ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 694 ด่านถามใจตนแห่งพุทธศาสนา
ลั่วอวี้เหิงยกขาเรียวขาวไว้ตรงหน้าท้องของเขา แล้วกะพริบดวงตางาม พลางเอ่ยอ้อมค้อมอย่างเศร้าสร้อยว่า “เรื่องที่เหตุใดผู้คนถึงทำร้ายสวี่หลางได้ลงคอ ก็เพราะสวี่หลางเป็นคนไร้น้ำใจไร้คุณธรรมไงเล่า เห็นกันชัดๆ อยู่ว่ามีข้าแล้ว ก็ยังจะไปพัวพันกับมู่หนานจือ ซ้ำยังพานางออกท่องยุทธภพอีก
“หากในอนาคตหลังข้าให้กำเนิดบุตร เจ้าคงได้ทิ้งภรรยาเพื่อหนีไปอยู่กับหญิงแพศยานั่นแน่”
ระหว่างที่พูดนั้น นางก็พลันกวักมือเรียกกระบี่เหล็กที่มีสนิมด่างหลายจุด ก่อนจะเล็งปลายกระบี่ที่ท้องน้อยของตน สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะฆ่าลูกของเจ้าเสีย จบสิ้นสองชีวิตในหนึ่งร่าง”
ตอนนั้นเองสวี่ชีอันก็คิดถึงราชครูคนเดิมที่เคยเย็นชาห่างเหินขึ้นมาเล็กน้อย นวดคลึงหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว “ท่านราชครู สมองของท่านมีปัญหาหรือไม่”
จากนั้นกระบี่แหลมคมแสนเยียบเย็นก็มาจ่ออยู่บริเวณลำคอกะทันหัน ท่ามกลางความมืด นัยน์ตาคู่นั้นดูเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง พร้อมยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “เจ้าพูดว่าอันใดนะ ข้าไม่ค่อยได้ยิน”
“ท่านราชครู เหมือนว่าสมองของข้าจะมีปัญหานิดหน่อย อาจเป็นเพราะโดนท่านตีจนเกิดความเสียหาย หลังจากท่านเขย่าขวัญจิตเดิมของข้าแตกกระเจิงไป ได้รวบรวมวิญญาณของข้าดีๆ บ้างหรือไม่” สวี่ชีอันพลิกแพลงคำพูดทันที
สีหน้าและอารมณ์ของลั่วอวี้เหิงพลันเปลี่ยน ก่อนจะทิ้งกระบี่เหล็ก แล้วขยี้ศีรษะของสวี่ชีอันแทน “ว่าง่ายดีนี่!”
สติฟั่นเฟือนไปแล้ว อีกยี่สิบสี่ชั่วโมงให้หลังจะขอบอกลาเจ้าล่ะนะ…สวี่ชีอันรับมือด้วยการฝืนยิ้ม
ด้วยการแสดงออกของลั่วอวี้เหิง ทำให้เขารู้ว่าผู้นำเต๋าคนนี้มีความปรารถนาอันแรงกล้า และหวาดระแวงต่อมู่หนานจืออย่างยิ่ง
นอกจากจะขี้หึงรุนแรงแล้ว ยังคิดจะหมายหัวหญิงอื่นของเขาอีกด้วย ทว่าบุคลิกอื่นๆ ก็ล้วนระแวดระวังและหวั่นเกรงต่อเทพดอกไม้ทั้งสิ้น
ดูท่าในสายตาของท่านราชครู หนานจือคงเป็นศัตรูด้านความรักที่แข็งแกร่งมากที่สุดสินะ ส่วนหญิงอื่นไม่คณามือท่านเท่าไร และเทพดอกไม้น่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ท่านราชครูสูญเสียความมั่นใจในความงามสตรีของตนได้…ขณะที่ในใจคิดเช่นนี้ สวี่ชีอันก็แอบเหล่ตามองยัยตัวร้ายที่อยู่ด้านข้าง
