ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 692 คนเฝ้าประตูคือใคร
ม้าเร็วเผ่ากู่ที่กำลังถือธงของต้าฟ่ง…เจ้าพนักงานและเหล่านายทหารในห้องโถงต่างก็มึนงงเล็กน้อยและไม่สามารถปะติดปะต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ธงประจำกองทัพต้าฟ่ง’ และ ‘เผ่ากู่’ ได้ชั่วขณะ
หืม? ม้าเร็ว?
ในวินาทีต่อมา ทุกคนต่างก็จับประเด็นสำคัญได้และมองไปที่หยางกงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ส่งอาวุธมาให้ข้า ให้เขาเข้ามาได้”
หยางกงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ
เจ้าพนักงานรับคำสั่งและถอยออกไป หลังจากนั้นสิบห้านาที องครักษ์ของผู้ว่าการมณฑลก็พาทั้งสองคนเข้าไปในห้องโถงใหญ่
สายตาของหยางกง หลี่มู่ไป๋และนายทหารฝ่ายเสนาธิการทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ผู้มาเยือนอย่างพินิจพิเคราะห์
ทางด้านซ้ายคือคนจากซินเจียงตอนใต้ เขามีผิวสีคล้ำ ดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมหยิกเป็นธรรมชาติ เสื้อผ้าที่เขาสวมเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งอย่างชัดเจน ทำให้เขาดูเต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน
แต่ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยแสงสว่างแห่งความเฉลียวฉลาด
เป็นปรมาจารย์ซินกู่จริงๆ…ในฐานะที่เป็นหยางกงผู้คุมอำนาจทางการเมืองสูงสุดในรัฐย่อมต้องสำรวมความน่าเกรงขามไว้อย่างสุดความสามารถและหันไปสนใจทหารที่อยู่ข้างกายถ่าโม่
รองแม่ทัพสวี่เอ้อร์หลาง
กู้ฉี่เข้าใจสายตาที่แฝงไปด้วยคำถามของสมุหเทศาภิบาลทันที จึงยกกำปั้นขึ้นมาพลางโค้งตัวคำนับและกล่าวว่า “ข้าน้อยกู้ฉี่ผู้ต่ำต้อยคือรองแม่ทัพของใต้เท้าสวี่ซินเหนียน”
หลังจากหยุดชะงักชั่วครู่ก็เห็นหยางกงพยักหน้า เขาจึงกล่าวต่อไปว่า “ท่านนี้คือถ่าโม่แห่งซินกู่จากเผ่าพันธุ์กู่ ผู้นำกองทัพอสูรเหินเวหา เป็นทหารกองหนุนที่ฆ้องเงินสวี่เชิญมา”
หลี่มู่ไป๋และเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการสาบานว่าคำพูดประโยคเมื่อครู่เป็นเสียงที่ไพเราะรื่นหูที่สุดเท่าที่ได้ยินในช่วงที่ผ่านมานี้
ฆ้องเงินสวี่ไปที่เผ่ากู่ทางซินเจียงตอนใต้ตั้งแต่เมื่อใด? ยังเชิญกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่ากู่มาด้วยรึ?
นอกจากนี้ มีกองทัพอสูรเหินเวหามากเพียงใด อยู่ที่ใด ความสามารถในการต่อสู้เป็นอย่างไร? พวกเขามีคำถามที่อยากถามเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนที่หยางกงจะเปิดปากพูด ทุกคนก็ยับยั้งการเคลื่อนไหวของตนเองได้เป็นอย่างดี
แต่หัวใจกลับร้อนรนขึ้นมาอย่างเงียบๆ
…หยางกงยืดหลังตรงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องที่กู้ฉี่
“ทำไมกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่ากู่ถึงมากับเจ้าได้?”
เขาถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจของเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการออกมา
กู้ฉี่กล่าวว่า “เหล่านักรบของซินกู่เดินทางมาช่วยเหลือและขับไล่ศัตรูที่อำเภอซงซานภายใต้คำสั่งของฆ้องเงินสวี่”
ในขณะที่กล่าว เขาก็หยิบจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ “ข้ามีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของใต้เท้าสวี่”
เจ้าพนักงานก้าวขึ้นไปหยิบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือฉบับนั้น ก่อนจะยื่นไปที่เบื้องหน้าหยางกง หยางกงคลี่จดหมายเปิดอ่านเรียบร้อยแล้วก็พยักหน้าให้เหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการที่กำลังจ้องตรงมาที่เขา
อำเภอซงซานปลอดภัยแล้ว…
เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ เหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการทุกนายต่างก็ประหลาดใจอย่างมากพลางมองหน้ากันเพื่อถ่ายทอดความปลื้มปีติยินดี
เวลานี้เอง ถ่าโม่ก็หยิบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือออกมาจากแขนเสื้อและกล่าวว่า “นี่คือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของฆ้องเงินสวี่ มอบหมายให้ข้ามอบให้กับผู้ว่าการมณฑลหยางเมื่อถึงชิงโจว”
ครั้งนี้หยางกงยื่นมือเข้าไปรับจดหมายโดยตรง เมื่อจดหมายอยู่ในมือแล้วก็อดใจรอไม่ไหวที่จะคลี่มันออก
แตกต่างกับลายมือที่สวยงามและประณีตของสวี่ซินเหนียน จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของสวี่หนิงเยี่ยนทั้งน่าเกลียดและบิดเบี้ยว แต่ละขีดของตัวอักษรราวกับถูกลากโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ใช่แล้ว เป็นตัวอักษรของหนิงเยี่ยน…หยางกงเชื่อในทันทีโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสามารถเลียนแบบตัวอักษรของสวี่หนิงเยี่ยนได้ แต่ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันของสวี่หนิงเยี่ยนนั้นหาได้ยากยิ่ง จิ่วโจวในปัจจุบัน นอกจากสำนักอวิ๋นลู่และจวนสกุลสวี่แห่งเมืองหลวงแล้วก็แทบจะไม่เห็นลายมือของสวี่หนิงเยี่ยนเลย
สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนที่รักษาหน้า ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับตัวอักษรของตนเองมากและไม่ยอมเผยแพร่ออกไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นแม้จะมีใครคิดจะเลียนแบบก็ไม่มีตัวอย่างให้ดู
หยางกงก้มลงไปอ่าน ครึ่งแรกเป็นเรื่องราวของสวี่หนิงเยี่ยนที่สาธยายถึงการทำสงครามลิ้นของตนเองในซินเจียงตอนใต้ เขาใช้คารมฝีปากที่ไม่เป็นรองใครในการโน้มน้าวเผ่ากู่ ใช้เสน่ห์ขั้นสูงในการเปลี่ยนความคิดเผ่ากู่ ในที่สุดก็ทำให้เผ่ากู่ปล่อยวางความแค้นในอดีตและส่งกำลังทหารไปทางเหนือเพื่อสนับสนุนต้าฟ่ง
หยางกงคิดว่าเป็นไปได้ที่จะมีความสามารถในการใช้คารมฝีปาก แต่เสน่ห์นั้นต้องมีการซักถามกันใหม่
ถัดลงมาคือจำนวนทหารที่แต่ละกรมส่งมา
“หน่วยรบอสูรบินจากซินกู่ห้าร้อยตัว…”
เมื่ออ่านบรรทัดแรก หยางกงก็ตัวแข็งทื่อทันที
เขาสงสัยว่าสวี่หนิงเยี่ยนเขียนผิดแล้ว ต้องรู้ว่าในระหว่างยุทธการด่านซานไห่ในปีนั้น หน่วยรบอสูรบินของต้าฟ่งก็มีจำนวนเพียงหนึ่งพันห้าร้อย
หลังจากสิ้นสุดยุทธการด่านซานไห่ได้ไม่กี่ปี ราชสำนักก็ยกเลิกค่ายกองทัพสัตว์ปีกกลางคันและจำหน่ายเหยี่ยวหางแดงออกไปเป็นจำนวนมาก
