ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 698 โหมโรงมหาสงคราม
ภายใต้ดวงจันทร์วันเพ็ญ สิ่งแรกที่สวี่ชีอันเห็นคือหางของนางจิ้งจอกเก้าหางที่อวดโอ่งดงาม ราวกับนกยูงรำแพนหาง
เป็นปุยสีขาวบริสุทธิ์อวดโฉมงดงามแปลกตา
จากนั้นเทพธิดาตัวจริงก็ปรากฏ นี่คือสตรีที่ไม่มีใครหาถ้อยคำใดมาบรรยายได้อย่างเหมาะสมในช่วงเวลาอันสั้น
นางมีหูจิ้งจอกขนปุกปุยและผมสีเงินราวกับน้ำแข็ง
นางมีใบหน้างดงามเย้ายวนใจ ดวงตาของนางคมกริบตามแบบฉบับของนางจิ้งจอก
นางสวมชุดผ้าโปร่งบาง ทรวงอกอวบอั๋นเต็มไม้เต็มมือของนางห่ออยู่ในหนังสัตว์ขนาดกำลังพอดี ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ช่วงท้องที่อยู่ต่ำลงไปขาวผ่องเนียนกระชับ
ขนจิ้งจอกสีขาวที่ผูกรอบเอวนางห้อยระลงมาเหมือนเสื้อคลุม ทว่ามิได้บดบังท่อนขายาวระหงสองข้างที่เหมือนดั่งงูเหลือมสีขาวอวบอ้วนสองตัวไว้
รอบข้อเท้าขวามีกำไลคล้องอยู่ ย่างเท้าแต่ละคราจะมีเสียงระฆังทองเหลืองดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ทุกครั้งที่ก้าวเดิน
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ทั้งลึกล้ำและกว้างใหญ่ยังมีพระจันทร์เต็มดวงเย็นยะเยือกประดับอยู่ นางค่อยๆ เยื้องย่างมาอย่างช้าๆ พร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนริมฝีปากของนาง
เผ่าพันธุ์ปีศาจเบื้องล่าง ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างเฝ้ามองนางด้วยความเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง
สวี่ชีอันยอมรับว่า จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางผู้นี้เป็นหนึ่งในสตรีที่ดึงดูดใจที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
ในยุคแห่งแม่มดทรงเสน่ห์ ความงามคือหายนะ
“จักรพรรดินีงดงามมาก จักรพรรดินีของข้าแล้วยังเป็นป้าของข้าด้วย!”
ไป๋จีพร่ำเพ้อลุ่มหลงงมงาย
หูสัตว์ หางจิ้งจอก นางแม่มดชั่วร้าย ซินกู่แน่ๆ…สวี่ชีอันร้อนรุ่มไปทั้งตัว ปรารถนาจะเกี้ยวพาราสีและเสพสม
นี่เป็นแรงกระตุ้นที่เขาไม่เคยมีเมื่อครั้งแรกเจอมู่หนานจือ
วินาทีต่อมา ก็มีกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งพาดคอเขา ปราณกระบี่สูงปรี๊ด สวี่ชีอันสะดุ้งเฮือกไปทั้งตัวและได้สติทันที
“ทอดตามองทั่วจิ่วโจว ย่อมไม่มีใครเทียบนางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้ในแง่ของพลังเสน่ห์”
ลั่วอวี้เหิงเลียริมฝีปาก ชม้ายดวงตางดงามของนางมอง พ่นลมใส่หูเขาแล้วกระซิบเสียงแผ่วเบา
“ถ้าสวี่หลางชอบ ข้าจะจับมันมาเป็นนางบำเรอเอาไว้คอยปรนนิบัติท่านทุกวัน ดีหรือไม่”
สวี่ชีอันที่ถูกขโมยซีนไปกะพริบตา
เขาหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ เมื่อรู้สึกว่ามนตร์เสน่ห์ไม่มีผลอะไรกับตัวเขาอีกแล้วก็หัวเราะ หึ หึ แล้วพูดว่า
“ด้วยมนต์เสน่ห์อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าต่อกรกับนาง ข้าเกรงว่าเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจในตอนนั้นก็เป็นเหมือนกัน สำนักพุทธก็ช่างเป็นพระอิฐพระปูนจริงๆ ไม่รู้จักสงสารและทะนุถนอมหยกบ้างเลย”
“เป็นนางบำเรอรึ ลืมเสียเถิด ชั่วชีวิตนี้ข้ารักท่านราชครูเพียงผู้เดียว”
เขากลอกตาไปมาอย่างขัดใจและหันไปหาลั่วอวี้เหิง
“ตบะของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นเช่นไร?”
