ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 699 เทพสงครามสวี่ชีอัน
นั่นคือฝูงสัตว์ปีกที่แน่นขนัดจนท้องฟ้ามืดมัว มีทั้งเผ่าวิหคแดงที่นำโดยหงอิง รวมถึงเผ่าอินทรีและเผ่ากระเรียนที่นำโดยจินเตียว…
พวกมันรวมกันเป็นกองทัพสัตว์ปีกจากอาณาจักรหมื่นปีศาจที่กำลังบินมาจากปลายขอบฟ้าราวกับฝูงตั๊กแตนอย่างท่วมท้น
และในขณะเดียวกันนั้นเอง ป้อมสังเกตการณ์ที่อยู่ห่างจากเมืองทางใต้สิบลี้ ห้าลี้ และสามลี้ ต่างก็เริ่มเป่าแตรเสียงไปตามๆ กันแล้วก็พลันหยุดลง
“เผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจมาแล้ว…”
เสียงของกองทัพป้องกันเมืองดังอยู่ในค่ำคืนอันว่างเปล่าและสะท้อนไปถึงยังกำแพงเมืองสูงตระหง่าน
จากนั้นเสียงตีกลองดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ ก็เริ่มกึกก้อง มันทั้งทุ้มต่ำ หนักแน่น และดังสนั่นไปทั่วค่ำคืน
กองทัพป้องกันเมืองกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพากันสาวเท้าขึ้นบันไดไปบนกำแพงเมือง
ส่วนหนึ่งไปตระเตรียมน้ำมันเพลิง ท่อนซุง และหินกลิ้งที่มีไว้สำหรับป้องกันเมืองอย่างเป็นระเบียบ
กองทหารป้องกันเมืองอีกส่วนก็ใส่ลูกศรบนหน้าไม้แล้วเล็งไปยังป่าที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตร
เมืองทางใต้ตั้งอยู่บนภูเขาหมื่นปีศาจ ในปีที่สร้างกำแพงเมืองนั้น คนจากดินแดนประจิมทิศได้ตัดโค่นต้นไม้ที่อยู่รอบนอกในระยะหนึ่งร้อยเมตรจนเกลี้ยงและสร้างเป็นพื้นที่ว่างๆ ผืนหนึ่ง
ที่ออกแบบเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์ปีศาจอาศัยชัยภูมิเหล่านั้นแอบเข้ามาประชิดกำแพงเมืองนั่นเอง
ยามค่ำคืนไร้ลม แต่ในป่าทึบใต้แสงจันทร์ที่อยู่ไกลๆ กลับสั่นไหวไม่หยุด
ท่ามกลางความมืดมิด ไม่รู้ว่ามีศัตรูอีกมากมายเท่าไหร่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
หัวหน้าหมู่คนหนึ่งดึงลูกธนูออกมาแล้วนำหัวธนูไปเกลือกกลิ้งบนคบเพลิง ทำให้มันติดน้ำมันแล้วมีไฟลุกโชติช่วง
เขายิงธนูดอกนั้นไปยังความว่างเปล่า พลังปราณที่ติดอยู่บนลูกศรพลันระเบิดออก แสงไฟสว่างวาบขึ้นมาและส่องไปรอบๆ
ด้านล่างนั่น ตรงจุดที่แสงไฟส่องไปถึง หมาป่าสีเทาสิบกว่าตัวที่แอบเข้ามาใกล้กำแพงเมืองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว
‘ฉึก ฉึก ฉึก’…
พวกมันถูกฝนธนูหนาทึบเข้าครอบคลุมทันทีและสิ้นชีพคาที่
สิ่งนี้เหมือนกับเป็นชนวนเปิดสงครามใหญ่ เงาดำมืดฟ้ามัวดินพุ่งออกจากป่าทึบไปยังประตูเมือง
ในหมู่พวกมัน ส่วนใหญ่มีแขนขาทั้งสี่อยู่ติดพื้น ส่วนน้อยนั้นมีร่างมนุษย์
“ยิง!”
มือธนูบนกำแพงเมืองปล่อยสายธนูทันที เสียงธนูหลุดจากแล่งดังสะท้อนทั่วกำแพงเมือง
ด้วยการโจมตีของลูกธนูและหน้าไม้ ทำให้เงาดำมืดมัวเหล่านั้นหยุดอยู่กับที่และสิ้นชีพภายในการโจมตีรอบแรก
การตายของเพื่อนร่วมรบไม่อาจหยุดยั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ ไฟแห่งการล้างแค้นและความโหยหาในบ้านเกิดทำให้พวกมันไม่กลัวแม้แต่ความตาย
“ยิง!”