ซึ่งยัยตัวร้ายก็ขยิบตาให้อีกฝ่าย
จากนั้นสวี่ชีอันก็ดึงสายตากลับ พลางพูดในใจว่า ไม่เป็นไร แม้ว่าเจ้าจะไม่งามเท่านาง แต่เจ้าก็อวบอั๋นดูเย้ายวนหนา
ระหว่างที่เขาหลับตาไม่ได้สนใจขาขาวนวลกำลังถูบริเวณหน้าท้อง และเริ่มทบทวนกลยุทธ์ศึกสงครามของอาซูหลัวในครานั้น
ข้าไม่เคยเอื้อมถึงระดับเต๋าแยกขันธ์มาก่อน จึงไม่รู้ว่าอาซูหลัวมิได้อ่อนให้ แต่เมื่อมานึกย้อนตอนนี้ ก็ราวกับว่าพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ไม่ได้แกร่งกล้าอย่างที่คาดเอาไว้ ถึงโจมตีใส่ข้ารุนแรงกว่านี้อีกขั้น ทว่ามันก็ได้แค่นั้น
มาคิดดูในตอนนี้ มันก็ดูมีเรื่องลับลมคมในอย่างชัดเจน
และสำหรับเรื่องพลังต่อสู้ของเทพอารักษ์ขั้นสาม อาซูหลัวก็ไม่ได้อ่อนข้อให้แต่อย่างใด อีกทั้งเขาต้องการจะจัดการข้าจริงๆ …ทว่าหากเขาเริ่มปลดปล่อยสายเลือดแห่งอสูรขึ้นมาเล่า?
หากกายาจิตของเทพอารักษ์ขั้นสามรวมเข้ากับสายเลือดแห่งอสูร เกรงว่าคงสามารถจับข้าห้อยเฆี่ยนตีได้โดยง่าย ซึ่งก็เป็นการสามารถอธิบายได้อย่างแม่นมั่นว่าเหตุใดเขาถึงนับถือศาสนาพุทธ อำลาอดีต และไม่ยอมปลดปล่อยสายเลือดแห่งอสูรจนกว่าจะไม่เหลือหนทางอื่น
แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย…
แม้ว่าเขาและซุนเสวียนจีจะเอาชนะอาซูหลัวได้ แต่ก็เพราะการร่วมใจกันต่อสู้เป็นอย่างดี และใช้ประโยชน์จากตะปูตอกวิญญาณเพื่อก่อให้เกิด ‘การโจมตีขั้นปางตาย’ ที่ทำให้อีกฝ่ายพลังอ่อนแอลง ทว่าสุดท้ายหลังจากแย่งชิงขาทั้งสองของเสินซูได้ ก็ยังทำได้เพียงแค่หนีอยู่ดี
ดูเหมือนว่าการอาศัยตะปูตอกวิญญาณ เจดีย์พุทธะ และวิธีอื่นๆ จะทำให้ชนะไปได้อย่างหวุดหวิด
ในสายตาคนนอก ไม่ใช่ว่าอาซูหลัวมิได้แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะสวี่ชีอันเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมากเกินต่างหาก
ทว่าเรื่องนี้อย่างไรก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนของเขาเชื่อได้ เพราะในสถานการณ์นั้น ส่วนใหญ่ซุนเสวียนจีจะคอยช่วยโจมตีขณะกลัวหัวหดอยู่บนท้องฟ้า ส่วนตนที่ร่างอยู่ในขั้นสามก็รับหน้าที่ขัดขวางอาซูหลัวเพียงลำพังเป็นเวลานานมาก
วันนี้หลังจากประมือกับท่านน้า ก็น่าแปลกใจที่ยอดฝีมือระดับสูงขั้นสองไม่อาจต้านทานจอมยุทธ์ขั้นสามได้
แล้วเหตุใดเขาถึงใช้เวลาในการขัดขวางอาซูหลัวนานขนาดนั้น?
