ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 693 จงใจ
สวี่ผิงเฟิงกล่าวจบแล้วก็หันไปมองพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่สงบนิ่งไม่ไหวติง และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนท่านจะไร้ข้อสงสัย หรือว่าพวกสำนักพุทธรู้นานแล้วรึ?”
เจียหลัวซู่กล่าวเสียงเบาว่า “อันตัวข้านี้เป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นสิ่งว่างเปล่ามาตั้งนานแล้ว”
สวี่ผิงเฟิงไม่ออกความเห็นและจัดการต้มชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน แต่จู่ๆ เขาก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาตามร่องนิ้วมือและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า “โชคดีที่ชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งไม่ได้อยู่ที่ต้าฟ่งแล้ว มิเช่นนั้นแผนการฆ่าของอาจารย์เมื่อวานนี้อาจขัดเกลาพวกเราทั้งสองก็เป็นได้ รุ่นที่หนึ่งไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ นั่นเป็นเพราะสำนักพุทธของพวกเจ้าใช้คนจำนวนมากรังแกคนจำนวนน้อย”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่กล่าวอย่างไม่ยินดีและไม่โกรธ “เจ้าวางแผนจะเที่ยวเล่นอยู่ที่ชิงโจวนานเท่าใด?”
สวี่ผิงเฟิงใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดเลือดบนฝ่ามือและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คนที่ตกปลาเก่งต้องล่อปลาให้เก่งก่อน ชีก่วงป๋อยังทนได้ แล้วทำไมข้าจะทนไม่ได้”
…
ซินเจียงตอนใต้
กลางดึกที่ฝนตกหนัก!
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จะให้ข้าฆ่านางหรือ…” หญิงงามที่ไม่มีใครเปรียบได้แห่งยุคค่อยๆ พ่นออกมาจากริมฝีปากสีแดงเพลิง “ฆ่าเจ้า!”
เกิดลมพัดแรงฟ้าร้องดังสนั่น เมฆดำเคลื่อนตัวอยู่เหนือศีรษะราวกับน้ำหมึกดำ
สวี่ชีอันคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบาก น้ำฝนชำระล้างรอยเลือดบนร่างกายของเขาจนหมดจด เส้นผมเกาะติดอยู่บนใบหน้า
ดาบเหล็กที่ขึ้นจุดสนิมทาบอยู่ที่ลำคอ แสงของดาบเย็นชาไม่ต่างจากหญิงงาม
เขาเงยหน้าอันหล่อเหลาขึ้นพลางเผยรอยยิ้มอันขมขื่น “เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเสียเถอะ”
ดวงตาของสตรีที่ไม่มีใครเปรียบได้แห่งยุคฉายแสงสว่างแวบหนึ่ง
วินาทีต่อมา ความปรารถนาและแผนการทั้งหมดของสวี่ชีอันก็หายไป
…
สวี่ชีอันลุกพรวดขึ้นจากเตียงและหอบอย่างรุนแรง เขาราวกับผล็อยหลับไปและดูเหมือนผ่านชีวิตมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็ตื่นจากความวุ่นวายมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
หลังจากนั้นเขาก็ใช้มือซ้ายแตะที่คอของตนเองทันที ส่วนมือขวาสัมผัสอยู่ที่หว่างคิ้ว
“สวี่หลางไม่ต้องกังวล ข้าจะฆ่าเจ้าได้อย่างไร! ข้าเพียงใช้พลังดาบสั่นสะเทือนจิตเดิมของสวี่หลางเท่านั้น”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังลอยมาจากหน้าต่าง
แสงเทียนราวกับเม็ดถั่ว ที่ข้างหน้าต่างปรากฏภาพด้านหลังของร่างสูงในชุดขนนก เมื่อร่างนั้นเห็นเขาตื่นก็ปรายตามองด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
