ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 691 กำลังเสริม (2)
สาเหตุที่เหมียวโหย่วฟางวางคันธนูลงและสังเกตพบว่าคนเหล่านี้มีปัญหา มิได้อาศัยสติปัญญา แต่เพราะไร้ซึ่งการตอบสนองจากลางสังหรณ์ในสถานการณ์อันตรายของชาวยุทธ์
นั่นบ่งชัดว่ากองทัพอสูรเหินฟ้ากลุ่มนี้ไม่มีเจตนาเป็นปรปักษ์
“ไม่ใช่รึ”
สวี่เอ้อร์หลางยกมือขึ้นยับยั้งหัวหน้ากองร้อยที่กำลังจะบังคับพาตัวเขาจากไป แล้วหันไปมองเหมียวโหย่วฟาง
เหมียวโหย่วฟางเอ่ยถึงลักษณะพิเศษของคนกลุ่มนั้นพร้อมทั้งอธิบายว่า
“พวกเขามิใช่ศัตรู”
สวี่เอ้อร์หลางได้ยินดังนั้นก็ตั้งข้อวินิจฉัยทันที
“คนของซินเจียงตอนใต้หรือ”
สีผิวดำคล้ำ ผมหยักศก เครื่องแต่งกายสีเขียวอมฟ้าผสมกับผ้าหนังสัตว์
ไม่ว่าจะจากบันทึกในตำราหรือการเห็นด้วยตาตัวเอง (หมายถึงลี่น่า) สวี่เอ้อร์หลางก็สามารถสรุปได้ว่าผู้มาเยือนเป็นคนซินเจียงตอนใต้
‘คนซินเจียงตอนใต้ หรือว่า…’ เหมียวโหย่วฟางตบศีรษะแล้วเอ่ยด้วยความดีใจเป็นที่สุดว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
เขาทิ้งคันธนูโดยไม่ได้อธิบายแล้วยืนบนเชิงเทิน ก่อนยกแขนโบกมือทั้งคู่ไปยังกองทัพอสูรเหินเวหาซึ่งใกล้เข้ามาทุกทีด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเห็นการตอบสนอง พลทะยานซึ่งเป็นผู้นำก็ควบคุมอสูรบินได้ออกจากขบวนแล้วร่อนถลาลงบนยอดกำแพงเมือง ส่วนพลทะยานที่เหลือก็บินวนเฝ้าระวังโดยรักษาระยะห่างอยู่เหนือยอดกำแพงเมือง
‘ฟิ้ว ฟิ้ว…’
ลมโหมจากการกระพือของปีกพังผืดพัดพากรวดหินดินทรายออกไป อสูรยักษ์เกล็ดดำลงจอดบนถนนก่อนค่อยๆ เก็บปีกพังผืด
เหมียวโหย่วฟางโผเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนว่า
“พวกท่านคือคนเผ่าพันธุ์กู่ใช่ไหม”
ชายวัยกลางคนซึ่งอยู่บนหลังของอสูรยักษ์เกล็ดดำเอ่ยปากว่า
“ข้ามีนามว่าถ่าโม่ เป็นผู้บัญชาการกองทัพอสูรเหินเวหาของฝ่ายซินกู่ ได้รับคำสั่งจากฉุนเยียนให้มาสนับสนุนชิงโจว
“ฝ่ายซินกู่บรรลุข้อตกลงกับฆ้องเงินสวี่แล้ว”
ภาษาราชการแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐานเป็นอย่างยิ่ง เหมียวโหย่วฟางฟังอยู่สามรอบจึงจะเข้าใจ
‘เป็นเขาเชิญมาจริงๆ…’ เหมียวโหย่วฟางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาและสวี่ชีอันแยกกันระหว่างทางที่จะไปเผ่าพันธุ์กู่ กองทัพเผ่าพันธุ์กู่ปรากฏตัวเวลานี้และไม่มีท่าทีเป็นศัตรูกับทหารอารักขาของต้าฟ่งด้วย
ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบก็คิดได้เพียงว่าคนเหล่านี้คือผู้ช่วยชีวิตที่ฆ้องเงินสวี่โยกย้ายมา
เหมียวโหย่วฟางหันไปพยักหน้าให้สวี่เอ้อร์หลาง แสดงถึงความปลอดภัยเชื่อถือได้ จากนั้นจึงโบกมืออีกครั้ง
