมียวโหย่วฟางมุมปากกระตุก “หากถึงขั้นนั้นจริง ข้าจะพาท่านถอยไปก่อน”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยเสียงเบาว่า
“เช่นนั้นก็ขายหน้านักแล้ว พี่ใหญ่ปกป้องด่านอวี้หยางคนเดียว ข้ากลับวิ่งหนีหางจุกก้น”
เหมียวโหย่วฟางพลันขมวดคิ้ว ในใจก็พูดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน หากถึงเวลาแล้วท่านไม่ไป ข้าจะตีท่านจนสลบเสีย
ต่อมาจึงได้ยินสวี่เอ้อร์หลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า
“ข้าเพียงปลดปลงครู่หนึ่งเท่านั้น ข้าไม่ดื้อหรอก แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาในการทหาร จักรพรรดิเกาจู่ก่อจลาจลในตอนนั้น ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาพ่ายแพ้
“หากเป็นความดื้อรั้นจริงๆ ก็ไม่มีต้าฟ่งในตอนนี้แล้ว ผู้มีวิสัยทัศน์ย่อมทนต่อช่วงเวลาอัปยศชั่วขณะได้
“แต่ข้าก็เข้าใจพวกวีรบุรุษในหนังสือประวัติศาสตร์ที่ยอมตายดีกว่าล่าถอย ทหารที่ตรากตรำร่วมกับข้าล้วนอยู่ที่นี่ แล้วข้ามีหน้าที่ไหนไปเอาตัวรอด”
ขณะที่เขากำลังพูด บนท้องฟ้าอันไกลโพ้นก็ปรากฏเป็นนกฝูงใหญ่
ฝูงนกเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงคำรามทรงพลังอึกทึก
เหมียวโหย่วฟางและสวี่เอ้อร์หลางหน้าถอดสี พวกคนป่วยคนเจ็บที่นั่งพักอยู่ด้านบนกำแพงเมืองก็สังเกตได้ถึงความเคลื่อนไหวบนท้องฟ้า และลุกขึ้นด้วยความหวาดผวา
พวกเขามองไปยังฝูงอสูรบินได้ดำทะมึนนั่นด้วยแววตาสิ้นหวังและสีหน้าซีดเผือด
“มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว…”
“จำนวนมากขนาดนี้ นี่ นี่จะให้พวกเราป้องกันอย่างไร”
อารมณ์สิ้นหวังแพร่กระจายไปในหมู่ทหารอารักขา
“ใต้เท้าสวี่ กองทัพอสูรเหินเวหามาอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว รักษาอำเภอซงซานไว้ไม่ได้แล้ว พวกเราถอยเถอะ”
หัวหน้ากองร้อยนายหนึ่งวิ่งมาด้วยความตื่นตระหนก
ตอนที่เอ่ยคำเหล่านี้ สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่สวี่เอ้อร์หลาง ในแววตาประกอบด้วยอารมณ์ซับซ้อน ทั้งวิงวอน สิ้นหวัง และความหวังที่จะมีชีวิตรอด
สวี่เอ้อร์หลางพลันแววตาดำมืด ปวดหัวจนแทบระเบิด
ใช่แล้ว ในแง่ของกำลังเสริม จะมีกองทัพประเภทใดที่มีความเร็วในการเดินทางเทียบเคียงกองทัพอสูรเหินเวหาได้เล่า
แล้วเขายังคิดไปเทียบความเร็วกับทัพอวิ๋นโจวอีก เทียบได้อย่างไรกัน
‘ตูม!’
สวี่เอ้อร์หลางต่อยกำแพงอย่างแรง แล้วกัดฟันเอ่ยว่า
“หากไม่กำจัดกองทัพอสูรเหินเวหา ก็มิอาจปกป้องชิงโจวไว้ได้”
เขาตระหนักดีว่า กองทัพอสูรเหินเวหาที่รวดเร็วประหนึ่งฟ้าร้องเหล่านี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ของชิงโจว
เหมียวโหย่วฟางปลดคันธนูบนหลังลง แล้วตั้งลูกธนูง้างศรพร้อมกับดึงสาย ก่อนเล็งไปยังกองทัพอสูรเหินเวหาพลางเอ่ยว่า
“พาใต้เท้าสวี่ไปก่อน ข้าจะยิงไอ้เดรัจฉานนี่ลงมาสักสองสามตัวก่อน ถอนทุนคืนได้ค่อยว่ากัน”
ในเวลานั้นเอง กองทัพอสูรเหินเวหาก็เข้ามาในระยะยิงของเขาพอดี
เหมียวโหย่วฟางหรี่รูม่านตา ขยายกำลังสายตาจนถึงขีดสุด แล้วเล็งไปยังอสูรเหินเวหาตัวที่บินนำหน้า
แล้วเขาก็ผงะในทันใด เนื่องจากกองทัพอสูรเหินเวหากลุ่มนี้แตกต่างจากฝูงที่โจมตีก่อนหน้า
อสูรบินได้ของทัพกบฏอวิ๋นโจวเป็นวิหคยักษ์สีแดง ทั่วร่างกายปกคลุมไปด้วยขนสีแดงเพลิงงดงาม
ส่วนสัตว์ประหลาดที่กองทัพอสูรเหินเวหากลุ่มนี้นั่งอยู่นั้น ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำ คอยาว รูปร่างเรียวยาวเหมือนกิ้งก่า สิ่งที่กระพืออยู่ก็มิใช่ปีกขนนก หากเป็นปีกที่มาจากพังผืด
นอกจากนี้ นักรบที่ขี่อสูรบินได้นี้ก็มิใช่ทหารสวมชุดเกราะ แต่เป็นกลุ่มคนที่สวมชุดแปลกๆ จนถึงสวมชุดหนังสัตว์
บนหลังของอสูรบินได้ตัวที่บินนำ มีชายผิวคล้ำผมหยักศกและสวมชุดสีเขียวอมฟ้านั่งอยู่ เขาโบกมือให้ฝูงชนที่อยู่ด้านบนกำแพงเมืองด้วยรอยยิ้มราวกับเป็นการทักทายด้วยความอบอุ่น
เหมียวโหย่วฟางส่งเสียง ‘เอ๊ะ’ แล้วคลายสายธนู
“ทำไมรึ”
สายตาของสวี่เอ้อร์หลางไม่ดีเท่าจอมยุทธ์ เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วสอบถาม
เหมียวโหย่วฟางตอบกลับด้วยใบหน้าสับสน
“คนกลุ่มนี้ค่อนข้างแปลกพิกล”
………………………………………………