นึกไม่ถึงว่าเขาจะแสร้งแสดงต่อหน้าข้า…จากนั้นสวี่ชีอันก็พลันส่งเสียงจิ๊ปาก อาซูหลัวไม่ใช่แค่แสร้งแสดงกับเขา แต่ยังแสดงได้แนบเนียนดีอีกด้วย
ประการแรก ยามทั้งสองต่อสู้กันนั้น อาซูหลัวหมายจะจัดการสวี่ชีอันจริงๆ แต่สุดท้ายก็เป็นสวี่ชีอันที่ชนะด้วยตะปูตอกวิญญาณ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเอาชนะไปได้อย่างหวุดหวิด
ในสถานการณ์เช่นนี้ โดยปกติแล้วคนมักเกิดความรู้สึกว่าที่ตนเองชนะไปนั้นเป็นดูเก่งกาจยิ่งยวด เพราะฝ่ายศัตรูดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ไหนเลยจะสงสัยเรื่องอาซูหลัวแสร้งแสดงได้เล่า?
คำถามคือ ทำไมอาซูหลัวต้องแสร้งแสดงกับข้าด้วย…อย่างแรก เขาไม่มีทางเป็นฝ่ายพันธมิตรแน่ เพราะเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ธาตุทั้งสี่ล้วนว่างเปล่า ก็ไม่มีโอกาสที่จะมีความคิดจะทรยศหักหลังฝ่ายตัวเองด้วยซ้ำ
พระโพธิสัตว์และพระอรหันต์แห่งสำนักพุทธมิได้โง่เขลา หากอาซูหลัวทำตัวมีปัญหา ก็เป็นไม่ได้ที่จะส่งเขามาอารักขาที่ซินเจียงตอนใต้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำตอบก็น่าจะมีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือภายในสำนักพุทธเกิดความขัดแย้งกัน ศึกระหว่างพุทธมหายานและพุทธหินยานร้ายแรงกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ดังนั้นจึงต้องการศัตรูภายนอกอย่างเผ่าพันธุ์ปีศาจนี้เพื่อเปลี่ยนความขัดแย้ง?
คำอธิบายนี้นับว่าใช้ได้ เพียงแต่ยังรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป
พรุ่งนี้ต้องไปที่ภูเขาสือว่านก่อน เมื่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะกลับมา ก็จะได้นำเรื่องเหล่านี้บอกกับนาง ดูซิว่านางจะมีความเห็นว่าอย่างไร หากท่านน้าสามารถสังเกตเห็นได้ถึงรายละเอียดนี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ย่อมสังเกตเห็นด้วยเช่นกัน ทว่านางกลับมิได้พูดออกมา…ไม่ใช่ว่าไม่พูด แต่ข้าที่สามารถแย่งชิงชิ้นส่วนของเสินซูกลับมาได้ นางก็ย่อมยังรู้สึกใจหายใจคว่ำอยู่
หลังจากช่วยฟื้นฟูอาณาจักรหมื่นปีศาจ เชลยศึกอย่างตู้เอ้อร์หรืออาซูหลัวถอดตะปูตอกวิญญาณดอกสุดท้าย และศึกสงครามแห่งภูเขาสือว่านจบลง ก็อาจเกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งจิ่วโจว…
ระหว่างที่ความคิดกำลังล่องลอยอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงลิ้นน้อยๆ ที่ทั้งอุ่นและเปียกเลียแก้มหลายครา
“อะไรเนี่ย!”
