ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 697 จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
หลังจากได้ยินฮองเฮากล่าวแล้ว ความคิดแรกที่เกิดขึ้นของหลินอันคือ เสด็จพี่จักรพรรดิวางแผนที่จะประนีประนอมกับบุคคลสำคัญในราชสำนัก โดยการให้ผู้หญิงในตระกูลตนเองแต่งงานกับลูกหลานของกั๋วกงบางท่านเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบอบการปกครอง
ไม่ใช่ว่านางคาดเดาโดยไม่มีเหตุผล ก่อนหน้านี้เสด็จแม่ก็เคยกล่าวเรื่องทำนองนี้มาก่อน ว่าอยากให้นางแต่งงานกับลูกชายคนที่สองของกั๋วกง
ฮองเฮากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเบาและราบเรียบอย่างมาก “อย่างไรข้าก็เป็นแม่ในนามของเจ้า ข้าต้องดูแลเรื่องใหญ่อย่างงานอภิเษกของเจ้า ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องการอภิเษกของพวกเจ้า ข้าเองก็มีความสุขอยู่กับการพักผ่อน แต่ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่มีแผนเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่สามารถผลักภาระให้ผู้อื่นได้”
‘เสด็จพี่จักรพรรดิก็รู้ดีว่าข้าสนิทสนมกับสุนัขรับใช้ ถึงแม้ข้าจะไม่เคยยอมรับมาก่อนว่าชื่นชอบเขา แต่เสด็จพี่จักรพรรดิก็น่าจะมองออกกระมัง’…หลินอันข่มใจเอาไว้
สีหน้าของนางจมดิ่งลงภายในพริบตา และกล่าวด้วยความเคารพที่แฝงไปด้วยความไม่แยแส “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนฮองเฮา เดี๋ยวหลินอันคุยกับเสด็จพี่จักรพรรดิเองได้เพคะ”
ฮองเฮาเหลือบตามองนางด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าไม่อยากแต่งงานรึ?”
หลินอันเงยหน้าขึ้นไป “ข้าไม่อยากแต่งงานกับใครทั้งนั้นเพคะ”
ฮองเฮาพยักหน้าและกล่าวเสียงเบาด้วยท่าทีเฉยเมย “ช่างเถอะ ได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าเจ้าสนิทสนมรักใคร่กับฆ้องเงินสวี่มาก ที่แท้ฝ่าบาทก็เข้าใจผิดนี่เอง”
…หลินอันมองนางด้วยสีหน้าตกตะลึง
ผ่านไปไม่กี่วินาที หลินอันก็กล่าวตะกุกตะกักว่า “สะ เสด็จแม่ตรัสว่าอะไรนะเพคะ?”
ฮองเฮากล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทต้องการให้เจ้าแต่งงานกับฆ้องเงินสวี่ หากเจ้าไม่ยินยอมก็กลับไปบอก...”
ยังไม่ทันกล่าวจบ หลินอันก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียงดังว่า “ในเมื่อเสด็จพี่จักรพรรดิตรัสเช่นนี้แล้ว ต่อให้หลินอันไม่ยินยอม อย่างไรก็ทำได้เพียงเชื่อฟัง รบกวนฮองเฮาจัดการด้วยเพคะ”
ฮองเฮาจ้องนางครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ผ่านเรื่องราวมากมาย เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ข้าเองก็พูดอะไรที่ต้องพูดเรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
“หลินอันทูลลาเพคะ!”
นางทำความเคารพด้วยสีหน้าปกติและออกไปจากตำหนักเฟิ่งชีพร้อมกับนางกำนัลสองคน
ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากตำหนักเฟิ่งชี เข่าของหลินอันก็อ่อนระทวยจนเกือบจะล้มลงไปที่พื้น
“องค์หญิงเพคะ…”
โชคดีที่นางกำนัลทั้งสองผู้มีสายตาเฉียบแหลมและมือที่ว่องไวสนับสนุนนางได้ทัน
“องค์หญิงเป็นอะไรไปหรือเพคะ? บ่าวไปเรียกหมอหลวงก่อนนะเพคะ”
นางกำนัลที่อยู่ทางด้านซ้ายรีบวิ่งออกไปไกลทันที
หลินอันพิงร่างไปที่นางกำนัลอีกคนเบาๆ ด้วยความมึนงงและเหม่อลอย
“องค์หญิง พระองค์ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ?”