ฝนธนูระลอกที่สองถูกยิงออกมา ครั้งนี้ ‘เมฆดำ’ ที่พัดเข้ามาจากบนฟ้าก็เข้ามาอยู่ในระยะยิงธนูด้วย
กองทัพป้องกันเมืองยิงฝนธนูไปทั้งบนพื้นและกลางอากาศ
ปีศาจนกแต่ละตัวร่วงลงมาตามธนูพร้อมแผดเสียงร้องบาดหู
“ยิง!”
ฝนธนูระลอกที่สองพุ่งออกมาแล้วพรากชีวิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจหลายร้อยตัวไปอีกครั้ง
ตอนนี้เอง ‘กองทัพอากาศ’ ที่เกิดจากปีศาจนกก็พุ่งมาถึงกำแพงเมือง และกำลังจะทำลายแนวป้องกันของกองทัพป้องกันเมืองได้
‘หวึ่ง!’
วัดหนานฝ่าที่ตั้งอยู่บนยอดเขาหมื่นปีศาจมีเสาแสงสีทองพุ่งขึ้นไปทะลวงชั้นเมฆหนึ่งต้น
มันสลายตัวอยู่กลางฟ้าสูงแล้วกลายเป็นม่านแสงสีทองปกคลุมทั่วทั้งเมืองทางใต้เอาไว้ภายใน
‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’…ปีศาจนกหลายร้อยตัวกระแทกเข้ากับม่านแสงสีทองจนเลือดเนื้อผสมปนเปแทบมองไม่ออก ขนนกต่างก็ปลิวว่อน
ผู้นำปีศาจนกอย่างพวกหงอิงนำปีศาจที่เหลือพุ่งขึ้นไปแล้วบินวนอยู่บนท้องฟ้าอย่างไม่ยินยอม
พวกทหารป้องกันเมืองบนกำแพงพากันโล่งอก แต่ทันใดนั้นก็ตัวแข็งทื่อ พร้อมกับมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความสะพรึง
สัตว์กินเหล็กตัวใหญ่ยักษ์เกาะอยู่บนกำแพงเมือง เหมือนกับเด็กน้อยเกาะบนตู้ข้างหน้าต่าง
หัวของมันกลมดิก หูก็กลมดิก มีสีขนเป็นสีขาว ส่วนรอบตา จมูก และหูกลมๆ นั่นเป็นสีดำ
ดวงตาของมันเรียบนิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายอันใหญ่โตมหึมานั่น มันก็ดูเป็นสัตว์ที่เรียบง่ายใสซื่อไปแล้ว
‘โฮก’…
สัตว์กินเหล็กร้องออกมาคำหนึ่งอย่างสงบนิ่ง ร่างกายของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ทำให้กำแพงเมืองเตี้ยลงเรื่อยๆ จากที่สูงเท่ากับตัวมัน ก็สูงแค่หน้าอก จนกระทั่งสูงถึงแค่เอว…
สัตว์กินเหล็กยกอุ้งเท้าสองข้างขึ้นมาแล้วตบลงไปบนม่านแสงสีทอง
ไม่มีการสะเทือน
มันเหมือนจะโกรธแล้ว จึงตีลงไปอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการสะเทือน
‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’…ยิ่งตีมันก็ยิ่งใช้แรงมากขึ้น ทั้งยังเร็วขึ้นอีกด้วย ใบหน้ากลมๆ ที่ดูซื่อๆ ของมันก็เปลี่ยนเป็นดุร้าย และมีสองเขี้ยวงอกออกมาจากปาก
ม่านแสงสีทองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแล้วปลดปล่อยพลังมหาศาลอันน่าสะพรึงออกมา
‘ตูม!’
ม่านแสงถูกทำลายและระเบิดเป็นเศษสีทอง
พลังโจมตีจากแรงระเบิดกลายเป็นระลอกคลื่นกวาดไปทั่ว สัตว์กินเหล็กถูกพลังนั้นผลักจนซวนเซและสะดุดล้มลง
“บุก!”