ยามสวี่ชีอันหันหน้ากลับไป ก็เห็นดวงหน้างามอยู่ข้างเตียง
ยัยตัวร้ายแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ก่อนที่ดวงหน้างามนั้นจะเผยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ แล้วเชิดคางขาวดุจหิมะขึ้น พูดจายั่วยวนว่า “มาบำเพ็ญคู่กันเถิด”
สวี่ชีอันพลิกตัวกดอีกฝ่ายลงทันที “กายาจิตขั้นสามของข้ามิได้อ่อนแอนะ เตรียมใจร่ำไห้หรือยังล่ะ”
…
วันต่อมา ภายในเจดีย์พุทธะ
ขณะที่สวี่ชีอันกำลังพนมมือ โดยนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่าพระถ่าหลิง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มว่า
“ไต้ซือ ข้าบรรลุธรรมแล้ว”
ยามที่เขาพูดประโยคนี้ ใบหน้าฆ้องเงินสวี่ดูปราศจากความปรารถนาทางโลกใดๆ
ผู้เฒ่าพระถ่าหลิงมองเขา แล้วพยักหน้าอย่างปลื้มปีติ “ดี!”
มู่หนานจือที่อุ้มไป๋จีอยู่ด้านข้าง ก็ยิ้มเย็นชากล่าว “ไต้ซือ เขาบรรลุธรรมมาสองรอบแล้วล่ะ”
สวี่ชีอันจ้องมองนางชั่วครู่หนึ่ง ก่อนดึงเทพดอกไม้ไปอีกฝั่ง เทพดอกไม้ก็เดินโซเซโดนลากไปที่ซอกมุมหนึ่ง โดยมีสีหน้าบึ้งตึง “ใครอนุญาตให้เจ้าแตะตัวข้า”
ไป๋จียกอุ้งเท้าตะปบใส่สวี่ชีอัน พลางเกาะแขนมู่หนานจือแน่น และพูดตะโกนว่า “ปล่อยนะ ปล่อย!”
ยามนี้มันจึงดูเหมือนลูกที่ยืนหยัดปกป้องอยู่ข้างมารดา
สวี่ชีอันชักมือกลับ และส่งเสียง ‘เฮอะ’ พร้อมใช้หัวไหล่ดุนนาง “หึงหวงหรือ?”
มู่หนานจือตอบกลับด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “หึงหวง? เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือที่สตรีทั่วใต้หล้าล้วนหลงรักเจ้าจนถอนตัวไม่ขึ้น?
ไป๋จีพูดเสียงเจื้อยแจ้วเสริม “นั่นสิๆ”
ไม่หรอกๆ ความชื่นชอบที่เหล่าสตรีมอบให้ข้า ล้วนเทียบหลี่หลิงซู่ไม่ติดหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ เขาสิถึงนับว่าเป็นขาใหญ่ที่มีหญิงอยู่ทั่วทุกมุมใต้หล้า…สวี่ชีอันมองไป๋จี แล้วพูดพึมพำว่า “พรุ่งนี้ข้าต้องไปซินเจียงตอนใต้ ช่วงเวลานี้ เจ้าก็อย่าออกมาล่ะ”
มู่หนานจือพลันตาแดงฉาน และจดจ้องไปที่เขา
“ทำไม รังเกียจว่าข้าจะไปขัดขวางการบำเพ็ญคู่ของพวกเจ้าหรือ?”
จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยวาจาเหน็บแนมว่า “ยังมิได้ไถ่ถามเลยว่าการบำเพ็ญคู่ของฆ้องเงินสวี่กับราชครูเป็นอย่างไรบ้าง คิดดูแล้วคงดูดดื่มกันมากละสิท่า ถึงไม่ยินดีแยกจากกันแม้เพียงเวลาสั้นๆ”
อย่างไรมันก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่ดี…สวี่ชีอันทำสีหน้าจริงจัง “มิใช่เช่นนั้น เจ้าอาจไม่รู้ว่าบุคลิกในตอนนี้ของลั่วอวี้เหิงคือ ‘ร้าย’ ที่มาจากคำว่าร้ายกาจ เมื่อคืนนางบังคับข้าให้เอาเจ้าออกจากเจดีย์พุทธะ และต้องการจะฆ่าเจ้าด้วยมือตัวเอง”
สีหน้ามู่หนานจือเปลี่ยนทันที
จากนั้นสวี่ชีอันก็เอ่ยต่อ “ข้าย่อมไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว จึงทะเลาะกับนางไปยกใหญ่”
มู่หนานจือก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวด้วยความหงุดหงิดและโมโห “นางทำร้ายเจ้าหรือ?”