เมื่อเห็นเช่นนั้น นางกำนัลก็ร้อนรนขึ้นมาทันที
หลินอันได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นตุบๆ ภาพเบื้องหน้าเริ่มมืดลง นางอยากจะยกยิ้มแต่น้ำตากลับไหลออกมา นางกล่าวพึมพำว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร…”
…
กลางดึก ซินเจียงตอนใต้
บริเวณรอบภูเขาสือว่าน มีภูเขาสูงชื่อว่า ‘หุบเขาชิงเฟิง’
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เงาหนาทึบกำลังวุ่นอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างไสว มีทั้งแบบรูปลักษณ์ภายนอกเป็นมนุษย์ แบบที่เป็นมนุษย์แต่ลักษณะเฉพาะเป็นสัตว์ และแบบที่รูปร่างเป็นสัตว์อย่างสมบูรณ์
เหล่าเผ่าปีศาจจำนวนมากมายกำลังโยนสิ่งมีชีวิตลงไปในหลุมขนาดใหญ่ ซึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสิ่งมีชีวิตทุกประเภท
ถ้าพวกมันไม่กำลังหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็กำลังหมดสติโดยไม่รู้ถึงชะตากรรมที่กำลังมาถึงของตนเอง
บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ลั่วอวี้เหิงเหยียบอยู่บนกระบี่บิน ส่วนสวี่ชีอันเหยียบอยู่บนดาบไท่ผิงโดยมีไป๋จีเกาะอยู่บนไหล่
“การเซ่นไหว้อันยิ่งใหญ่และนองเลือด” สวี่ชีอันมองลงไปเบื้องล่างพลางกล่าวเสียงทุ้ม
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกรวบรวมเพื่อจุดประสงค์ในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเสินซู
เสินซูถูกผนึกเป็นเวลาห้าร้อยปี เลือดและชี่หมดพลังลง สิ่งนี้ไม่สามารถฟื้นฟูได้เพียงแค่ฝึกลมหายใจแบบสบายๆ หากต้องการฟื้นฟูพลังระดับบรรลุธรรมก็จำเป็นต้องดูดซับพลังในระดับเดียวกัน
ในมุมมองของสวี่ชีอัน มันสอดคล้องกับความถาวรของพลังงาน
ยาโลหิตของระดับบรรลุธรรมหายากเกินไป เช่นนั้นจึงมีเพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณเท่านั้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
“ทำไมหรือ นักดาบผู้พิชิตคนพาลช่วยคนดีอย่างฆ้องเงินสวี่ทนเห็นสิ่งมีชีวิตด้านล่างเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้รึ?”
ลั่วอวี้เหิงหยอกล้อด้วยรอยยิ้มราวกับแมวยั่วสวาท
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กล่าวด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งว่า “ความสำเร็จของนายพลคนหนึ่ง ต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวดล้มตายของทหารนับพัน”
เขาตอบกลับอีกว่า “มนุษย์เป็นสิ่งที่รู้จักปรับตัวและยังจำเป็นต้องตัดสินใจเลือก การทำตามหลักการบางอย่างอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดทำ”
ลั่วอวี้เหิงยกมือขึ้นแสดงรอยยิ้มปลาบปลื้ม แขนเสื้อกว้างเลื่อนลง เผยให้เห็นข้อมือขาวราวกับหยกขาวที่ค่อยๆ ลูบศีรษะของเขาอย่างแผ่วเบา “เจ้าไม่มีความคิดคร่ำครึมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ในขณะที่กล่าว เสียงสะท้อนดังสนั่นลั่นมาจากในป่าด้านล่าง ต้นไม้ล้มจนราบเป็นหน้ากลอง
ในมุมของสวี่ชีอัน เขาสามารถมองเห็นงูยักษ์เกล็ดสีดำได้โดยตรง มันเลื้อยอย่างช้าๆ บดขยี้ต้นไม้ทุกต้นที่มันเลื้อยผ่าน
‘ฟ่อ ฟ่อ…’
งูยักษ์เงยหน้าขึ้นและแลบลิ้นไปทางดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นบนท้องฟ้า
“งูพิทักษ์สำนักพุทธ งูพิทักษ์สำนักพุทธมาแล้ว”
“ร่างของงูพิทักษ์สำนักพุทธยังใหญ่เหมือนในอดีต ไม่สิ ใหญ่ขึ้นอีกเท่าหนึ่งใช่หรือไม่?”