ทำไม? เพราะเลี้ยงไม่ไหวรึ
ถ้าสิ่งที่กองทหารม้ากินคือเงิน เช่นนั้นสิ่งที่กองทัพสัตว์ปีกกินก็คือทอง
กองทัพสัตว์ปีกห้าร้อยตัวคืออะไรกัน? เกรงว่าคงเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของกองทัพสัตว์ปีกเผ่าซินกู่กระมัง
เมื่ออ่านต่อไปก็พบว่ามีนักรบจากเผ่าลี่กู่สี่ร้อยคน ผู้ควบคุมมนุษย์ศพจากเผ่าซือกู่หกร้อยคน ผู้กล้าจากเผ่าอั้นกู่แปดร้อยคน หากเพิ่มกองทัพสัตว์ปีกเข้าไปอีกห้าร้อยตัว…
หยางกงรู้สึกสับสนมาก ทั้งประหลาดใจทั้งกังวล เหตุผลที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจก็คือเหล่านักรบชั้นยอดของเผ่ากู่เหล่านี้ พวกเขาต้องบรรเทาความเสื่อมโทรมของชิงโจวในตอนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่ทำให้รู้สึกกังวลก็คือกองสนับสนุนที่เผ่ากู่มอบให้จำนวนมาก แผนการย่อมไม่เล็กอย่างแน่นอน สมุหเทศาภิบาลหยางกังวลว่าสวี่ชีอันจะทำข้อตกลงตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ราชสำนักอาจจะไม่สามารถยอมรับได้
เขาขมวดคิ้วและมองไปที่ส่วนท้ายของจดหมายซึ่งเป็นข้อตกลงของสวี่หนิงเยี่ยนที่มีต่อเผ่ากู่
นี่…หยางกงสงสัยว่าสวี่หนิงเยี่ยนเขียนผิดอีกครั้ง
เมื่อครู่ยังรู้สึกว่ากองทัพสัตว์ปีกมีจำนวนมากเกินไป แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นน้อยเกินไป
มันถูกเกินไป…
แผ่นหลังของหยางกงเริ่มยืดตรงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เขายังคงรักษาท่าทีที่สง่างามและเข้มงวดไว้ แต่ดวงตากลับประกายสดใสเป็นพิเศษ
เขาเก็บจดหมายลงไปอย่างเงียบๆ พลางมองไปที่ถ่าโม่
“ผู้นำจากเผ่าซินกู่เคยอ่านเนื้อหาในจดหมายแล้วหรือยัง?”
ถ่าโม่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถามคำถามเช่นนี้ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจและพยักหน้าอย่างสงบ “ท่านสมุหเทศาภิบาลหยางวางใจเถอะ เนื้อหาในจดหมายไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่”
โดยทั่วไปแล้ว ความฉลาดทางปัญญาของปรมาจารย์ซินกู่จะสูงกว่ามาตรฐาน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสวี่ชีอันถึงได้มอบจดหมายนี้ให้พวกเขา
ถ่าโม่กล่าวต่อไปว่า “หวังว่าท่านสมุหเทศาภิบาลหยางจะรายงานราชสำนักโดยเร็วที่สุดเพื่อยืนยันเรื่องนี้”
หยางกงพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ผู้นำถ่าโม่เดินทางมาไกลและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ข้าจะจัดการให้เจ้าไปพักผ่อนก่อน ตอนเย็นเรียนเชิญท่านผู้นำรับประทานอาหารมื้อเย็น”
หลังจากให้คนพาถ่าโม่ไปที่พักแล้ว หยางกงก็ถอนหายใจออกช้าๆ พลางหันไปมองเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการที่อยู่ข้างโต๊ะ
และนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่มีการศึกษาและรอบรู้เหล่านี้ต่างก็อดใจไม่ไหวนานแล้ว
“หนิงเยี่ยนบอกในจดหมายว่าอะไรบ้าง มีอสูรบินอยู่เท่าใดรึ?”
หลี่มู่ไป๋เป็นตัวแทนทุกคนในการถาม
หยางกงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ห้าร้อย”
“ห้าร้อย?!”
เสียงตะโกนเอิกเกริกดังขึ้นข้างๆ โต๊ะ เจ้าพนักงานที่กำลังยุ่งอยู่ไกลๆ ต่างก็หยุดการทำงานและมองมาด้วยความตกตะลึง
“เอามาให้ข้าดู”
หลี่มู่ไป๋เอื้อมมือออกไปและกล่าวเสียงทุ้มว่า “เอามา!”
