ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 700 ร่างธรรมสังสารวัฏ
เรื่องที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือไม่ได้พาสวี่ชีอันกลับดินแดนประจิมทิศในวันนั้น
แม้ทฤษฎีของสวี่ชีอันเกี่ยวกับนิกายมหายานจะทำให้ตู้เอ้อร์พลันกระจ่างแจ้งและพบทางสว่าง ตั้งแต่ตู้จี่บรรลุธรรมกระทั่งตู้ชางเซิงบรรลุธรรม ก็มีโอกาสยกระดับขึ้นได้
แม้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์จะเรียกสวี่ชีอันว่าพุทธบุตร ทว่าท้ายที่สุดยังให้ความสำคัญกับเขาไม่พออยู่ดี
ดังนั้นภายใต้การขัดขวางของท่านโหราจารย์และราชสำนักต้าฟ่ง หลังจากสวี่ชีอันยืนกรานไม่ยอมก้มหัวให้สำนักพุทธ ตู้เอ้อร์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะรับเป็นศิษย์ แล้วกลับไปที่ดินแดนประจิมทิศอย่างร้อนรน แล้วเป็นคนสร้างรากฐานของนิกายมหายาน
แม้หลังจากเรื่องนั้นจะได้รับความเห็นชอบจากพระโพธิสัตว์กว่างเสียนกับพระโพธิสัตว์หลิวหลี ทำให้พระโพธิสัตว์หลิวหลีมุ่งหน้ามาต้าฟ่งเพื่อนำพาคนด้วยตนเอง
ถึงเวลานั้นสวี่ชีอันก็จะเปลี่ยนไปอย่างมาก
หลังจากเมืองหลวงเกิดโกลาหล สำนักพุทธฉวยโอกาสส่งผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรกับพระอรหันต์ตู้ฉิงมุ่งหน้าพาคนไปจากที่ราบกลางยามที่เขาท่องยุทธภพรวบรวมปราณมังกร สุดท้ายขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารอีกกำด้วย
กระทั่งตอนนี้ทั้งสำนักพุทธก็หยุดไปแล้ว แม้กว่างเสียนและตู้เอ้อร์ที่ยกย่องนิกายมหายานก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์มักจะคิดบ่อยครั้งว่า หากวันนั้นพาเขากลับไปที่สำนักพุทธ นิกายมหายานในวันนี้คงจะกระจายไปทั่วดินแดนประจิมทิศแล้ว
ความคิดและคำสอนของสำนักพุทธจะต้องเผยแพร่ไปทั่วจิ่วโจว
นอกจากนี้…พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ทอดมองเผ่าพันธุ์ปีศาจที่พลังพุ่งสูงขึ้นในฉับพลัน แล้วทอดมองชายหนุ่มที่สะบัดเปลวไฟเป็นเสื้อคลุม
ที่ราบกลางจะไม่มีฆ้องเงินสวี่ แต่ดินแดนประจิมทิศจะมีพุทธบุตรพรสวรรค์เหนือผู้ใด
“ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการผนึกอาซูหลัว ทว่าจะผนึกผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดต้องใช้เวลาพอสมควร ก่อนหน้านั้นข้าคงโดนผลกระทบของ ‘คำสาปนิทรา’ กลายเป็นปลาเค็มเหี่ยวแห้งไปเสียก่อน...”
สวี่ชีอันทอดมองศีรษะมนุษย์และศีรษะแพนด้าข้างกันที่อยู่ไกลออกไป แล้วทอดถอนใจอย่างเสียดาย
ถูกตัดหัวไปก็ดี ร่างกายแตกเป็นเสี่ยงก็ช่าง สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจและจอมยุทธ์ระดับเหนือมนุษย์ก็แค่บาดแผลเล็กน้อย
อาซูหลัวกับตู้เอ้อร์คิดจะเด็ดลูกพลับอ่อน[1] ริเริ่มผนึกราชาปีศาจก่อน แต่หลงกลอุบายของเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าพอดี
หลังจากเขตแดนของราชาหมีถูกเปิดออก สิ่งมีชีวิตในเขตแดนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
อาซูหลัวเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของสำนักพุทธ แม้หนังตาจะปิดลืมไม่ขึ้น ทว่ายังคงมีสติเล็กน้อย แน่นอนว่าแม้จะไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแค่กดศีรษะกลับไปที่คอก็พอ
สำหรับทางด้านสวี่ชีอัน การใช้ราชาปีศาจขั้นสามถ่วงขั้นสองพร้อมกับขั้นสาม ได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกับสวี่ชีอันก็เปิดฉากจู่โจมพร้อมกันโดยไม่จำเป็นต้องสบตา คนหนึ่งดิ่งตัวลงประหนึ่งดาวหางและพุ่งชนค่ายกลฉานที่ฉานซือหนึ่งร้อยแปดรูปสร้างขึ้น
คนหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ดาบสยบดินแดนระเบิดแสงพร่าตา ราวกับแสงอาทิตย์ร้อนแรงทะยานสู่ฟ้าอย่างรวดเร็ว
‘ฟิ้ว!’
ทั้งสองถูกม่านสีทองอ่อนขวางไว้พร้อมกัน
ฉานซือทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปนั่งขัดสมาธิบนความว่างเปล่า คล้ายกับภาพสีน้ำมันที่หยุดนิ่งไม่ไหวติง ปลายเสื้อคลุมภิกษุไม่แม้แต่จะพลิ้วไหว
‘ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!’