ลั่วอวี้เหิงมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว
“ข้ามองไม่เห็น แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็เฉกเช่นเดียวกับจอมยุทธ์ เน้นที่กายาจิตและพลังต่อสู้เป็นสำคัญ หากนางบำเรอของเจ้ามีพลังขั้นหนึ่งอยู่แล้ว นางคงไม่จำเป็นต้องขอให้เจ้าช่วย”
ขีดจำกัดล่างในระดับขั้นหนึ่งของจอมยุทธ์นั้นสูงนัก ด้วยเหตุนี้ อย่าทำให้ข้าต้องลงไม้ลงมือ ไม่อย่างนั้นอาจตายในกระบวนท่าเดียว
สำหรับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งของระบบอื่น ไม่ว่าท่านจะเย่อหยิ่งโอหังปานใด ท่านก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหยาบ
อย่างแรกย่อมอยู่ยงคงกระพันภายใต้สภาวะปกติ
อย่างหลังแม้ไม่อาจเอาชนะได้ แต่ก็อยู่ยงคงกระพันเช่นกัน
นั่นคือหากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจขั้นหนึ่ง สำนักพุทธย่อมต้องส่งพระโพธิสัตว์สักองค์สององค์ออกไปกำราบนาง ตอนนี้หลิวหลีกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น ส่วนเจียหลัวซู่อยู่ในอวิ๋นโจว มีเพียงกว่างเสียนเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้
พูดได้ว่า เผ่าพันธุ์ปีศาจมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้และไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากสวี่ชีอัน
“ท่านราชครู ระหว่างท่านกับนางใครแข็งแกร่งกว่า?”
ลั่วอวี้เหิงสางผมตรงขมับเขา พลางพูดจายิ้มแย้ม “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”
เพราะมีเพียงฉลามเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับฉลามได้…สวี่ชีอันพึมพำอยู่ในใจตัวเอง
ขณะที่พูด จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็บิดเอว โยกย้ายไปมาอย่างสง่างามบนขั้นบันไดดอกบัว จนมาถึงยอดหน้าผาท่ามกลางเสียงกำไลข้อเท้าดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’
สตรีสวมหน้ากากในชุดสีน้ำเงินก้าวออกไปด้วยความเคารพ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยืนอยู่บนยอดผา ฉากหลังเป็นค่ำคืนมืดมิด พระจันทร์สว่างราวกับแผ่นหยกขาว สายลมพัดผมสีเงินยาวสยายและลูบไล้หางจิ้งจอกแสนงามของนาง
นางมองลงไปยังเหล่าปีศาจที่อยู่เบื้องล่าง อ้าแขนออกแล้วพูดเสียงดัง
“ลูกหลานชาวอาณาจักรหมื่นปีศาจทั้งหลาย!”
“เมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว สำนักพุทธได้เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์เรา ทำลายบ้านเกิดของเราและขับไล่พวกเราออกจากบ้านเกิดของเราเอง”
“ตลอดห้าร้อยปีที่ผ่านมาเราซัดเซพเนจรหาที่หลบภัย หลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหรือตลาดร้านค้า ต้องอาศัยอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเราไปชั่วขณะหนึ่ง”
“ยังมีสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของเราบางส่วนต้องตกเป็นทาสรับใช้ในยี่สิบเจ็ดเมืองที่สำนักพุทธสร้างขึ้น และถูกผู้คนในดินแดนประจิมทิศกดขี่ข่มเหงมานานหลายชั่วอายุคน”
“เราซัดเซพเนจรมาห้าร้อยปี เราได้พเนจรมาห้าร้อยปีแล้ว วันนี้ เราจะยึดบ้านเกิดเมืองนอนของเราคืน ขับไล่สำนักพุทธออกจากบ้านเกิดของเรา และสร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจขึ้นมาใหม่!”