สวี่เอ้อร์หลางมายังข้างกายของเหมียวโหย่วฟาง ภายใต้การคุ้มกันอย่างระแวดระวังของหัวหน้ากองร้อย
“ข้าเคยบอกท่านแล้ว ข้ากับฆ้องเงินสวี่แยกกันระหว่างทางไปเผ่าพันธุ์กู่” เหมียวโหย่วฟางอธิบายสั้นๆ แล้วเอ่ยอย่างฮึกเหิมว่า
“พวกเขาคือกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่หามา”
กำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่หามา…หัวหน้ากองร้อยตะลึงงัน
เหมียวโหย่วฟางตะโกนเสียงก้อง เมื่อเข้าหูทหารอารักขาที่อยู่ห่างออกไป พวกเขาซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์และระแวดระวังอยู่แต่เดิมจึงพากันตกตะลึง
สวี่เอ้อร์หลางพินิจชาวซินเจียงตอนใต้ที่อยู่บนหลังอสูรยักษ์ ผิวของเขาสีดำคล้ำ ริมฝีปากค่อนข้างหนา รูปร่างผอมแต่ไม่ซูบเซียว ตรงกันข้าม กล้ามเนื้อกลับตึงแน่นแทบจะมีแรงระเบิด
สวี่เอ้อร์หลางแววตาเป็นประกายวาบ เขาเอ่ยถามอย่างสุขุมว่า
“พี่ใหญ่ของข้าให้ท่านมาหรือ”
“ท่านผู้นี้คือลูกพี่ลูกน้องของฆ้องเงินสวี่” เหมียวโหย่วฟางเอ่ยแทรก
เมื่อถ่าโม่ได้ยิน แววตาที่มีต่อสวี่เอ้อร์หลางก็เปลี่ยนไปเป็นความเคารพเจือด้วยความประจบเอาใจ
“ใช่ขอรับ”
สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างเป็นกันเองว่า
“พวกท่านหาที่นี่เจอได้อย่างไร”
ในสถานการณ์ปกติ พี่ใหญ่จะต้องให้กำลังเสริมของเผ่าพันธุ์กู่ไปเมืองชิงโจว และติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของชิงโจวก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะตรงมาอำเภอซงซานเป็นอันขาด
เขาแสร้งทำสอบถามไปเรื่อย ทว่าความจริงแล้วกำลังหยั่งเชิงปฏิกิริยาตอบสนองของถ่าโม่ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายซินกู่ผู้นี้
“ฆ้องเงินสวี่สั่งให้พวกเรามาขอรับ เขายังให้แผนที่อำเภอซงซานมาชุดหนึ่งด้วย” ถ่าโม่เอ่ยพลางหยิบแผนที่ชุดหนึ่งออกจากอก “แม้ข้าจะเคยมาต้าฟ่งเมื่อหลายปีก่อน แต่ระหว่างทางก็ยังหลง เดิมควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
เขาเหลือบมองธงต้าฟ่งที่ยอดกำแพงเมืองและเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ
“โชคดีที่ไม่สายเกินไป”
‘พี่ใหญ่ให้พวกเขามาอำเภอซงซาน…รอดแล้ว อำเภอซงซานได้รับความช่วยเหลือแล้ว ชาวบ้านรอดแล้ว…’ สวี่เอ้อร์หลางหลับตา ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
เขาออกแรงหายใจเข้าลึกๆ สะกดอารมณ์ทั้งหมดไว้ยังก้นบึ้งหัวใจ ก่อนพยักหน้าเบาๆ พลางว่า
“พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่อำเภอซงซาน”
นี่สอดคล้องกับลีลาการทำงานของพี่ใหญ่จริงๆ