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างอัดอึดใจ กุมมือมู่หนานจือ แล้วพูดเสียงอ่อน
“ข้าเป็นคนหนังหนาไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน และข้าจะไม่มีทางปล่อยให้นางทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”
ความโกรธในใจของมู่หนานจือลดลงไปครึ่งส่วน จากนั้นก็ดึงมือกลับเบาๆ ก่อนเอ่ยฮึดฮัดว่า
“ข้าและเจ้าต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน อย่าพูดจาอุตริเช่นนี้”
นางเม้มริมฝีปาก เพื่อปิดซ่อนรอยยิ้มตรงมุมปากที่เผยอขึ้น
สวี่ชีอันรู้ดีว่าควรหยุดเมื่อได้เปรียบ ก่อนจะพูดเสริมว่า
“แต่ไป๋จีต้องออกไปกับข้า เพราะข้าต้องใช้มันเพื่อติดต่อกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง”
มู่หนานจือกล่าวอย่างกังวล “แต่เจ้าบอกว่าลั่วอวี้เหิงร้ายกาจมากนี่ นางจะไม่ทำให้ไป๋จีลำบากใจเอาหรอกหรือ”
สวี่ชีอันรับไป๋จีจากอ้อมอกของนาง มาอุ้มในอ้อมแขน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ข้าคิดว่ามันอยู่มาได้ถึงอายุเท่านี้ก็น่าจะรับมือไหว”
ไป๋จีตัวสั่นสะท้าน รีบปรับแก้การพูดของตนทันใด “ข้าชอบฆ้องเงินสวี่ที่สุดเลย”
สายไปแล้ว…จากนั้นสวี่ชีอันก็อุ้มไป๋จีลงมายังชั้นสอง ซึ่งที่นี่มีรูปปั้นเทพอารักษ์วางเรียงรายกันอยู่ โดยมีทั้งลักษณะหน้าบึ้งถลึงตามอง ท่าทางหมายโจมตี และลักษณะเคร่งขรึมดูน่ากลัว
ซึ่งรูปปั้นเหล่านี้มีค่ายกลล้อมรอบที่ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะ และยังได้รับวิชาพุทธะอีกด้วย เมื่อรวมกับเจดีย์พุทธะชั้นสาม มันเลยถูกใช้เป็นกรงผนึกผู้บำเพ็ญพรตที่แข็งแกร่งมากที่สุด
ชั้นสองยังมีพลัง ‘คุมขัง’ แพร่กระจายอยู่ด้วย ถึงขนาดที่สามารถสร้างผลกระทบขั้นสองได้เวลาเพียงสั้นๆ
ส่วนไฉซิ่งเอ๋อร์ที่นั่งขัดสมาธิตรงกลางระหว่างรูปปั้นทั้งสอง เดิมทีนางเป็นหญิงรูปโฉมงามแม้จะออกเรือนแล้ว ทว่ายามนี้ช่างดูน่าสงสาร เนื่องการการจองจำเป็นเวลานานทำให้นางอ่อนแอลงเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ผู้คนที่พบเห็นเกิดความเห็นใจ
ยามนี้นางมีใบหน้าขาวซีดซูบผอม และปล่อยผมดำสยายยุ่งเหยิง
ครั้นเหมียวโหย่วฟางมาอยู่ข้างๆ ก็จะรับหน้าที่เป็นทหารประจำคุก คอยให้อาหารตามเวลาที่กำหนดไว้ และยังเปลี่ยนถังของเสียให้เสมอ
นอกจากนี้ ทุกๆ เจ็ดวันไฉซิ่งเอ๋อร์จะมีโอกาสออกไปทำกิจกรรมข้างนอกหนึ่งครั้ง และสามารถอาบน้ำขัดตัวได้