นางสง่างามไร้ที่ติ แต่ดูเหมือนจะมีอันตรายซ่อนอยู่ในความงามนั้น เมื่อรอยยิ้มของหญิงงามเบ่งบาน สวี่ชีอันก็ราวกับเห็นการกำเนิดของแม่มดที่ไร้เทียมทาน
ปวดหัวมาก...สวี่ชีอันพยายามทำจิตใจให้สงบ เขาเหมือนกับคนมึนงงที่เพิ่งฟื้นจากอาการเมาค้าง เขาค่อยๆ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ‘อาการโคม่า’
เขาถูกใช้ความรุนแรงแล้ว
เมื่อวานนี้ลั่วอวี้เหิงเป็นบุคลิกแห่งความ ‘ปรารถนา’ นางรบกวนเขาในการบำเพ็ญคู่ต่อเนื่องยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างไม่ขาดสาย
กว่าจะถึงยามจื่อนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ในที่สุดก็ปล่อยความปรารถนาออกไปได้ ถึงแม้สวี่ชีอันจะทนได้เหมือนครั้งที่แล้ว แต่ก็รู้สึกถึงความอ่อนเพลียเล็กน้อย
ใครจะไปคิดว่าบุคลิกหลังจากความปรารถนาจะ ‘ชั่วร้าย’
มันเป็นบุคลิก ‘ชั่วร้าย’ ที่สวี่ชีอันไม่เคยสัมผัสมาก่อนระหว่างการบำเพ็ญคู่ครั้งที่แล้ว
หลังจากบุคลิก ‘ชั่วร้าย’ ปราฏขึ้น ประโยคแรกที่เปิดปากพูดคือ ข้าเกลียดมู่หนานจือ ข้าจะฆ่านาง และต้องการให้สวี่ชีอันนำเจดีย์พุทธะออกมาเพื่อปล่อยมู่หนานจือออกมา
แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่เห็นด้วย เขาจึงคิดที่จะอาศัยความเก่งกาจทางด้านฝีปากมาทำให้ลั่วอวี้เหิงพอใจ ดังนั้นจึงปัดเป่าความคิดนี้ของนางออกไปได้
ใครจะคาดคิดว่าบุคลิกชั่วร้ายจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นไร้ความรู้สึก ทั้งสะบัดผมไม่สนใจใครและเกิดความขัดแย้งกับเขาอย่างรุนแรง
สองคนทะเลาะกันอยู่ที่ชายแดนเขาป๋อ
“ข้าเอาชนะนางไม่ได้จริงๆ ถึงแม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่เคยแสดงไพ่ใบสุดท้ายออกมา ถึงแม้นางจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาก่อน แต่ช่องว่างระหว่างข้าและลั่วอวี้เหิงก็ไม่น้อยทีเดียว…สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นหนึ่ง…”
สวี่ชีอันพึมพำอย่างเงียบๆ
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เขาจ้องมองหญิงงามที่ข้างหน้าต่างอย่างระมัดระวัง
“ข้าเพียงแค่อยากโบยบินไปกับสวี่หลาง อยู่ครองคู่กันไปตลอดชีวิต”
ลั่วอวี้เหิงกะพริบดวงตาอันงดงามช้าๆ มุมปากยกยิ้ม
นางย่างกรายอย่างนุ่มนวล เดินไปนั่งลงที่โต๊ะและเท้าคางขึ้น แสงเทียนทำให้ใบหน้าของนางสว่างไสวราวกับหยกงามที่ไร้ตำหนิและอ่อนโยนที่สุดในโลกหล้า
“แต่เจ้ามักจะนำเทพดอกไม้มาอยู่ข้างๆ ทำให้ข้าทุกข์ใจมาก” ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยความทอดถอนใจ
เจ้าถูกจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสิงร่างแล้วกระมัง…สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น ท่านน้าเป็นเช่นนี้ทำให้เขาไม่ชินเล็กน้อย
“ยังมีชื่อเสียงอันน่าอับอายของเจ้าก่อนหน้านี้อีก เมื่อนึกถึงเจ้าที่เป็นคนสำมะเลเทเมา เข้าออกสำนักสังคีตเป็นว่าเล่น ตัวข้าเองก็ทุกข์ใจมาก”
ท่านน้าส่งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์โดยไม่รอให้สวี่ชีอันตอบกลับ “มันผ่านไปแล้ว ข้าก็ไม่ควรไปสนใจ ตอนที่เจ้ากำลังหลับลึก ข้าใช้ดาบตัดกล่องดวงใจของเจ้า ข้าลำอาอดีตแทนเจ้าแล้ว เจ้าในตอนนี้สะอาดไร้มลทิน อืม เจ้าอยากดูมันหรือไม่?”