เพียงแต่ไม่รู้พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าเขาประจำการอยู่ที่อำเภอซงซาน
ถ่าโม่ส่ายหัว แสดงออกว่าไม่รู้
เขาถามต่อว่า
“เช่นนั้นพวกเราลงจอดได้แล้วหรือยัง”
เมื่อเห็นสวี่ซินเหนียนพยักหน้า เขาจึงเงยหน้าแล้วผิวปากอย่างแรง
กองทัพอสูรเหินเวหาที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าได้รับคำสั่งก็ลดระดับความสูงลงอย่างเป็นระบบและร่อนลงจอดที่ด้านบนสุดของกำแพงเมืองอย่างมั่นคง แต่เนื่องจากมีจำนวนมากเกินไป อสูรยักษ์เกล็ดดำส่วนใหญ่จึงได้แต่ลงจอดที่ด้านล่างของกำแพงเมือง
ทหารนายหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปขยับเข้ามาใกล้ด้วยความระแวดระวังพร้อมอาวุธในมือ แล้วเอ่ยถามว่า
“ใต้เท้าสวี่ ข้าได้ยินแม่ทัพเหมียวบอกว่า พวกเขาเป็นกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่เชิญมาหรือขอรับ
“พี่ พวกพี่น้องต่างอยากรู้มากว่าจริงหรือไม่”
สวี่ซินเหนียนปรายสายตาผ่านเขา จึงเห็นนายทหารสองสามคนซึ่งได้รับบาดเจ็บและรวมตัวกันอยู่ในระยะไกลมองมาที่ตนด้วยความกระตือรือร้น
สวี่ซินเหนียนถอนสายตากลับแล้วมองนายทหารหนุ่มก่อนออกแรงพยักหน้า
“ใช่แล้ว กองทัพอสูรเหินเวหาของฝ่ายซินกู่เหล่านี้เป็นกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่เชิญมา”
ใบหน้านายทหารหนุ่มพลันสั่นเทา ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตากลับมีน้ำตาคลอหน่วยไหลรินลงมา
เหมียวโหย่วฟางกระโดดขึ้นเชิงเทิน กวาดสายตาผ่านอสูรยักษ์เกล็ดดำที่ยอดกำแพงเมืองจากซ้ายไปขวา จากนั้นจึงมองต่ำไปยังอสูรยักษ์เกล็ดดำเบื้องล่างซึ่งมีมากกว่า
ในแววตาของเขามีประกายระยิบระยับ
เขาพลันสูดหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นความเปรี้ยวฝาดที่จมูกแล้วคำรามลั่น
“พี่น้องทั้งหลาย กำลังเสริมของพวกเรามาถึงแล้ว ฆ้องเงินสวี่เชิญกำลังเสริมมาให้พวกเรา พวกเราก็มีกองทัพอสูรเหินเวหาแล้วเช่นกัน”
น้ำเสียงสะท้อนก้องอย่างต่อเนื่อง
อารมณ์ฮึกเหิมพลันระเบิดขึ้นในหัวใจของทหารอารักขาและทหารอาสา ตามมาด้วยคลื่นเสียงอึกทึก
บางคนพึมพำทั้งน้ำตาอาบแก้มว่า “มีทางรอดแล้ว”
บางคนหน้าแดงก่ำพร้อมคำรามเสียงดังด้วยความฮึกเหิม
บางคนเต้นรำโห่ร้องไม่หยุดด้วยความดีใจ
หลังทหารอาสาในเมืองรับทราบสถานการณ์ก็พากันวิ่งไปตามถนนตรอกซอกซอยเพื่อเล่าสู่กันฟังด้วยความฮึกเหิม
และบอกชาวบ้านในเมืองว่ากำลังเสริมมาแล้ว เป็นกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่พามา
ชั่วขณะนั้น เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังก้องไปทุกอณูของอำเภอเล็กๆ
สวี่ซินเหนียนสูดหายใจลึก ระงับอารมณ์ตื่นเต้นแล้วเอ่ยว่า