แต่หลังจากเหมียวโหย่วฟางออกไป หน้าที่หาอาหารก็ตกมาอยู่ที่มู่หนานจือ ส่วนการเปลี่ยนถังของเสีย ก็จะเป็นผู้เฒ่าพระถ่าหลิงที่รับผิดชอบทำให้
ถึงอย่างไรสำหรับถ่าหลิง เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว ก็สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ ในเจดีย์ออกไปได้แล้ว ยกเว้นแขนที่ขาดของเสินซูเท่านั้น
“คิดไม่ถึงว่า ชีวิตที่ถูกจองจำมาเป็นเวลานาน จะทำให้พลังปราณของเจ้าค่อยๆ ไร้เล่ห์เหลี่ยม และมีตบะมากขึ้น” สวี่ชีอันยิ้มกล่าว
ไฉซิ่งเอ๋อร์ลืมตาขึ้น จดจ้องไปที่เขา ก่อนจะเอ่ยอย่างไร้ความถ่อมตนแต่ก็ไม่หยิ่งผยอง
“นอกจากจะฝึกลมหายใจแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ คนอื่นๆ ที่ทำแบบเดียวกับข้าก็ย่อมมีตบะมากขึ้นได้ทั้งนั้น”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงหน้านางก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย ก่อนถามขึ้นว่า “ช่วงนี้คุณชายหลี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“เขาจัดตั้งกองกำลังผู้ลี้ภัย เตรียมไปต่อสู้ที่ชิงโจวแล้ว ในระหว่างนี้ที่เจ้ารออยู่ในเจดีย์พุทธะ ภัยหนาวได้แพร่กระจายไปทั่ว ชาวจงหยวนต่างต้องพลัดถิ่นอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว และกบฏเมืองอวิ๋นโจวที่กำลังขึ้นเหนือไปโจมตีชิงโจว สถานการณ์สงครามในยามนี้จึงนับว่าอับจนหนทาง”
ไฉซิ่งเอ๋อร์นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขมขื่นกล่าวว่า “เปลี่ยนเจดีย์พุทธะเล็กๆ แห่งนี้ให้กลายเป็นที่ลี้ภัยสิ”
จะให้เป็นที่ลี้ภัยก็ไม่เลว ทว่าครึ่งประโยคแรก เจ้าควรจะถามถ่าหลิงก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่…สวี่ชีอันเลิกพูดเรื่องไร้สาระ แล้วนำแผนที่หนังสัตว์ครึ่งส่วนออกมาจากอ้อมแขน
“เจ้าลองดูสิ นี่คือแผนที่ครึ่งส่วนที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เจ้าอันนั้นใช่หรือไม่”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ยื่นมือออกไปรับ แล้วคลี่ออกเพื่อมองให้ชัดๆ
“เหมือนว่าจะใช่ นี่เป็นวัสดุแผนที่แบบเดียวกันที่เจ้าตำหนักจากตระกูลไฉเอาไปในครั้งนั้น”
“แล้วเจ้าเคยเห็นอีกครึ่งหนึ่งของแผนที่นี้หรือไม่?” สวี่ชีอันถาม
ไฉซิ่งเอ๋อร์ฝืนยิ้ม “ฆ้องเงินสวี่คิดว่า ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะรู้เรื่องนี้หรือ?”