เลือดของเหล่าปีศาจเดือดพล่านด้วยความฮึกเหิม พวกมันตอบสนองด้วยเสียงร้องโหยหวน
“เอาบ้านเกิดของเราคืนมา!”
“สร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจขึ้นมาใหม่!”
เผ่าพันธุ์ปีศาจนับหมื่นกู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว ความตื่นเต้น ความเกลียดชังและตอนนี้ต่างก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางโบกมือลง แล้วเสียงที่เหมือนคลื่นยักษ์ถล่มทลายก็พลันยุติ
ราชินีหรือ…สวี่ชีอันเดาะลิ้นในใจตัวเองสองครั้งติด เพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อย ก็เห็นได้ว่าในหัวใจเหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหลาย จิ้งจอกเก้าหางมีสถานะโดดเด่นต่างจากผู้อื่น
เผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไร้กฎไร้ระเบียบไม่มีวินัยเหมือนอย่างทหารเผ่าพันธุ์มนุษย์ อาจพูดได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นเหมือนจอมยุทธ์ตามแม่น้ำและทะเลสาบ ที่ทั้งเกเรดื้อรั้นและรังเกียจระเบียบวินัยเป็นที่สุด
“วันนี้ข้าได้เชื้อเชิญคนยิ่งใหญ่ผู้มีชื่อเสียงจากจิ่วโจวมาร่วมต่อต้านสำนักพุทธด้วยกันกับพวกเรา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าปีศาจก็กระซิบกระซาบพูดคุย
“ใคร ใครคือคนยิ่งใหญ่ที่จักรพรรดินีเชิญมา”
“ต้องเป็นจู๋จิ่วแน่ ในเหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจของเรา นอกจากจักรพรรดินีกับราชาหมีแล้ว ก็มีเพียงจู๋จิ่วคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ขั้นเหนือมนุษย์”
“ตบะของใต้เท้าจู๋จิ่วนั้นไร้ผู้เปรียบ ถ้าเขาให้ความช่วยเหลือ พวกเราก็เหมือนเสือติดปีก”
“ข้าไม่คิดว่าจะเป็นจู๋จิ่ว ข้าได้ยินปีศาจน้อยที่ปกป้องภูเขาสือว่านบอกว่า เมื่อไม่นานมานี้ฆ้องเงินสวี่จากราชวงศ์ต้าฟ่งมาที่นี่และเอาของที่ถูกปิดผนึกมาคืนเผ่าพันธุ์ปีศาจ”
“เชื่อถือได้รึ?”
พอเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ยินเรื่องนี้ พวกมันก็ตื่นเต้นทันที
เผ่าพันธุ์ปีศาจกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ บ้างก็เคยได้ยินชื่อสวี่ชีอัน บ้างก็ไม่เคย แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกที่เคยอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางย่อมเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าในที่ราบลุ่มภาคกลางคำว่า ‘ฆ้องเงินสวี่’ หมายถึงอะไร
ปีศาจที่มีเขาสองเขาอยู่บนหัวพูดอย่างตื่นเต้น
“ถ้าเชิญเขามาก็คงดี เขาเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แข็งแกร่งกว่าราชาหมี”
“อะไรนะ? แข็งแกร่งกว่าราชาหมี กินหญ้าเลี้ยงสัตว์มากเกินไปหรือเปล่า? เจ้าแกะโง่”
เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่อยากจะเชื่อ
ราชาหมีเป็นปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ก้าวเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์เมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาปีศาจตอนใต้ เว้นไว้แต่เพียงองค์จักรพรรดินี
ในใจเผ่าพันธุ์ปีศาจทั่วไป พวกเขาเป็นเหมือนเทพเจ้า
ปีศาจแกะตะคอก “หูย แล้วอย่างไรล่ะ คนก็กินหญ้าเหมือนกัน พวกเจ้ากินเนื้อก็มีแต่ขี้แพะเต็มท้อง”
หลังจากโต้เถียงกัน มันก็พูดว่า
“ตอนอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลาง ข้าเคยได้ยินชื่อเขามานับครั้งไม่ถ้วน เขาเป็นทหารที่สังหารได้แม้กระทั่งจักรพรรดิขั้นสอง ไม่นานมานี้ราชสำนักถึงกับออกประกาศว่า สวี่ชีอันตัดหัววชิระไปถึงสององค์ในเจี้ยนโจว”
“ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทรงพลังมาก นอกจากนี้ข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขามีความสัมพันธ์อะไรกับเหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรา ที่ราบลุ่มภาคกลางเองก็กำลังวุ่นวาย เขาจะเดินทางหลายพันลี้มายังชายแดนตอนใต้เพื่อช่วยพวกเราได้อย่างไร”
“อย่าคิดเลย เจ้าหาตัวช่วยแบบนั้นไม่ได้หรอก”
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อาศัยอยู่ทางชายแดนตอนใต้ข้างๆ เขาส่ายหัว “เท่าที่ข้ารู้ เมื่อสิบวันก่อนฆ้องเงินสวี่อยู่ที่ชายแดนตอนใต้”
เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจของอาณาจักรหมื่นปีศาจนั้นกระจัดกระจายไปทั่วประเทศและขอบข่ายในการรับรู้ข่าวสารก็ห่างไกลยิ่งนัก เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจในชายแดนตอนใต้ย่อมไม่รู้เหตุการณ์ในที่ราบลุ่มภาคกลางและเหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางก็ย่อมไม่รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดในชายแดนตอนใต้
แน่นอน ข้อผิดพลาดในเรื่องข่าวสารตามที่กล่าวมานี้ย่อมไม่เกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจระดับสูงเป็นแน่
“การอภิปรายที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในวงสนทนากลุ่มย่อยเช่นกัน
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์
“ฆ้องเงินสวี่ ท่านยังไม่เข้ามาอีกหรือ?”
เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มนั้นมองย้อนกลับไปด้วยความประหลาดใจ เงยหน้าขึ้น ไล่สายตาตามการจ้องมองของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนเบื้องหลังพวกมัน
ถึงเวลาที่ข้าต้องปรากฏตัวแล้ว…สวี่ชีอันสัมผัสได้ถึงความสามารถใน ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ของเทียนกู่จนต้อง ‘เปิดเผย’ ตัวเองต่อผู้ชม
ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา
สวี่ชีอันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เหมือนเดินไปบนพื้นราบ เหยียบย่างขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วยสีหน้าเรียบเฉยและเดินขึ้นไปบนหน้าผา
ในแต่ละช่วงก้าวนั้น เคลือบสีทองตรงกลางหว่างคิ้วก็สว่างขึ้นและหลังจากเดินไปเจ็ดก้าว เคลือบสีทองก็ปกคลุมทั่วทั้งร่าง สร้างร่างวชิระที่แข็งแกร่งดุจหยาง
‘พรึ่บ!’
จู่ๆ วงแหวนเพลิงด้านหลังศีรษะของเขาก็ลุกไหม้ แผดเผาลุกโชติช่วง
“เทพวชิระสำนักพุทธ?!”
เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจหน้าซีดด้วยความตกใจ
“ใช่ ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งราชวงศ์ต้าฟ่งจริงๆ รึ!”
แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจที่รู้เรื่องของเขาก็ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
ในเวลานี้ เมื่อเหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจระดับล่างเห็นผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่สูงขึ้นไปในฟากฟ้า พวกมันก็ยกมือขึ้นทันทีและใช้ฝ่ามือดึงวงแหวนเพลิงด้านหลังศีรษะไปถือแอบไว้
แสงเจิดจ้าแผดเผาหายไปทันที เหลือเพียงร่างสีทองส่องสว่าง
เขากำลังจะทำอะไร…ท่ามกลางความสับสนของเหล่าปีศาจ สวี่ชีอันเหวี่ยงมือขวาของเขาอย่างรุนแรง แล้วพ่นเปลวไฟในฝ่ามือของเขา
“ตูม!”