“ท่านถ่าโม่ กองทัพอสูรเหินเวหาฝ่ายซินกู่เดินทางมาไกล เดิมควรจัดหาที่พักให้พวกท่าน ทว่าความรวดเร็วเด็ดขาดนั้นสำคัญยิ่ง โอกาสในสงครามอาจหายวับในพริบตา”
ถ่าโม่ตบอก
“ใต้เท้าสวี่มีสิ่งใดจะสั่งการ”
…
ขณะที่จัวเฮ่าหรานได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนม เขากำลังเล่นสนุกอยู่กับโสเภณีในกระโจมทหาร สตรีเหล่านี้ส่วนหนึ่งถูกจับระหว่างเดินทัพ บางส่วนเป็นสาวงามที่ถูกฉุดมาจากเขตต่างๆ เมื่อครั้งแนวป้องกันแรกของชิงโจวถูกยึดครอง
แม้จะเป็นแม่ทัพใหญ่ชีก่วงป๋อก็มิอาจแทรกแซงเรื่องการฉุดผู้หญิงมากับค่ายได้
เนื่องจากเดิมทีโสเภณีในกองทัพเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในกองทัพทหาร
สำหรับผู้กุมอำนาจแล้ว โสเภณีในค่ายทหารมีความจำเป็นทั้งด้านการเพิ่มขวัญกำลังใจและแก้ปัญหาความกลัดกลุ้มทุกข์ใจของเหล่าทหารในสนามรบ
ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการศึกและส่งผลกระทบเด่นชัดเป็นพิเศษด้วย
กองทัพขี่อสูรบินได้หลายร้อยรึ?!
ทันทีที่ได้ยินข่าว ปฏิกิริยาแรกของจัวเฮ่าหรานคือการตรวจสอบข่าวลวงเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการทหาร
ชิงโจวมีกองทัพอสูรเหินเวหาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
นิทานปรัมปราชัดๆ
ทันใดนั้นเขาก็ดึงกางเกงขึ้นและวิ่งออกจากค่ายทหารไปพร้อมกับอาวุธในมือ ก่อนเหินขึ้นกลางอากาศแล้วทอดสายตาไปยังกำแพงเมือง
หลังจากเห็นด้วยตาตัวเอง เขาจึงจำต้องยอมรับข่าวที่ ‘ไร้สาระ’ นี้
ด้านบนสุดของกำแพงเมืองเต็มไปด้วยอสูรยักษ์เกล็ดดำยืนเก็บปีกพังผืดอยู่
“ชิงโจวมีกองทัพอสูรเหินเวหาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
จัวเฮ่าหรานกำหมัดทั้งสองข้างแน่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก
เมืองกำลังจะแตกอยู่รอมร่อ จู่ๆ ทหารอารักขาก็เชิญกองทัพอสูรเหินเวหาจำนวนหลายร้อยมาเป็นกำลังเสริม จัวเฮ่าหรานโกรธจนอกแทบระเบิด เขาลงมาอย่างรวดเร็วแล้วกลับไปยังค่ายทหาร คำสั่งแรกที่สั่งการคือการล่าถอย
ในค่ายทัพอสูรเหินเวหาของเขามีกองทหารม้าเพียงสามสิบกว่านาย ไม่มีทางต่อต้านกองทัพอสูรเหินเวหาของทหารอารักขาได้เลย
ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ สถานการณ์ก็กลับพลิกผันแล้ว ยามนี้คนที่ควรหลบหนีคือพวกเขา
ไม่มีทางอื่นนอกจากล่าถอย
ค่ายทหารโกลาหลในฉับพลัน ทหารที่เหลืออีกสองสามร้อยนายทิ้งทุกอย่างในมือ ละทิ้งเสบียงทั้งหมด แล้วขี่ม้าเร็วห้อตะบึงจนฝุ่นตลบออกจากค่ายทหาร ภายใต้การนำของจัวเฮ่าหราน
กองทหารม้าสามสิบกว่านายของทัพจูเชวี่ยทะยานล่าถอยด้วยความรวดเร็ว