สวี่ชีอันถามต่อ “สำหรับเรื่องบรรพบุรุษตระกูลไฉของพวกเจ้า เจ้ารู้อะไรอีกบ้าง?”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้า “ตอนนี้ตระกูลไฉสามารถสืบเสาะพื้นเพของบรรพบุรุษได้ ว่ามาจากซินเจียงตอนใต้ จากนั้นก็ประสบพบเจอเหตุการณ์ฆ่ายกบ้าน ซึ่งส่วนรายละเอียดก็สูญหายไปนานแล้ว”
นี่นางดูผมบางลงอยู่หน่อยๆ นะเนี่ย…สวี่ชีอันรับแผนที่หนังสัตว์กลับคืนอย่างจนปัญญา
หากสามารถทำให้สวี่ผิงเฟิงสนใจได้ ก็ย่อมไม่ธรรมดา นายท่านแห่งสุสานใหญ่คือใครกันแน่ แล้วสวี่ผิงเฟิงสังเกตเห็น…ของตระกูลไฉได้อย่างไร เฮ้อ ในตอนนี้ เรื่องนี้อย่าเพิ่งรีบร้อนดีกว่า ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน
…
ภายในห้องนอนที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายนั้น ลั่วอวี้เหิงหาวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะนำกางเกงในและตู้โตวผืนสะอาดจากกระเป๋าใบเล็กที่ใช้เก็บของออกมา จากนั้นก็ใส่อย่างเชื่องช้า แล้วนำเสื้อคลุมขนนกมาสวมทับ
นางเล่นหมวกดอกบัวในมือ พลางมองไปยังเจดีย์เล็กๆ อันแสนประณีตที่อยู่บนโต๊ะ แล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “นี่น่ะหรือจอมยุทธ์ขั้นสาม?”
นางวางทิ้งหมวกดอกบัวไว้บนโต๊ะ ก่อนจะออกจากห้องนอนไป
เนื่องจากคนวัยหนุ่มสาวในเผ่าต้องออกไปทำสงคราม จำนวนคนขึ้นเขาไปล่าสัตว์จึงมีน้อยลงเยอะมาก แต่หลงถูที่มีสถานะเป็นหัวหน้าเผ่าก็ต้องขึ้นเขามาทำงานอีกคราอย่างเลี่ยงไม่ได้
ในเผ่าลี่กู่นั้น หัวหน้าเผ่าก็คือผู้ที่กุมอำนาจสูงสุด และยังเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุดอีกด้วย
เมื่อเผชิญกับปัญหากำลังคนไม่พอ และเสบียงอาหารก็ยังขาดแคลนไปด้วย หัวหน้าเผ่าหลงถูจึงถูกบังคับให้ขึ้นเขาไปล่าสัตว์
ลั่วอวี้เหิงที่มาถึงลานด้านนอก ก็เห็นสวี่หลิงอินและลี่น่ากำลังนั่งยองๆ อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ และจุดกองไฟขึ้นมา โดยรอบข้างกองไฟก็มีหนูหกตัวที่ถูกถลกหนังล้างจนสะอาดวางแทรกอยู่ด้วย
“เมื่อพวกเรากินหนูเสร็จ มันเทศที่อยู่ใต้กองไฟก็คงสุกพอดี”
ลี่น่ากล่าวเสียงกึกก้อง “จะรอหรือไม่”
“รอสิ!” เสี่ยวโต้วติงเช็ดน้ำลาย
จากนั้นลี่น่าก็สั่งการใช้ลูกศิษย์ “เจ้าไปเอาถุงใส่น้ำมาให้อาจารย์หน่อย ข้าหิวน้ำ”
เสี่ยวโต้วติงมองนางอย่างระแวดระวัง “ชะ…เช่นนั้นท่านอย่าแอบกินนะ”
หลังจากผู้เป็นอาจารย์รับปาก เสี่ยวโต้วติงถึงสาวเท้าก้าวเข้าไปยังลานด้วยขาสั้นๆ ของนาง
“คารวะท่านราชครู” เมื่อลี่น่าเห็นลั่วอวี้เหิง ก็กล่าวทักทายด้วยความเคารพ
นางมิได้เป็นคนซื่อบื้อไร้สมองอย่างสวี่หลิงอิน กอปรกับตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของคนตรงหน้า จึงรู้ถึงระดับพลังห่างชั้นต่อกัน
ไม่นานมานี้ เรื่องที่ลั่วอวี้เหิงกับสวี่ชีอันพยายามทุ่มเทกันในเหวลึกนั้น กลายเป็นตำนานคู่บำเพ็ญกวาดล้างเหวลึก ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วเผ่าพันธุ์กู่
ลั่วอวี้เหิงพินิจมองลี่น่า “เจ้าคือคนคนนั้น คนที่ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี”
ลี่น่าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านราชครูจะรู้ถึงสถานะของตน
ลั่วอวี้เหิงไม่หยุดจังหวะฝีเท้า และย่างกรายต่อไปยังด้านนอก
สายตาของลี่น่ามองตามนางไป สัมผัสอันเฉียบแหลมก็รับรู้ได้ว่าวันนี้ท่านราชครูมีบางอย่างผิดปกติไป
ทันทีที่นางดึงสายตากลับมา มองหนูย่างที่ใกล้จะสุกพร้อมกินอย่างใจจดใจจ่อ…แต่จู่ๆ ก็พบว่ารอบกองไฟกลับว่างเปล่า
‘หนูล่ะ ไม่มี?!’