เหล่าเผ่าปีศาจที่อยู่เบื้องล่างต่างก็พูดคุยกันเซ็งแซ่
ส่วนท้องของงูยักษ์ขยับขยุกขยิกพร้อมกับรอยนูนของลูกกลมๆ ที่ปรากฏอยู่ในผิว ลูกกลมนั้นค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาด้านบนอย่างช้าๆ เมื่อถึงบริเวณคอของงูยักษ์ มันก็ถูกพ่นออกมาดัง ‘ผลุบ’
นั่นคือเนื้อก้อนกลมๆ ขนาดใหญ่ที่ถูกห่อหุ้มด้วยอากาศ
‘วี๊ด วี๊ด!’
เสียงกรีดร้องดังก้องอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน
สัตว์ตัวใหญ่มหึมาสองตัวโบยบินลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน ตัวหนึ่งเป็นนกยักษ์สีแดงเข้มขนาดสองจั้ง ขนของมันมีสีแดงสดราวกับเปลวไฟ อีกตัวหนึ่งเป็นนกอินทรีขนาดหนึ่งจั้งสามฟุต ขนของมันมีสีน้ำตาลแซมทอง
นกยักษ์ทั้งสองตัวต่างก็ตะครุบโซ่เหล็กเส้นหนึ่งไว้ในกรงเล็บอันแข็งแรง ระหว่างกลางของโซ่เหล็กมีกรงไม้ขนาดกว้างและยาวสองจั้ง
สิ่งมีชีวิตหลายชนิดถูกกักขังอยู่ในกรงไม้นั้น ทั้งสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อต่างก็ปะปนอยู่ด้วยกัน
นกยักษ์ทั้งสองตัวบินอยู่เหนือกลุ่มปีศาจ ทันใดนั้นกรงเล็บของมันก็คลายออก ทำให้กรงไม้ขนาดใหญ่ร่วงลงมาทันที
‘งูพิทักษ์สำนักพุทธ’ ใช้หางยาวของมันพันรอบกรงไม้อย่างง่ายดายและค่อยๆ วางลงอย่างมั่นคง
หลังจากนั้น เสียงหอนยาวก็ดังขึ้นภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน สุนัขยักษ์ที่มีลำตัวยาวถึงสามจั้งก็วิ่งไปข้างหน้า ขาทั้งสี่ข้างของมันเหยียบลงไปบนอากาศราวกับเดินบนพื้นราบ
จากเสียงดังเซ็งแซ่ของกลุ่มปีศาจด้านล่าง สวี่ชีอันรู้ได้ทันทีว่านี่คือสุนัขพิทักษ์สำนักพุทธของอาณาจักรหมื่นปีศาจ
ในชั่วโมงต่อมา กลุ่มปีศาจพิทักษ์สำนักพุทธก็เตรียมตัวลงสนาม ผู้มาเยือนสิบแปดท่านล้วนเป็นเผ่าปีศาจขั้นสี่
สิ่งมีชีวิตในหลุมขนาดใหญ่เริ่มกองสูงขึ้นเรื่อยๆ
“สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว สัดส่วนของผู้ที่แข็งแกร่งนั้นไม่เลวเลย และอาณาจักรหมื่นปีศาจคงมีปรมาจารย์ปีศาจขั้นสี่มากกว่าสิบแปดท่านแน่นอน เย่จีก็ไม่มา ต้องมีเผ่าปีศาจขั้นสี่ทำเรื่องอะไรอยู่ที่อื่นแน่นอน…”
สำหรับอาณาจักรหมื่นปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ห้าร้อยปีด้วยความมุมานะที่จะลบคำสบประมาท การมีกองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้ สวี่ชีอันไม่แปลกใจสักนิด
“น่าเสียดายที่ยอดฝีมือเหนือมนุษย์มีเพียงจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและราชาหมี” เขากล่าวด้วยความเสียใจ