แต่ที่เหนือความคาดหมายของจัวเฮ่าหรานก็คือ ขณะที่ด้านของตนเพิ่งจะล่าถอย เสียงคำรามกึกก้องก็ดังมาจากด้านหลัง
เหล่าทหารม้าหันกลับไปมองด้วยความตระหนก บนท้องฟ้าด้านหลัง กองทัพอสูรเหินเวหาดำทะมึนถาโถมกันเข้ามาประหนึ่งเมฆดำมืด
อสูรยักษ์เกล็ดดำกระพือปีกพังผืดไล่ตามกองทหารม้าอย่างรวดเร็ว เหล่าปรมาจารย์ซินกู่ซึ่งอยู่บนหลังของมันคำรามเสียงยาว
ชั่วพริบตา ม้าศึกซึ่งได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิงและคุกเข่าลงบนพื้นขณะกำลังวิ่งควบ ทั้งคนทั้งม้ากลิ้งตกลงพร้อมกัน เป็นภาพที่โกลาหลยิ่งนัก
เหล่าปรมาจารย์ซินกู่บ้างก็ขว้างลูกกระสุนปืนใหญ่และถังเชื้อเพลิง บ้างก็ดึงสายธนูระดมยิงใส่กองทัพที่พ่ายแพ้เบื้องล่าง
“สวี่ซินเหนียน!”
จัวเฮ่าหรานเงยหน้ามองฟ้าพลางแผดเสียง
ทหารกล้าทั้งหกพันนายบาดเจ็บล้มตายอยู่ที่อำเภอซงซาน ความชาญฉลาดชั่วครึ่งชีวิตของเขาถูกทำลายลงในวันนั้นเอง
…
ครึ่งชั่วยามให้หลัง
ภายในเมืองเวิ่งพังทลายลงครึ่งหนึ่ง สวี่ซินเหนียนนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวพร้อมมองไปรอบฝูงชนแล้วยิ้มพลางว่า
“กองทัพอสูรเหินเวหากวาดล้างกองทหารม้าข้าศึกไปสามร้อยนายและจับเชลยไปยี่สิบแปดคน กวาดล้างทหารม้าของทัพจูเชวี่ยไปยี่สิบ จับเป็นเชลยสามคน ส่วนอีกแปดหนีไปได้
“จัวเฮ่าหรานและรองแม่ทัพของเขาหนีไปอย่างไร้ร่องรอย”
สวี่เอ้อร์หลางไม่คิดไม่ฝันเลยว่ากองทัพอสูรเหินเวหาจะจับเชลยที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้ เพราะมันยากเกินไป ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ในตอนนี้นั้นน่ายินดียิ่งนัก
ทหารอารักขาในสนามเหลือเพียงหัวหน้ากองร้อยสองนาย จู๋จวิน เหมียวโหย่วฟาง รวมถึงถ่าโม่ผู้เป็นหัวหน้ากองทัพอสูรเหินเวหาฝ่ายซินกู่
เมื่อได้ยิน ‘รายงาน’ ของสวี่เอ้อร์หลางแล้ว สีหน้าของทุกคนจึงเต็มไปด้วยความดีใจ ปัดความแพ้พ่ายออกไปสิ้น
“ข้าผู้เฒ่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ฆ้องเงินสวี่ซึ่งตัวอยู่ซินเจียงตอนใต้ จะสามารถวางแผนเผด็จศึกและคว้าชัยชนะชี้ขาดโดยอยู่ห่างไกลเป็นพันลี้ได้”
“ไร้สาระ ท่านไม่คิดบ้างเล่าว่าฆ้องเงินสวี่เป็นถึงปรมาจารย์ด้านตำราพิชัยสงครามของพวกเราเชียวนะ”
หัวหน้ากองร้อยสองนายต่อความกันไปมาด้วยความฮึกเหิม ในคำพูดนั้น สวี่ชีอันได้รับการเคารพยกย่องเป็นเทพไปแล้ว
กระทั่งจู๋จวินผู้เคร่งขรึมยังเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
สวี่เอ้อร์หลางมองถ่าโม่แล้วยิ้มพลางว่า
“กองทัพอสูรเหินเวหาของฝ่ายซินกู่จัดการเรื่องจวนตัวของต้าฟ่งแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะเขียนสาส์นฉบับหนึ่งให้ท่านนำมันไปที่เมืองชิงโจว เรื่องพันธมิตร มอบให้สมุหเทศาภิบาลหยางไปจัดการเป็นอันใช้ได้”
พันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์กู่และต้าฟ่ง ปัจจุบันยังคงเป็น ‘สัญญาปากเปล่า’ ต้องให้หยางกงส่งหนังสือถึงราชสำนักและได้รับเอกสารตอบตกลงจากราชสำนักอย่างเป็นทางการก่อนจึงจะเริ่มมีผล
จากมุมมองของสวี่เอ้อร์หลาง นี่เป็นความต้องการของราชสำนักอยู่แล้ว แต่กระบวนการที่ยังต้องทำก็ควรกระทำ
“หากสมุหเทศาภิบาลหยางรู้ว่าฆ้องเงินสวี่นำกองทัพอสูรเหินเวหาห้าร้อยตัวกลับมาชิงโจว จะต้องดีใจแทบคลั่งแน่”
รอยยิ้มมุมปากของจู๋จวินล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ
ถ่าโม่ราวกับจะนึกบางอย่างได้จึงเอ่ยว่า
“ลืมบอกไป นอกจากฝ่ายซินกู่ของพวกเราแล้ว ยังมีพี่น้องลี่กู่ ซือกู่ และอั้นกู่ด้วย”
ทันใดนั้น เสียงพูดคุยหัวเราะในเมืองเวิ่งก็เงียบลง
สวี่ซินเหนียนหายใจกระชั้น ก่อนยันโต๊ะลุกขึ้นยืน
“ยังมีอีกรึ จำนวนเท่าไร แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหน”
ถ่าโม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า
“เมื่อรวมสามฝ่ายเข้าด้วยกันแล้ว น่าจะมีประมาณหนึ่งพันกว่าคนกระมัง
“ส่วนจะอยู่ที่ไหนนั้นข้าไม่รู้ หลังจากพวกเราออกจากซินเจียงตอนใต้ก็แยกกัน เพราะอย่างไรเสียพลทะยานก็บรรทุกคนมากขนาดนั้นไม่ไหว”
เผ่าพันธุ์กู่สามฝ่ายรวมกันยังมีอีกหนึ่งพันกว่าคน…สวี่ซินเหนียนและคนอื่นๆ ตื่นเต้นขึ้นมา
ผู้ใดก็ตามที่ผ่านประสบการณ์ยุทธการด่านซานไห่ก็น่าจะเข้าใจว่านักรบของเผ่าพันธุ์กู่ยากจะต่อกรเพียงใด
แม้เผ่าพันธุ์กู่จะมีประชากรไม่มาก มิอาจเทียบกับกองทัพใหญ่ที่มีหลายแสนของต้าฟ่ง ทว่าอาศัยไสยศาสตร์กู่ที่แปลกประหลาดและยากจะต่อกร ทำให้กองทัพต้าฟ่งเคยได้รับความเดือดร้อนมากมายในยุทธการด่านซานไห่
หากสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้ เผ่าพันธุ์กู่พันกว่าคนนี้รวมกับกองทัพอสูรเหินเวหาอีกห้าร้อย จะต้องเปล่งประกายในสนามรบได้อย่างแน่นอน
ใบหน้าของสวี่ซินเหนียนแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น นิ้วมือที่จับพู่กันสั่นเทาเล็กน้อย
“ข้าจะเขียนสาส์นถึงสมุหเทศาภิบาลหยางเดี๋ยวนี้”
จากนั้นจึงหันมาเอ่ยกับรองแม่ทัพว่า “เจ้าตามถ่าโม่กลับไปเมืองชิงโจวด้วย”
ในไม่ช้า ถ่าโม่ซึ่งมีธงต้าฟ่งอยู่บนหลังก็ออกจากอำเภอซงซาน เขาขี่อสูรบินเกล็ดดำโดยลำพัง บินตรงไปยังเมืองชิงโจว
…
สองวันต่อมา ภายในห้องโถงใหญ่ของที่ทำการสมุหเทศาภิบาล
หยางกงก้มมองแผนที่ซึ่งกางอยู่บนโต๊ะ พลางจ้องเขม็งไปยังอักษร ‘อำเภอซงซาน’ แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า