จดหมายในมือของหยางกงหายไปกะทันหันและปรากฏอยู่ในมือของหลี่มู่ไป๋แทน เขาคลี่กระดาษออกมาและอ่านอย่างใจจดใจจ่อ ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น มือที่ถือจดหมายสั่นเทาเล็กน้อยแต่ก็หายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
จดหมายถูกเผยแพร่ไปทั่วกลุ่มนายทหารฝ่ายเสนาธิการ มือแต่ละคู่ที่ถือจดหมายต่างก็สั่นเทา ใบหน้าเผยทั้งความตื่นเต้นและฮึกเหิม
การมาถึงของนักรบเผ่ากู่ สำหรับชิงโจวในเวลานี้ก็เปรียบเสมือนฝนที่ตกลงมารดชโลมสนามรบที่แห้งแล้ง
“เพียงแค่ค่าตอบแทนเล็กน้อยเหล่านี้ แต่สามารถเชิญนักรบเผ่ากู่มาได้มากมายเช่นนี้ ความคิดระดับสูงของฆ้องเงินสวี่ แม้แต่คนของเผ่ากู่ก็ยังโน้มน้าวได้”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการท่านหนึ่งลูบเคราด้วยความชื่นชม
ไร้เดียงสา…หลี่มู่ไป๋และหยางกงชำเลืองมองเขา หยางกงกล่าวช้าๆ ว่า “บางทีอาจจะมีค่าตอบแทนที่พวกเราไม่รู้ ซึ่งหนิงเยี่ยนเป็นคนจ่ายเอง”
บรรยากาศรอบโต๊ะผ่อนปรนลง เหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการพูดคุยหัวเราะชอบใจด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
“ไม่รู้ว่าฆ้องเงินสวี่จะจัดการเรื่องที่ซินเจียงตอนใต้เสร็จเรียบร้อยเมื่อใด หากเขามาที่ชิงโจวได้ กองทัพกบฏจะไม่ถูกทำลายได้อย่างไร”
“ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในสนามรบ แต่ก็ยังคงสนใจชิงโจวอยู่ไม่ใช่รึ”
เมื่อพูดถึงจอมยุทธ์ที่เจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้าคนนั้น ถึงแม้คนที่นั่งอยู่ล้วนเป็นปัญญาชนแต่ในใจก็มีความเคารพนับถือ ต้องรู้ว่าปัญญาชนดูถูกจอมยุทธ์ที่หยาบคายที่สุด
“ดูตอนนี้แล้ว ยังต้องขอบคุณเว่ยกง เขาทำให้เสาหลักของต้าฟ่งดำเนินต่อไป หากไม่ใช่เพราะความเสียสละของเขาก็คงพังทลายไปแล้ว”
ต้าฟ่งไม่มีเว่ยเยวียนแล้ว แต่ก็มีสวี่ชีอันที่เพิ่มเข้ามา และการถ่ายทอดก็ยังคงไม่สูญหาย
หลี่มู่ไป๋ขมวดคิ้วและกล่าวพึมพำ “สมแล้วที่หนิงเยี่ยนเป็นศิษย์ของข้า วิชาเชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่งเป็นความรู้ในระดับสุดยอด คำสอนของข้าตลอดหลายปีก็ไม่เสียเปล่า”
สวี่หนิงเยี่ยนเป็นนักเรียนในนามของเขา
หยางกงมองสหายร่วมชั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ใช่ ข้าก็พอใจกับเจ้าสวี่หนิงเยี่ยนมากเช่นกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำให้ข้าขายหน้า”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านแห่งสำนักอวิ๋นลู่ต่างก็สบตากันราวกับประกายไฟปะทะกันในอากาศ
…
สองวันต่อมา ห่างจากหว่านจวิ้นสิบลี้ ฐานทัพของกองทัพอวิ๋นโจว
นกยักษ์สีแดงเพลิงแปดตัวบินลงมาจากท้องฟ้า ผ่านยอดกระโจมและถลาลงทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของค่ายทหาร
ชีก่วงป๋อในเวลานี้กำลังฝึกซ้อมเตรียมพร้อมบนกระบะทรายกับผู้วางแผนและนายพลแต่ละค่าย