เมื่อม่านแสงถูกทำลาย กองทัพนกปีศาจก็แผดเสียงร้องพุ่งเข้าไป พวกมันเผชิญหน้ากับฝนธนูแล้วพุ่งเข้าโจมตีกองทัพป้องกันเมืองบนกำแพง
เหล่าทหารป้องกันเมืองขว้างคันธนูและลูกธนูออกไป จากนั้นชักดาบทหารออกมาฟาดฟันกับปีศาจนก แต่ไม่นานก็ถูกนกปีศาจพุ่งเข้ามาถึงตัวและโดนจิกศีรษะกับลำคอไปตามๆ กัน
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่บุกโจมตีเมืองอยู่ด้านล่างไม่สนใจการโจมตีจากลูกศร พวกมันปีนขึ้นบนกำแพงเมืองแล้วสังหารทหารป้องกันเมืองไปด้วยกัน
งูหลามยักษ์ตัวยาวร้อยจั้งเลื้อยขึ้นมาบนกำแพง หางงูกระแทกใส่อย่างแรงจนกำแพงเมืองแตกร้าวไม่หยุด
สุนัขยักษ์ตัวขาวราวหิมะนำเหล่าหมาป่ากระโจนขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้วออกอาละวาด
เถาวัลย์สีเขียวงอกออกมาจากรอยแยกบนกำแพงแล้วพุ่งเข้าจู่โจมทหารป้องกันของดินแดนประจิมทิศ
บนกำแพงเมืองมีเพียงความโกลาหลอลหม่าน ยอดฝีมือจอมยุทธ์ภิกษุจากสำนักพุทธและทหารป้องกันเมืองพากันต้านทานอย่างสุดกำลัง เปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นบนกำแพงเมืองและส่องสว่างอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิด
ตอนนี้เอง แสงทองหนึ่งร้อยแปดสายก็พุ่งลงมาจากยอดเขา ก่อนจะหยุดอยู่เหนือทั้งสองฝ่าย
นั่นคือฉานซือที่มีแสงทองคุ้มกายาจำนวนหนึ่งร้อยแปดรูป พวกเขานั่งขัดสมาธิท่ามกลางความว่างเปล่า โดยมีภิกษุเฒ่าคิ้วขาวร่างกายผ่ายผอมคนหนึ่งอยู่ตรงกลาง
เหล่าฉานซือนั่งหลับตาขัดสมาธิ ราวกับไม่เห็นการต่อสู้อันดุเดือดเบื้องล่างอยู่ในสายตา และสนใจแค่การสวดมนต์เท่านั้น
แรกเริ่มเสียงสวดมนต์ยังเลือนรางแทบไม่ได้ยิน จากนั้นก็ค่อยๆ สยบเสียงร้องฆ่าฟันและเสียงร้องคำรามของสัตว์ร้ายได้
ไม่นานนัก ทั่วทั้งฟ้าดินก็มีเสียงสวดมนต์ท่องคาถาดังอยู่เพียงหนึ่งเดียว
ทหารป้องกันเมืองจากดินแดนประจิมทิศและจอมยุทธ์ภิกษุของสำนักพุทธได้รับกำลังใจเพิ่มขึ้น พลังต่อสู้ก็เพิ่มพูนขึ้นมาเป็นเท่าตัว ตรงข้ามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่บ้างก็ปวดหัวแทบแตก บ้างก็ล้มลุกคลุกคลานตัวสั่นเทา บ้างก็ดวงตาไร้จิตสังหารจนสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้
เหล่าทหารป้องกันเมืองอาศัยโอกาสนี้ตวัดดาบช่วงชิงชีวิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวแล้วตัวเล่า
“เฮอะๆๆ…”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะนุ่มนวลแจ่มใสก็ทำลายจังหวะสวดมนต์นั่น
ภายใต้แสงจันทร์ ร่างงามทรงเสน่ห์บิดเอวก้าวเข้ามาจากกลางอากาศ เมื่อเข้าใกล้ค่ายกลที่พวกฉานซือตั้งขึ้น หางจิ้งจอกทั้งเก้าก็พลันกระจายขึ้นมาด้านหลังและโบกสะบัดเบาๆ
ทันใดนั้น บนกำแพงเมืองก็มีเสียงอันเย้ายวนดังขึ้นมา
เบื้องหน้าของทหารป้องกันเมืองปรากฏร่างของหญิงสาวผู้มีเรือนกายสวยสดงดงาม นางหัวเราะพลางบิดตัวอย่างยั่วยวน ความฟุ้งซ่านคลั่งไคล้บังเกิดขึ้นทันใด ทหารต่างก็ตกลงสู่ความอ่อนโยนละมุนละไมอย่างไม่อาจถอนตัวได้
สถานการณ์พลิกผันในทันใด กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจเริ่มการโจมตีโต้กลับโดยการไล่สังหารเหล่าทหารป้องกันเมืองกับจอมยุทธ์ภิกษุ
อรหันต์ตู้เอ้อร์ขมวดคิ้ว เขาลืมตาแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!”