“พวกเราต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการสูญเสียอำเภอซงซาน”
หลี่มู่ไป๋รวมถึงเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการรู้สึกหนักใจ
แม้หน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปจะยังไม่มีสาส์นตอบกลับมา ทว่าเมื่อเปรียบเทียบการวางกำลังทหารในอำเภอซงซานรวมทั้งการจัดทัพของศัตรูแล้ว ช่างคาดเดาผลลัพธ์ได้ง่ายดายนัก
หลี่มู่ไป๋ถอนหายใจ
“กำลังเสริมพร้อมเดินทางแล้ว ขอเพียงหน่วยสอดแนมส่งข้อมูลโดยละเอียดกลับมา ก็จะส่งกำลังเสริมไปอำเภอซงซานและยึดเมืองคืนมาได้ทันที”
ตามสภาพการณ์โดยรวมของแนวป้องกันที่สอง ทุกคนวางแผนที่จะรักษาอำเภอซงซานไว้เป็นอันดับแรก เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเมื่อตงหลิงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะรุกหรือถอยแล้ว
หว่านจวิ้นถูกกองกำลังหลักของทัพกบฏอวิ๋นโจวปิดล้อม ทั้งยังมีกองทัพอสูรเหินเวหาบินวนเวียนอยู่ด้านบน หากต้องการคลี่คลายสถานการณ์ยากลำบากของหว่านจวิ้น ไม่รู้จะต้องเพิ่มกำลังทหารจำนวนเท่าใด และยังไม่แน่ด้วยว่าจะรักษาไว้ได้
ตรงกันข้าม การยึดคืนอำเภอซงซานต่างหาก จึงเป็นการกระทำอันชาญฉลาดที่สุด
กองทัพศัตรูเพิ่งยึดครองอำเภอซงซานได้ไม่นาน ทัพใหญ่อวิ๋นโจวมิอาจมาประจำการที่อำเภอซงซานได้ในระยะเวลาอันสั้น การส่งทหารไปในเวลานี้จึงมีหวังอย่างยิ่งที่จะยึดอำเภอซงซานกลับมา
จากนั้นก็จัดป้อมปราการทัพที่อำเภอซงซานแล้วพลีชีพปกป้อง เพื่อรักษาฐานที่มั่นสุดท้ายของแนวป้องกันที่สอง
“เอ้อร์หลางเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงครามอย่างลึกซึ้งและมิใช่คนคร่ำครึล้าหลัง เขาไม่ควรสละชีวิตอยู่เมืองนี้” หลี่มู่ไป๋อธิษฐานในใจ
หยางกงมองฝูงชนรอบๆ
“ทุกท่านมีกลยุทธ์อย่างไรในการรับมือกับกองทัพอสูรเหินเวหา”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการผู้หนึ่งเอ่ยว่า
“วิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือกองทัพอสูรเหินเวหา ย่อมเป็นการมีอสูรเหินเวหากองทัพหนึ่ง”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “นอกจากนี้ การดัดแปลงหน้าไม้ยักษ์ให้ยิงขึ้นไปในอากาศก็อาจยับยั้งกองทัพอสูรเหินเวหาได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เราและศัตรูไม่มีความเหลื่อมล้ำกันด้านกำลังรบ การให้ยอดฝีมือขั้นสี่ออกโจมตีก็เป็นแผนการที่ดี”
ขณะกำลังพูดอยู่นั้น เจ้าพนักงานนายหนึ่งก็เข้ามาด้วยความรีบร้อนแล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาล นอกเมืองมีพลทะยานผู้หนึ่งถือธงต้าฟ่งมา บอกว่าเป็นคนของเผ่าพันธุ์กู่ขอรับ”
…………………………………………………