ยอดฝีมือเหนือมนุษย์มีจำนวนน้อยและหายากมาก
ช่วงเวลารุ่งเรืองของอาณาจักรหมื่นปีศาจ จำนวนปรมาจารย์ปีศาจระดับบรรลุธรรมเป็นรองเพียงแค่สำนักพุทธ แม้แต่ต้าฟ่งก็ยังมีไม่เท่า
อย่างไรก็ตาม ปีศาจทางใต้ก็เป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของเผ่าปีศาจและแช่แข็งโชคทั้งหมดของเผ่าปีศาจไว้
แต่เผ่าปีศาจทางเหนือนั้นยังตามหลังอยู่มาก
เวลานี้เอง เขาก็ได้ยินเสียงปีศาจน้อยตะโกนมาจากด้านล่าง
“ผู้อาวุโสชิงจี”
สวี่ชีอันมองไปตามเสียงทันที เห็นสตรีร่างสูงในชุดกระโปรงสีฟ้ายืนอยู่บนยอดเขาชิงเฟิง มีผ้าไหมบางปิดที่ใบหน้า ดวงตาคู่สวยอันทรงเสน่ห์มองลงไปยังกลุ่มปีศาจด้านล่าง
นางปรากฎตัวตั้งแต่เมื่อใด นางมีพลังเหนือธรรมชาติโดยกำเนิดคล้ายกับการล่องหนของฝ่ายอั้นกู่งั้นรึ? สวี่ชีอันได้ยินไป๋จีร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ไอหยา พี่ชิงจี”
เกือบลืมไปเลย เจ้าเด็กนี่ก็เป็นผู้อาวุโสไป๋จีผู้สง่างามเหมือนกัน…สวี่ชีอันถามว่า “นี่คือพี่สาวของเจ้ากับเย่จีรึ?”
ไป๋จีพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ข้าไม่ได้เจอพี่ชิงจีมานานแล้ว พี่ชิงจีทำอาหารอร่อยมาก”
ตกลงเจ้ามีพี่สาวกี่คนกันแน่…สวี่ชีอันถามหยั่งเชิงว่า “นางงดงามหรือไม่?”
ไป๋จียังไม่ทันตอบ เขาก็รีบชี้แจ้งข้อเท็จจริงด้วยสีหน้าจริงจังทันที “แต่จะงดงามเพียงใดก็ไม่เท่าท่านราชครูหรอก”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะชักดาบที่จ่ออยู่ที่คอเขากลับมา
สตรีที่มีผ้าปกคลุมใบหน้ามองลงไปยังกลุ่มปีศาจด้านล่างและตะโกนเสียงดังว่า “ยินดีต้อนรับท่านหญิง!”
เนื้อเสียงของนางชัดเจนมาก ไม่มีจริตของสตรี ไม่อ่อนหวาน แต่ใสสะอาดราวกับระฆัง
“ยินดีต้อนรับท่านหญิง!”
เผ่าปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่ต่างก็ตะโกนขึ้นมา เสียงดังรวมกันกลายเป็นคลื่นทะเล
เสียงระฆังใสแจ๋วดังก้องอยู่ในหูของเผ่าปีศาจทุกตัว เช่นเดียวกับสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิง
เวลานี้เอง ดวงจันทร์เต็มดวงที่เย็นยะเยือกก็ดูเหมือนจะมืดสลัวลงเล็กน้อย ราวกับมันถูกปกคลุมด้วยบางสิ่ง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมาแล้ว…สวี่ชีอันหัวใจเต้นแรง และหันไปมองทางดวงจันทร์
เผ่าจิ้งจอกขึ้นชื่อในด้านความงาม พวกมันทั้งหมดล้วนมีความงดงามอยู่ในระดับแนวหน้า
แล้วจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่มีเพียงตัวเดียวในแผ่นดินจิ่วโจวจะงดงามจนเป็นชนวนให้บ้านเมืองล่มสลายหรือไม่?
…………………………………………………