ทันใดนั้นไฟที่ลุกโชนก็ระเบิดขึ้นและเปลวไฟไหลกระจายไปในอากาศกลายเป็นเสื้อคลุมสง่างามที่สร้างจากเปลวไฟ
เปลวไฟกลายเป็นเสื้อคลุม
เสื้อคลุมเปลวไฟอวดโอ่ทรงพลังเข้าคู่กับร่างเทพวชิระสีทอง ทำให้สวี่ชีอันดูเหมือนเทพเจ้าที่สง่างามน่าเกรงขามเสด็จลงมายังพื้นโลก
เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจ้องมองด้วยความลุ่มหลงงมงาย เหลือเพียงร่างสีทองเปล่งประกายเฉิดฉายนี้เท่านั้นที่สวมเสื้อคลุมเปลวไฟ
ทำให้สีเดียวที่ยังคงติดตาพวกมันอยู่คือสีทองและสีแดง
ข้าก็มิได้เสแสร้ง มันเป็นตบะที่ข้าควรมีอยู่ในตอนนี้…สวี่ชีอันบอกตัวเองในใจและในที่สุดเขาก็ก้าวขึ้นไปบนยอดผา ยืนอยู่เคียงข้างจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
การปรากฏตัวของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางในตอนนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เขา
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ย่อมต้องมีเอฟเฟกต์พิเศษเป็นของตัวเองเมื่อปรากฏตัวบนเวที และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากมี bgm (ดนตรีพื้นหลัง) ประกอบ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองเขาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าสวี่ชีอันจะไม่ได้พูดอะไร แต่ดูเหมือนสวี่ชีอันจะเห็นคำหกคำในดวงตานาง
เจ้าช่างมีสีสันจริงๆ…
สวี่ชีอันพยักหน้าโดยไม่แสดงความรู้สึก สายตาจับจ้องไปยังใบหน้างดงามของนางชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงเหลือบมองไปยังสตรีชุดกระโปรงสีน้ำเงินที่อยู่ข้างนาง
บังเอิญธิดาจันทราก็แอบมองเขาเช่นกัน เมื่อพวกเขาสบตากัน นางก็ยิ้มให้อย่างสุภาพและหลบตาเขา
โอกาสไม่อำนวย สวี่ชีอันจึงมิได้ทักทายธิดาจันทราหรือจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง หากแต่หันกลับมามองเหล่าปีศาจเบื้องล่างแล้วพูดเสียงดัง
“เมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ดินแดนประจิมทิศอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง อหังการ์เข้ายึดครองอาณาเขตของอาณาจักรหมื่นปีศาจไว้ และตอนนี้พวกมันกำลังจะยึดครองที่ราบลุ่มภาคกลางด้วย พวกที่ใช้กำลังเบียดเบียนผู้อื่นย่อมต้องถูกบดขยี้”
“ในนามของราชวงศ์ต้าฟ่งจากที่ราบลุ่มภาคกลาง ข้าขอเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรหมื่นปีศาจ จากนี้ไป เราจะสู้ด้วยกันถอยด้วยกันเพื่อต่อสู้กับสำนักพุทธ”
หยุดไปชั่วขณะแล้วแอบระดมพลังของซินกู่และเปล่งเสียงออกมา
“พี่น้องเผ่าพันธุ์ปีศาจ เราจะกล้ำกลืนฝืนทนต่อไปได้รึ?”
ทันใดนั้น ความโกรธความเกลียดก็ก่อตัวขึ้นในใจพวกเขา ความเกลียดชังที่หยั่งรากลึกต่อสำนักพุทธถูกจุดประกายขึ้น แม้แต่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจที่สงบเสงี่ยมที่สุดก็ยังระลึกถึงความอัปยศที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองล่มสลายไปเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว
“ไม่ได้!”
เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจร้องคำรามบรรยากาศเบื้องล่างเดือดพล่านทันที เผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตนกัดฟันจนเส้นเลือดของพวกเขาแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ
สวี่ชีอันคำราม “เช่นนั้นก็ฆ่ามัน”
คลื่นเสียงด้านล่างพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังเดือดดาล ในตอนนี้กำลังภายในและจิตวิญญาณการต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ‘พูด’ ถึงสามเท่า
ไกลออกไป ไป๋จีที่อยู่ในอ้อมแขนของลั่วอวี้เหิงยกอุ้งเท้าขวาขึ้น ตะโกนด้วยเสียงร้องของเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
ดูลุ่มหลงงมงายยิ่งนัก
ในบรรยากาศเช่นนี้ จิ้งจอกสาวทั้งสี่ตนถือกล่องสองกล่องไปข้างหลุม ไขกุญแจแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ตูม!’
ฝากล่องกระเด็นไปไกล สองขาบินออกจากกล่องทางซ้ายส่วนลำตัวบินออกจากกล่องทางขวา วิ่งเข้าไปในหลุมลึกทันที
ในเวลาเดียวกัน เจดีย์พุทธะก็ลอยขึ้นจากแขนสวี่ชีอัน ประตูเจดีย์ชั้นแรกเปิดออก ก่อนที่แขนสีดำสนิทก็บินออกไปและตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่
ก่อนที่จะมาถึงภูเขาสือว่าน สวี่ชีอันได้สนทนาอย่างลึกซึ้งกับภิกษุชราถ่าหลิง ด้วยเหตุนี้มู่หนานจือจึงถูกไล่ไปอยู่ชั้นสอง
ไม่มีใครนอกจากคู่สนทนาสองคนที่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไร ที่ไหนและอย่างไร
แต่หลังจากการสนทนาจบลง เมื่อมู่หนานจือกลับไปยังเจดีย์พุทธะชั้นสาม นางก็เห็นว่าภิกษุชราถ่าหลิงเงียบกริบไม่พูดอะไรสักคำ
ในหลุมขนาดใหญ่ สัตว์หลายหมื่นตัวเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นศพตายซาก
แสงสีเลือดลอยขึ้นมาจากหลุม เห็นได้ชัดเจนว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนกว่าครึ่งถูกย้อมด้วยแสงสีเลือดที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้จนกลายเป็นสีแดง
…
ฐานที่มั่นอีกแห่งที่ซ่อนอยู่ในถ้ำ
เย่จีในชุดผ้าโปร่งสีดำ พูดปิดท้ายด้วยอารมณ์เร่าร้อนว่า ให้เหล่าปีศาจในถ้ำระดมจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้มากกว่านี้
นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและหันไปมองยักษ์ที่อยู่ข้างๆ นาง
นี่คือสัตว์ร้ายกินเหล็กขนาดใหญ่ มีขนสีขาวดำ มีขนสีเข้มเฉพาะรอบดวงตา
มันสูงหนึ่งจั้ง รูปร่างไม่โดดเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เมื่อเทียบกับเย่จีที่อยู่ข้างๆ ก็พอจะเรียกมันว่ายักษ์ได้
“ราชาหมี เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
เย่จีกระซิบ
สัตว์ร้ายกินเหล็กทำเสียง “อาห์” สองครั้ง ราวกับว่ามันเพิ่งรู้สึกตัวตื่นจากการงีบหลับ มันมองไปยังเหล่าปีศาจและพูดช้าๆ
“สำนักพุทธเป็นพวกน่ารังเกียจ…พวกเขา ฉกฉวยเอาอาณาเขตของเราไป…เรา เราต้องการ...”
เสียงเบาลงเรื่อยๆ ดวงตาค่อยๆ หรี่ปิดลง
เหล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แต่เดิมคึกคะนอง อยู่ดีๆ ก็รู้สึกง่วง เปลือกตาของพวกเขาหรุบปิดลงอย่างไม่อาจควบคุมได้ พวกมันแกว่งไปแกว่งมาราวกับว่าพวกมันจะเอนตัวลงนอนและหลับไปได้ทุกเมื่อ
“ราชาหมี เจ้าต้องอดทนไว้…” เย่จีดึงเข็มเหล็กออกมาจากแขนเสื้อของนางแล้วแทงเข้าไปที่เอวของสัตว์ร้ายกินเหล็กอย่างดุเดือด
“แก้แค้น!”