“ด้วยกำลังทหารของฝ่ายเรา หากโจมตีหว่านจวิ้นจะสามารถเอาชนะได้ภายในสิบวัน แต่หว่านจวิ้นมีปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นอออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตนเอง วิชาเอกของบุคคลนี้คือการทำสงคราม จึงไม่ควรประมาท หากโจมตี เกรงว่ากองทัพชั้นหน้าของเราจะเสียหาย”
เก่อเหวินเซวียนมองไปที่กระบะทรายและกล่าวด้วยความพินิจพิเคราะห์ เห็นคิ้วของนายพลแต่ละท่านขมวดแน่นเป็นปม เขาจึงกล่าวเสียงทุ้มว่า “อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการโจมตีชิงโจวคือความมั่นคง ไม่ใช่ความเร็ว ยิ่งโจมตีเร็วเท่าใด นักรบก็ยิ่งเสียหายเร็วขึ้นเท่านั้น ตอนที่พวกเราไม่สามารถโจมตีไปถึงเมืองหลวงได้ ฝ่ายนักรบก็เหลือจำนวนน้อย ดังนั้น เพื่อจัดการกับหว่านจวิ้น จะเป็นการดีที่สุดที่จะล้อมไว้มากกว่าโจมตีแล้วค่อยๆ ปล่อยให้เหนื่อยจนตาย ถ้ากองทัพชิงโจวมาสนับสนุนได้ทัน พวกเราก็จะขจัดมันให้หมด มาเท่าใดก็ขจัดเท่านั้น”
นายพลท่านหนึ่งส่ายศีรษะ
“สมมุติฐานของการฟันด้วยดาบทื่อคือการยึดอำเภอซงซานมาได้ หากขจัดอำเภอซงซานและตงหลิงถึงจะสามารถบังคับให้กองทัพชิงโจวมารักษาความมั่นคงของหว่านจวิ้นได้อย่างสุดความสามารถ มิเช่นนั้น พวกเขาก็จะใช้อำเภอซงซานเป็นฐานอย่างสมบูรณ์ เพื่อส่งกองกำลังทหารไปร่วมกับกองทหารตงหลิงและขจัดทีมของจีเสวียน หากเป็นเช่นนี้ หว่านจวิ้นจะกลายเป็นก้อนหินแข็งที่ขัดขวางกำลังหลักของกองทัพเรา”
ในที่สุดผู้นำทัพชีก่วงป๋อก็เปิดปากพูด “จัวเฮ่าหรานมีรายงานกลับมาหรือไม่?”
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จัวเฮ่าหรานส่งรายงานด่วนกลับมาว่า นักรบชั้นยอดหกพันคนพบการต่อต้านอย่างแข็งกร้าวจากกองทหารรักษาการณ์ที่อำเภอซงซานและต้องการกำลังเสริม
ชีก่วงป๋อส่งกองทัพหงส์แดงสี่สิบตัวไปช่วยสนับสนุนโดยเร็วที่สุด
ตามเหตุผลแล้ว อำเภอซงซานก็ควรจะชนะเช่นกัน
“เจ้าสวี่ซินเหนียนทำให้ข้าผิดคาดมาก ถึงแม้จัวเฮ่าหรานจะไม่ชำนาญในการล้อมโจมตี แต่นักรบกล้าหาญหกพันนายภายใต้บังคับบัญชาของเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชายหนุ่มอายุน้อยที่จะสามารถมาถึงขั้นนี้ได้”
ชีก่วงป๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นคือพรสวรรค์”
ในขณะที่กล่าว เสียงฝีเท้าวิ่งเตลิดก็มาหยุดลงที่นอกกระโจม ชีก่วงป๋อมองไปทางช่องที่เปิดอยู่ เห็นทหารคนหนึ่งวิ่งมาจากที่ไกลๆ จึงกล่าวว่า “มีเรื่องอะไร”
ทหารที่มารายงานกล่าวเสียงดังว่า “กองทัพหงส์แดงกลับมาที่ค่ายแล้วขอรับ มีรายงานว่า นักรบชั้นยอดหกพันนายที่ยกทัพไปอำเภอซงซานถูกกวาดล้างหมดแล้วขอรับ จัวเฮ่าหรานหนีไป ไม่รู้ว่าไปที่ใด ส่วนกองทัพหงส์แดงเหลือกลับมาเพียงแปดตัวจากสี่สิบตัวขอรับ”
ในขณะที่กล่าวก็วางกระดาษข้อมูลลงบนพื้น
ภายในกระโจม สีหน้าของนายพลทุกท่านต่างก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ชีก่วงป๋อหรี่ตาลง สีหน้าและท่าทางของเขาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้า หยิบกระดาษรายงานจากมือของทหารและเริ่มอ่านออกเสียง “แม่ทัพใหญ่?”