สวี่ชีอันก้มลงไปมองเป้าของตนเองและมองนางด้วยความตกตะลึงอย่างยิ่ง
ทั้งสองสบตากันอย่างสงบครู่หนึ่ง จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา นางหัวเราะจนเสียงสั่นสะท้าน ทรวงอกอันอวบอิ่มก็กระเพื่อมตามแรงหัวเราะ
“ข้าล้อเจ้าเล่น…”
นางยิ้มหวานพลางนอนลงบนโต๊ะ
ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ชั่วร้ายเหมือนเจ้า…สวี่ชีอันไม่รู้สึกโล่งใจสักนิด เพราะเขาไม่แน่ใจว่าลั่วอวี้เหิงพูดความจริงหรือไม่
สิ่งที่โชคดีคือ บุคลิก ‘ชั่วร้าย’ ของลั่วอวี้เหิงยังคงควบคุมได้ โดยทั่วไปแล้ว บุคลิกชั่วร้ายจะไม่มีการเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
การทะเลาะในครั้งแรกสุดก็เหมือนเป็นวิธีการที่แสดงว่าตนเองมาถึงแล้ววิธีหนึ่ง และยังสามารถถือว่าเป็นความชั่วร้ายของนางได้
“ความชั่วร้ายของนางเป็นความชั่วร้ายรูปแบบเก็บตัว ไม่ใช่การป่าวประกาศที่ถึงกับอดไม่ไหวที่จะตราหน้าคนเลว นอกจากนี้ บุคลิกทั้งเจ็ดยังพัฒนามาจากนิสัยของลั่วอวี้เหิงเอง หากเนื้อแท้ลั่วอวี้เหิงเป็นคนใจดี เช่นนั้นสภาพของบุคลิกชั่วร้ายก็สามารถเดาได้ นางอาจจะชั่วแต่ก็ไม่ถึงกับฆ่าคนอย่างกระหายเลือด อืม ยังต้องทำการสังเกตให้มาก”
ในขณะที่คลื่นความคิดของสวี่ชีอันกำลังแล่น ก็ได้ยินลั่วอวี้เหิงบิดขี้เกียจ
“เมื่อวานเจ้าทรมานข้าเช่นนั้น ร่างของข้าถูกเจ้าฉีกออกหมดแล้ว ข้าต้องการพักผ่อน”
เมื่อวานนี้เป็นเจ้าที่ทรมานข้าต่างหาก บุคลิกปรารถนาช่างน่ากลัวจริงๆ…เขาตำหนินางในใจก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหลีกทางให้นาง
ลั่วอวี้เหิงปากบอกว่าจะพักผ่อน แต่ตัวกลับนั่งข้างโต๊ะไม่ไหวติงพลางขมวดคิ้วเบาๆ “เตียงสกปรกแล้ว เปลี่ยนใหม่”
…สวี่ชีอันจึงเปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่ส่งกลิ่นแปลกๆ เป็นผ้าปูผืนใหม่
ลั่วอวี้เหิงทิ้งตัวนอนแผ่หลาบนเตียง ค่อยๆ ยกชายชุดขนนกขึ้นอย่างแผ่วเบา ชายเสื้อผ้าเลื่อนผ่านน่องขาที่ได้สัดส่วนและหยุดลงบริเวณโคนขาที่กลมดิก
นางหันกลับไปมอง พลางเผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้
“อยากบำเพ็ญคู่หรือไม่?”
“ข้าว่าการพักผ่อนที่เหมาะสมสามารถฟื้นฟูพลังปราณได้ดีกว่าการบำเพ็ญคู่นะ”
สวี่ชีอันปฏิเสธนางอย่างสุภาพ
หากพูดว่าเขาไม่มีทางควบคุมลั่วอวี้เหิงภายในสภาพปกติได้ แต่กล้าที่จะหยอกเย้าด้วยใบหน้าทะเล้น เช่นนั้นลั่วอวี้เหิงที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็เป็นคนที่เขาทั้งไม่กล้าหยอกล้อและไม่มีทางควบคุมได้ด้วย
เมื่อคำนึงถึงความรอบคอบ เขาตัดสินใจสังเกตพฤติกรรมของบุคลิก ‘ชั่วร้าย’ เพิ่มเติม
ลั่วอวี้เหิงเม้มริมฝีปากด้วยความผิดหวัง นางหันไปเป่าปากเบาๆ พร้อมกับเทียนที่ดับลง
นางซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มและกลิ้งไปกลิ้งมา
สวี่ชีอันนอนลงอีกครั้ง สองมือหนุนอยู่ที่ด้านหลังศีรษะ พลางจ้องมองเพดานในห้องอันมืดมิดอย่างไร้จุดหมาย
ตอนนี้คือยามอิ๋น เวลาของความปรารถนาเพิ่งจากไป ตามสถานการณ์ที่ผ่านมา เขาควรจะหลับสักตื่น เมื่อถึงเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ถึงจะมีการเปลี่ยนบุคลิก
แต่บุคลิกปรารถนาเพิ่งจากไป บุคลิกชั่วร้ายก็กระโดดออกมา
นี่หมายความว่าบุคลิกชั่วร้ายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเจ็ดบุคลิกใช่หรือไม่?