สัตว์ร้ายกินเหล็กสั่นสะท้านและคำรามทันที
“แก้แค้น แก้แค้น!”
เหล่าปีศาจพวกนั้นหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง พากันเปล่งเสียงดังสนั่นด้วยความลุ่มหลงงมงาย
…
ภายใต้แสงจันทร์ เขาหมื่นปีศาจเปรียบเสมือนยักษ์นอนราบ ภูเขาไม่สูงชันแต่ทอดยาวหลายร้อยลี้
เขาหมื่นปีศาจเป็นทิวเขาหลักในชายแดนตอนใต้ที่สวยงามยิ่งนัก ตั้งแต่สมัยโบราณ ปีศาจที่ยิ่งใหญ่มักถือกำเนิดขึ้นในภูเขาและได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นกลุ่มผู้ทรงพลัง
แต่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักพุทธ หลังจากอพยพผู้คนจากดินแดนประจิมทิศมากว่าห้าร้อยปีก็ได้ก่อตั้งประเทศขึ้นที่นี่…ซินเจียงตอนใต้!
โดยมีเมืองทางใต้เป็นศูนย์กลาง แล้วแผ่รัศมีกระจายออกไปยี่สิบหกเมือง
บนกำแพงเมืองสูงตระหง่านของเมืองทางใต้ ทหารยามในชุดเกราะกำลังเคี้ยวผลไม้แห้งที่มีอยู่มากมายทางชายแดนตอนใต้เพื่อใช้เติมความสดชื่นเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าขณะพูดกับเพื่อนร่วมงานว่า
“พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจจะก่อกบฏจริงหรือ?”
ดินแดนประจิมทิศส่งทหารหนึ่งแสนนายไปเสริมกำลังกองกำลังป้องกันในชายแดนตอนใต้และในขณะเดียวกันก็รวบรวมกำลังพลจำนวนมาก ทั้งยังซื้อสมุนไพรและทำลายเส้นทางบนภูเขายกเว้นถนนที่เป็นทางการ
รวบรวมผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนประจิมทิศ ทั้งจากเมืองบนภูเขาลูกต่างๆ มาเสริมกำแพงและสร้างพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสนามรบ
เพื่อนร่วมงานยังเคี้ยวผลไม้แห้งและส่งเสียงดูถูกเหยียดหยามว่า
“ข้าไม่รู้ว่าปศุสัตว์กลุ่มนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน เมื่อห้าร้อยปีก่อน ปีศาจทักษิณทรงพลังมากจนกวาดล้างดินแดนประจิมทิศซะเหี้ยน”
“อยู่มาตั้งห้าร้อยปีแล้ว เพิ่งอยากฟื้นฟูประเทศหรือ?”
“แต่ข้าได้ยินจากเจ้าหน้าที่ว่า ไม่ช้าก็เร็วเผ่าพันธุ์ปีศาจจะก่อกบฏ ถ้าเราดับเสียงเรียกร้องนี้ได้ ก็จะไม่มีพายุอีก”
ยามคนแรกส่งเสียง “เฮ้ เฮ้”
“อีกครึ่งชั่วโมงจะเข้าเวรแล้ว ไปเล่นกันเถอะ เมื่อไม่นานมานี้ ข้าเจอนางปีศาจหน้าตาดีสองสามตัวใน ‘คอกสัตว์’ ทางตะวันออกของเมือง พวกมันราคาถูกประลัยเลย”
เมื่อยามที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยิน พวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เช่นนั้น ยาจินชวงสองสามเม็ด” เพื่อนร่วมงานหัวเราะ
ยามถ่มน้ำลายรดกากผลไม้แห้ง “บ๊ะ” แล้วสบถออกมาว่า
“ถ้ามีครั้งไหนข้าไม่วางนางปีศาจลงบนเตียง…”
ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้าง ยกมือขวาที่สั่นระริกชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“แล้วนั่นมันอะไร!”
ณ ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ‘เมฆดำ’ ก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
……………………………………….