เสียงการสวดและเสียงอันยั่วยวนต่างก็เลือนหายไป
สัตว์กินเหล็กขนสีขาวดำค่อยๆ ปีนขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะร้องคำรามแล้วพุ่งตัวเข้าหาค่ายกลของฉานซือทั้งหนึ่งร้อยแปดรูป
‘หวึ่ง’
สัตว์ร่างยักษ์ตัวนี้แม้จะถูกแสงสีทองต้านกลับไป แต่ก็ยังเดินโซเซกลับมาอีกครั้ง
วงแสงเจ็ดสีในหัวของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์กลางค่ายกลพลันสว่างไสวขึ้น จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมา
ฝ่ามือพุทธสีทองข้างหนึ่งกดลงเหนือศีรษะของราชาหมีในทันใด
ราชาหมียกอุ้งเท้าสองข้างขึ้นมาเพื่อต้านฝ่ามือพุทธทันที แต่มันก็ไม่อาจต้านทานฝ่ามือพุทธที่แฝงไว้ซึ่งอิทธิฤทธิ์สังหารโจรนี้ได้
ฝ่ามือกดลงมามากขึ้น ร่างกายของราชาหมีหดเล็กลงไปทีละนิดๆ จนกระทั่งกลับคืนสู่ร่างปกติ
และในตอนนี้เอง เบื้องหลังของมันก็มีวงแหวนไฟสว่างขึ้นมาหนึ่งวง มันคือวงแหวนไฟประจำตัวของระดับเพชร
อาซูหลัวโผล่มาอยู่ด้านหลังของราชาหมีเมื่อใดก็ไม่รู้ ทั้งยังหักคอของราชาหมีทิ้งด้วยฝ่ามือที่เหมือนกับใบมีด บนฝ่ามือใบมีดสีทองอร่ามนั้นมีประกายแสงเจ็ดสีที่น่าเกรงขามแฝงอยู่
ราชาหมีรับรู้ได้ถึงวิกฤตและพยายามใช้มือเดียวเพื่อจัดการมัน
อาซูหลัวเปล่งวาจาสิทธิ์ออกมา
“จงวางดาบลง!”
พลังแห่งศีลถูกเพิ่มลงบนร่างของราชาหมีแล้วขัดขวางการตอบสนองต่อจากนี้ของมัน
‘อั่ก!’
ศีรษะกลมๆ ลอยขึ้นมาแล้วตกลงข้างฝ่าเท้าของอาซูหลัว
ขณะเดียวกันนั้นเอง ฝ่ามือพุทธสีทองก็ถือโอกาสตบลงบนร่างกายของราชาหมีจนแหลกเป็นชิ้นๆ
พลังที่ผู้แข็งแกร่งขั้นสองสองคนร่วมมือกัน ก็สามารถขจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจขั้นสามหนึ่งตัวไปได้อย่างง่ายดาย
“ราชาหมี!”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้…”
เมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจที่กำลังต่อสู้เห็นฉากนั้นก็ร้องตะโกนร้องเสียงหลง
พวกเขาไม่คิดเลยว่าเพิ่งจะกลับมาต่อสู้ได้ ราชาหมีของฝ่ายตัวเองก็ถูกตัดหัวเสียแล้ว อีกทั้งร่างกายก็ยังแหลกเป็นชิ้นๆ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งจากสำนักพุทธสองคนก็ไร้ซึ่งพลังที่จะโต้กลับได้
หลังจากทำสำเร็จ อาซูหลัวและตู้เอ้อร์ก็ไม่ได้หยุดมือ อาซูหลัวหยิบขันทองคำหนึ่งใบออกมาและตั้งใจจะผนึกราชาหมี
ส่วนตู้เอ้อร์พนมมือหันไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกลางอากาศแล้วพึมพำเสียงต่ำ
“ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!”