หลังจากคิดๆ ดูแล้ว ทิศทางความคิดของเขาก็หันไปหาภูเขาสือว่านอีกครั้ง
“ร่างจำแลงของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน...คาดว่าการเฝ้ารักษาน่าจะมีขั้นสอง…พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็อยู่ขั้นสอง ประกอบกับอาซูหลัว…คิดจะยึดภูเขาสือว่านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย…อืม จิ้งจอกเก้าหางน่าจะจัดการกับร่างจำแลงของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนได้ หากนางไม่มีความสามารถนี้ก็คงไม่ถึงนึกการฟื้นฟูอาณาจักร เผ่าพันธุ์ปีศาจยังมีเหนือมนุษย์ท่านหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นหมีขี้เกียจตัวหนึ่ง แต่เขาก็อยู่แค่ขั้นสาม เฮ้อ นี่ความคิดของข้าล่องลอยเกินไปใช่หรือไม่…หากเป็นเพียงเช่นนี้ พวกเราก็คงแย่งชิงภูเขาสือว่านมาได้ยากมาก ถึงแม้เจ็ดยอดกู่จะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ข้าก็มีความเป็นไปได้สูงที่ข้าไม่สามารถเอาชนะอาซูหลัวได้ ดังนั้น กำลังหลักในการต่อสู้กับสำนักพุทธครั้งนี้ก็คือเสินซู เฮ้อ ว่ากันตามความจริงก็คือ ราชันอสูรพาลูกสาวทุบตีลูกชายที่เกิดกับอดีตภรรยา”
สวี่ชีอันบ่นในใจอย่างเงียบๆ พลางกลับไปพิจารณาว่าตนเองจะได้ประโยชน์อะไรจากการต่อสู้ครั้งนี้
“พยายามจับตู้เอ้อร์เป็นเชลย ให้เขาช่วยข้าปลดตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้าย หลังจากนั้นข้าก็จะบำเพ็ญคู่กับพระมเหสีและเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสอง…”
“นอกจากนี้ ในที่สุดข้าก็จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเทียบกับท่านน้าแล้วใครจะสวยกว่ากัน”
สำหรับมู่หนานจือ สวี่ชีอันจะกีดกันนางไว้ด้านนอก
ความงามเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทพดอกไม้ เสน่ห์ของนางมาถึงขั้นที่ไม่มีใครเทียบได้ จนถึงตอนนี้ สวี่ชีอันก็ยังไม่กล้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงของนางออกมา
ประการแรกคือเขากลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ประการที่สองคือกลัวปัญหาที่จะตามมา
การที่เทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดเที่ยวออกไปเดินเตร่ด้านนอกโดยไม่ปลอมตัวจะดึงดูดปัญหาเช่นไรเข้ามาก็น่าจะเป็นเรื่องที่จินตนาการออก
ต่อให้มีความสามารถที่จะรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตนเองต้องจมอยู่กับปัญหาไม่รู้จบ
เวลานี้เอง ลั่วอวี้เหิงที่ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ และเลียติ่งหูของเขาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“นี่ราชครูทำอะไร”
สวี่ชีอันถามด้วยความตกตะลึง
“ก็ยั่วยวนเจ้าไงล่ะ”
ในความมืด ดวงตาของลั่วอวี้เหิงเป็นประกายสว่างราวกับดวงดาวในตอนกลางคืน
อย่าอึกทึกไป…มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับหัวใจที่สั่นระรัว “ราชครู พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทางไปภูเขาสือว่านเพื่อช่วยเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดแผ่นดินคืน เจ้ายังมีพลังการรบเท่าใด?”