เก่อเหวินเซวียนตะโกนเสียงเบา
ชีก่วงป๋อส่งรายงานในมือของตนเองไปโดยไม่ได้แสดงออกใดๆ
เก่อเหวินเซวียนอ่านจบแล้วก็ตกอยู่ในความเงียบ
ข้อมูลเผยแพร่ไปในหมู่นายพลของแต่ละค่าย ท่ามกลางความเงียบนั้น ในที่สุดก็มีคนที่ทนไม่ได้และกัดฟันกล่าวว่า “เผ่ากู่เป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งแล้ว”
ช่วงก่อนหน้านี้ที่เก่อเหวินเซวียนกลับไปที่ค่ายทหาร หลังจากแจ้งให้ทุกคนทราบว่าการผูกพันธมิตรกับเผ่ากู่ล้มเหลว กองทัพชั้นอาวุโสของอวิ๋นโจวก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีคลุมเครืออยู่ในใจแล้ว
นายพลทุกท่านต่างก็มองไปที่ชีก่วงป๋อ
ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอวิ๋นโจวท่านนี้ตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวว่า “น่าสนใจ”
ย้อนกลับไปตอนที่เขาเข้าร่วมกองทัพครั้งแรก สิ่งที่เขาพูดก็คือคำนี้ ตอนที่ฝึกซ้อมเตรียมพร้อมบนกระบะทรายกับสวี่ผิงเฟิง สิ่งที่เขาพูดก็ยังเป็นคำนี้
…
ตงหลิง ประตูเมืองทางทิศใต้พังทลายลงเป็นซากปรักหักพัง
ในตอนแรก กองทหารรักษาการณ์ของต้าฟ่งและกองทัพอวิ๋นโจวเปิดฉากรบและยึดถนนสู้กันในเมือง จากนั้นไฟแห่งสงครามก็แผดเผาไปทั่วพื้นที่ทุกตารางนิ้วของเมือง
หลังจากจากสู้รบกันบนท้องถนนเป็นเวลาหกวัน จำนวนประชากรในเมืองก็ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง
ประชาชนบางส่วนหลบหนีจากตงหลิง บางส่วนถูกกองทัพอวิ๋นโจวหรือไม่ก็กองทัพต้าฟ่งบีบบังคับให้เป็นทหารเข้าร่วมกองทัพ บางส่วนก็ตายลงในเปลวเพลิงแห่งสงคราม
จากนั้น กองทหารรักษาการณ์ของต้าฟ่งก็ถอยทัพออกจากตงหลิงและไปเปิดฉากรบในสนามกับกองทัพอวิ๋นโจว
สงครามในเมืองเพิ่งจะสงบลง แต่สิ่งที่ตามมาคือการปล้นสะดมของกองทัพอวิ๋นโจว เงิน อาหาร และผู้หญิงในครอบครัวของประชาชนถูกปล้นไปทั้งหมด
ในลานบ้านที่ถูกป้องกันไว้เป็นอย่างดีหลังหนึ่ง สวี่ผิงเฟิงกำลังไอด้วยใบหน้าซีดเซียว พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากฝ่ามือของเขา
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูก เพราะมีเขาอยู่ อุณหภูมิในลานบ้านจึงร้อนระอุราวกับอากาศกลางฤดูร้อน
“ไม่ได้บาดเจ็บหนักเช่นนี้มาหลายปีมากแล้ว อาจารย์ก็ยังเป็นอาจารย์”
แม้ว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ในดวงตาของสวี่ผิงเฟิงกลับมีรอยยิ้ม
เขาชำเลืองมองเจียหลัวซู่ “แต่ต่อให้เป็นอาจารย์ก็ไม่สามารถทำให้ท่านบาดเจ็บหนักได้”
เจียหลัวซู่หลับตาทำสมาธิและกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนั้นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็ทำอะไรข้าไม่ได้เช่นกัน ยกเว้นตอนที่อาณาจักรหมื่นปีศาจพินาศย่อยยับ ข้าเกือบตายด้วยน้ำมือของเสินซู ข้าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาห้าร้อยปีแล้ว ดูเหมือนเผ่ากู่จะร่วมสงครามด้วย”
สวี่ผิงเฟิงส่ายศีรษะอย่างเฉยเมย
“มันเป็นเรื่องเล็กน้อย การผูกพันธมิตรกับเผ่ากู่เป็นเพียงฉากบังหน้า จุดประสงค์ที่แท้จริงคือการส่งไป๋ตี้จำแลงกายไปพบเทพเจ้ากู่ สำหรับลูกชายคนโตของข้า ปล่อยให้เขากระโดดโลดเต้นไปเถอะ เลื่อนขึ้นขั้นผสานเต๋าเมื่อใด ถึงจะมีคุณสมบัติต่อกรกับข้า เฮ้อ หลายปีผ่านไปเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็ไขข้อข้องใจของข้าได้เสียที”
เจียหลัวซู่ลืมตาและจ้องมองเขา
“เรื่องอะไรรึ”
สวี่ผิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน่าจะรู้แล้วว่าคนเฝ้าประตูคือใคร”
……………………………………………………