เขาใช้ค่ายกลฉานซือหนึ่งร้อยแปดรูปมาเพิ่มพลังให้กับศีลข้อห้ามจนถึงขีดสุด แล้วสลายจิตวิญญาณในการต่อสู้ของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไป ซึ่งส่งผลต่อนางได้ชั่วขณะ ทำให้นางไม่อาจยื่นมือมาช่วยเหลือได้
อาซูหลัวหันขันใบนั้นไปยังราชาหมี ขณะที่กำลังจะขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์นี้ ทันใดนั้นความรู้สึกง่วงงุนก็เข้ามาแทรก หนังตาราวกับหนักเป็นพันจิน สติรับรู้เริ่มเลือนรางจนแทบอยากจะหงายหลังนอนหลับเสียตอนนี้
ขณะเดียวกันนั้น ลางสังหรณ์บอกวิกฤตของจอมยุทธ์ก็ร้องเตือนขึ้นมา
ใต้เท้าของอาซูหลัว เงาขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นร่างคน
‘นี่คืออิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดของมันหรือ? ไม่ จะหลับไม่ได้ มีอันตรายอยู่’…อาซูหลัวก็เริ่มครุ่นคิดได้เชื่องช้าเช่นกัน
สวี่ชีอันผุดออกมาจากเงา ขาขวาก้าวไปข้างหน้า ในมือซ้ายถือฝักดาบโบราณที่ทำจากไม้ ส่วนมือขวากุมด้ามดาบเอาไว้ เขาสลายพลังปราณทั้งหมดแล้วเก็บงำอารมณ์ทุกสิ่งอย่าง
ดวงตาสองข้างไร้ทุกข์ไร้สุข
ผ่านไปไม่นาน แขนของสวี่ชีอันก็โก่งออก จากนั้นเสียง ‘ติ้ง’ ดังขึ้น เป็นเสียงของทองเหลืองที่หลุดออกจากฝักดาบ บรรดาผู้ที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ ต่างมองเห็นแสงดาบที่ราวกับเส้นเรียวบางทว่าเจิดจรัสตาหนึ่งเส้น
แสงดาบปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา แล้วหายไปในชั่วพริบตา
อาซูหลัวที่มีความง่วงงุนเข้าพัวพันตัวแข็งทื่อในทันใด จากนั้นศีรษะของเขาก็กลิ้งหลุนๆ
แค่พลังสังหารของขั้นสองและความทนทานของพลังเทพวชิระ ก็สามารถทำลายร่างวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจขั้นสามได้ทันที แต่วันนี้อาซูหลัวออมมือให้แล้ว…ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่ได้ลงมือต่อ เขารีบถอยออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่ความง่วงงุนจะเข้าครอบงำ
อิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดของราชาหมีนั้นร้ายแรงจริงๆ แม้แต่อาซูหลัวก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย แต่น่าเสียดาย อิทธิฤทธิ์เช่นนี้ไม่แบ่งมิตรและศัตรู ไม่อย่างนั้นก็คงถือโอกาสนี้ผนึกอาซูหลัวไปได้แล้ว…ด้วยความคมกริบของดาบสยบดินแดนและหยกสลายของข้า รวมถึงพลังที่ระเบิดออกมาจากลี่กู่ ทำให้การสังหารร่างวิญญาณของระดับเพชรขั้นสามไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่คงจะสังหารกายเนื้อของอาซูหลัวหลังจากปลดปล่อยแก่นโลหิตอสุราไม่ได้…
ลมหายใจของสวี่ชีอันลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะเป็นหยกสลาย มันคือดาบเดียวตัดฟ้าดิน วิชาดาบเช่นนี้ยิ่งใช้ในการต่อสู้ขั้นสูงมากเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องแลกก็คือจะอ่อนแอภายในระยะเวลาหนึ่ง
ความอ่อนแอเช่นนี้เมื่อมาถึงขั้นสามก็จะมีระยะเวลาสั้นลงอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่ภายใต้การโคจรเลือดลมในร่าง เพียงแค่ระยะเวลาสิบกว่าวินาทีก็จะฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว
ในสถานการณ์ปกติไม่อาจใช้หยกสลายได้ ไม่อย่างนั้นช่วงเวลาอ่อนแอสั้นๆ นี้ก็จะทำให้ผู้อยู่ระดับเดียวกันตามมาสังหารสิ้น
สวี่ชีอันถอนหายใจออกมาแล้วมองไปยังทหารป้องกันเมืองและทหารปีศาจบนกำแพงเมือง จากนั้นถอดวงแหวนไฟด้านหลังศีรษะอย่างเงียบๆ แล้วขว้างไปอย่างแรง
เปลวเพลิงเริงระบำและกลายเป็นเสื้อคลุมไฟลุกโชติช่วง
เขาในตอนนี้ราวกับเป็นเทพสงครามในสายตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจและทหารป้องกันเมืองของดินแดนประจิมทิศ
“สวี่ชีอัน…”
น้ำเสียงของอรหันต์ตู้เอ้อร์เอ่ยพึมพำแผ่วเบาด้วยอารมณ์ซับซ้อน
…………………………