ลั่วอวี้เหิงหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “เจ้าขอร้องข้าสิ แล้วข้าจะบอกเจ้า”
นางพลิกตัวขึ้นไปนั่งทับบนท้องน้อยของสวี่ชีอัน ใช้มือทั้งสองยันไว้ที่หน้าอกแกร่งของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้สิ ในท้องของข้ามีลูกของเจ้าอยู่ จะต่อสู้ไม่ได้”
ในขณะที่กล่าว นางก็ลูบหน้าท้องอันแบนราบของตนเองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก
อะไรจะเร็วขนาดนั้น…สวี่ชีอันไม่อยากอธิบายให้ผู้หญิงชั่วร้ายฟัง
ลั่วอวี้เหิงไม่ได้สนใจขาสักนิด พลางพูดต่อด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ “พระสงฆ์แห่งสำนักพุทธทั้งมีกึ๋นทั้งเก่ง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด”
สวี่ชีอันไม่พูดอะไร เพียงแค่มองนางอย่างเงียบๆ
ลั่วอวี้เหิงกล่าวต่อไปว่า “สวี่หลางคิดว่าข้ากับเจ้า ใครแข็งแกร่งกว่ากัน?”
“ท่าน!”
สวี่ชีอันต้องยอมรับแต่โดยดี
ว่ากันตามจริงแล้ว เพราะลั่วอวี้เหิงต้องการดับไฟแห่งกรรม เตรียมพร้อมที่จะข้ามความหายนะ ดังนั้นนางจึงลงมือน้อยมาก และมักจะหน้าแดง ขมวดคิ้ว กัดริมฝีปากด้วยพวงแก้มแดงก่ำ สิ่งนี้ทำให้เขาค่อยๆ ลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็นผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ที่สง่างาม
บำเพ็ญคู่ขั้นสอง
นางอยู่ในระดับสูงกว่าเขาครึ่งระดับเต็มๆ
จนกระทั่งทะเลาะกันในคืนนี้ เขาถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองในฉับพลัน
ลั่วอวี้เหิงถามอีกครั้งว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าถ้ามีซุนเสวียนจีอีกคนจะเอาชนะข้าได้หรือไม่?”
สวี่ชีอันพิจารณาถึงไพ่ไม้ตายและวิธีการของตนเองอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า “ถึงแม้จะไม่เคยต่อสู้มาก่อน แต่ข้าจะฉวยความคิดไม่ได้”
ริมฝีปากแดงของลั่วอวี้เหิงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยและกล่าวเสียงหวานว่า “เช่นนั้นเจ้ากับซุนเสวียนจีเอาชนะอาซูหลัวได้อย่างไร?”
สวี่ชีอันตกตะลึงตัวแข็งทื่อ
ท่านน้าหัวเราะเบาๆ อย่างมีเสน่ห์ นางก้มศีรษะลงไปประกบปากของคนรักอย่างดูดดื่ม ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พระอรหันต์ขั้นสองขึ้นชื่อในการใช้วิชาการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในการสังหารหัวขโมย พลังเทพวชิระขั้นสามและเผ่าอสูร พลังที่แสดงออกมาจากนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าอาศัยพลังของตนเองในการสกัดกั้นเขาได้อย่างไร? ตะปูตอกวิญญาณของเจ้าก็ยังไม่ถูกปลดออก สิ่งที่ยอดเยี่ยมคือมันใกล้บรรลุขั้นสาม อาศัยเจดีย์พุทธและเจ็ดยอดกู่ที่ยังไม่บรรลุขั้นเหนือมนุษย์ เป็นไปได้อย่างไรที่จะเข้าไปยุ่งกับเขาได้นานเช่นนั้น”
นี่…รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวเล็กน้อย
ตอนนี้เขากำลังตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ใช่แล้ว ตอนที่ข้าอยู่ขั้นสาม ข้าอาศัยความช่วยเหลือจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ดาบสยบดินแดน และเสินซู อีกทั้งยังพยายามจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดถึงจะสังหารเจินเต๋อขั้นสองได้
แต่อาซูหลัวนั้นแข็งแกร่งกว่าเจินเต๋ออย่างแน่นอน
ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจ
“เจ้าไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับสำนักพุทธ จึงไม่แปลกที่เจ้าจะไม่เคยสังเกตเห็นปัญหา ครั้งนี้เจ้าร่วมมือกับเผ่าปีศาจในการบุกโจมตีภูเขาสือว่าน เจ้าต้องระวังให้มาก บางทีนี่อาจจะเป็นเกมที่สำนักพุทธสร้างขึ้น? จงใจส่งแขนขาบางส่วนของเสินซูออกมาเพื่อให้เผ่าปีศาจมองเห็นความหวังในการฟื้นฟูอาณาจักร เจ้าคิดว่าหากการฟื้นฟูอาณาจักรครั้งนี้ล้มเหลว เผ่าปีศาจจะยังมีโชคอีกรึ?”
สวี่ชีอันจ้องนาง
“ราชครูจงใจทะเลาะกับข้า…”
…………………………………………………