ลี่น่าลุกขึ้นยืนอย่างลนลานทำตัวไม่ถูก มองรอบข้างทุกสี่ทิศ ‘หนูเล่า? หนูย่างทั้งหลายของข้าล่ะ?’
‘ตึกตึกตึก…’ ขณะนั้นเอง สวี่หลิงอินก็วิ่งออกมาพร้อมถุงใส่น้ำ
เมื่อเห็นรอบกองไฟว่างเปล่า นางก็หยุดนิ่งกะทันหัน
อาจารย์และศิษย์ต่างมองหน้ากัน
ลี่น่าริมฝีปากกระตุก พูดอย่างยากลำบากว่า “หนูมันวิ่งหนีไปเองแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?”
…เสี่ยวโต้วติงทิ้งถุงใส่น้ำ แล้วนั่งดิ้นร้องไห้งอแงพลางถีบขาลงกับพื้นยกใหญ่
บริเวณด้านนอก
ลั่วอวี้เหิงผู้มีรอยยิ้มงามดั่งบุปผา และรูปโฉมอันพราวเสน่ห์ในเสื้อคลุมขนนกที่ล่องลอยตามแรงลม กำลังปล่อยผมดำขลับปลิวสยายท่ามกลางสายลมอ่อน
…
ณ วัดหนานฝ่า
ผนึกที่ล้อมรอบเจดีย์ได้พังทลายลง และแผ่ขยายออกไปวงกว้าง
หลังศีรษะของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ปรากฏแสงไฟเจ็ดสีส่องประกาย โดยที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิบนเบาะ พลางลากเคลื่อนบาตรทองคำในมือ
“หากผ่านค่ายกลแปดทุกข์ และด่านถามใจตน นี่คือความหมายของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน หากเจ้าผ่านด่านทั้งสองนี้ได้ เรื่องผนึกที่ล้อมรอบเจดีย์โดนทำลาย ก็จะคลี่คลาย”
จากนั้นภิกษุเฒ่าร่างผอมผิวดำก็ใช้สายตาที่สงบนิ่งมองอาซูหลัว
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
อาซูหลัวพนมมือ เดินออกไปหนึ่งก้าว ก่อนจะเข้าไปยังบาตรทองคำ
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ดึงมือกลับ จากนั้นบาตรทองคำก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ ตอนนั้นเองบริเวณปากบาตรทองคำก็ปรากฏม่านแสงฉากหนึ่ง
กลางม่านแสงนั้น อาซูหลัวที่สวมใส่กาสาวพัสตร์กำลังพนมมือ ตั้งตระหง่านอย่างไร้ความกลัว แต่เมื่อยืนอยู่หน้าค่ายกลแปดทุกข์ ก็กลับราวว่าไม่เคยเข้าร่วมสนามรบมาก่อน
…………………………………………………