ปีศาจหูจิ้งจอกผมสีเงินดุจน้ำค้างแข็งต่อยม่านแสงด้วยสองกำปั้นไม่หยุด หางทั้งเก้าด้านหลังยืดขยายคล้ายกับหนวดเก้าเส้น ทุ่มกำลังโจมตี
‘ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!’
มัดกล้ามเนื้อของสวี่ชีอันขยายตัวทั่วทั้งร่างกลายเป็น ‘ยักษ์’ สูงเก้าฉื่อ แกว่งดาบฟันม่านแสงภายใต้การผลักดันจากแรงปะทุของลี่กู่
การโจมตีของเผ่าพันธุ์ปีศาจกับจอมยุทธ์ก็เรียบง่ายเช่นนี้ ทว่าความรุนแรงที่ซุกซ่อนอยู่ในดาบและกำปั้นที่เรียบง่ายสามารถทำลายร่างกายเหนือมนุษย์ของระบบอื่นได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุดม่านแสงที่ฉานซือสร้างขึ้นก็สั่นไหวอย่างชัดเจนด้วยการโจมตีที่รุนแรงจากผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งสอง
ฉานซือทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปพากันขมวดคิ้ว ราวกับได้รับความเสียหาย
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เห็นเช่นนี้ก็พนมมือท่องบทสวด
“วางอาวุธลงเสีย”
สวี่ชีอันคลายมือภายใต้แรงกดดันจากระดับ เกือบจะจับดาบสยบดินแดนไม่อยู่ ในใจเกิดชิงชังอาวุธสุดขีด
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ทอดมองไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ผสมผสานระหว่างกำลังกับความงามได้อย่างลงตัวทันที แล้วบีบสองมืออย่างรวดเร็วพร้อมตะโกน
“สงบ!”
วงแสงหลากสีด้านหลังพลันสว่างขึ้น
หางของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถูกพลังสะบัดกลับกระจายไปทั่วสารทิศ ร่างกายของนางแตกร้าวไปทุกส่วนราวกับเครื่องกระเบื้อง ผิวขาวผ่องของนางถูกย้อมแดงไปด้วยเลือด
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ยังคง ‘ลำเอียง’ เขาใช้คาถากับสวี่ชีอัน บ่อนทำลายจิตวิญญาณนักสู้ แต่ใช้พลังของระดับเต๋าแยกขันธ์กับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทำลายกายาจิตอมตะและแกร่งกล้าขององค์หญิงอาณาจักรหมื่นปีศาจผู้นี้โดยตรง
เพียงชั่วพริบตา อาการบาดเจ็บประหนึ่งรอยร้าวก็ฟื้นคืนสมบูรณ์
บัดนี้ผิวของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแตกเป็นแผลคล้ายใยแมงมุมอีกครั้ง หลังจากวนซ้ำไปมาห้ารอบ พลังระดับเต๋าแยกขันธ์จึงหมดไป
ในบรรดาระดับเต๋าทั้งสามของสำนักพุทธ ระดับเต๋าแยกขันธ์เลื่องลือในการใช้พลังสังหาร ตรึงศัตรูกระทั่งพลังหมด ไม่หยุดจนกว่าจะตาย
ไม่เพียงทำลายกายาจิตของจอมยุทธ์ระดับเดียวกันเท่านั้น ยังทำลายเลือดลมและปราณชีวิตของจอมยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
สวี่ชีอันกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเปิดฉากโจมตีรอบที่สองทันที พยายามทำลายค่ายกลฉานด้วยความรุนแรง ทว่าก็ถูกพระอรหันต์ตู้เอ้อร์แก้ไขตรงนั้น
อาการบาดเจ็บบนร่างของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางประเดี๋ยวฟื้นตัวประเดี๋ยวแตกร้าว
“ค่ายกลฉานของสำนักพุทธเป็น ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ฉบับย่อ เน้นไม่เคลื่อนไหว หลังจากเข้าฌานจะเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินไร้ตัวตน ไม่กินไม่ดื่มไม่หลับ ไม่กลัวสิ่งชั่วร้ายด้านนอกรุกรานและศัตรูต่างถิ่นโจมตี”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่งกระแสจิต
“ตู้เอ้อร์ใช้ร่างของพระอรหันต์ขั้นสองรวบรวมฉานซือทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปมาสร้างเป็นค่ายกลฉาน แม้จะไม่ต่อต้าน แต่พวกเราอยากทำลายค่ายกลนี้ ก็ต้องใช้ความพยายามเช่นกัน”
ที่แท้วิชาฉานฉบับวิวัฒนาการคือ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีก็เป็นเคล็ดวิชาป้องกันอย่างหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเป็นการป้องกันคนละความหมายกับร่างธรรมเทพารักษ์…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว นึกถึงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่อวิ๋นโจวอย่างไม่มีเหตุผล
ลูกพี่คนนั้นยังบำเพ็ญ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ พร้อมกับ ‘ร่างธรรมเทพอารักษ์ไร้พ่าย’ ซ้อนกันจนชวนให้สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าท่านโหราจารย์จะทำอะไรเขาได้หรือไม่
“ช่างน่าปวดหัวเสียจริง แม่นางคิดเห็นอย่างไร”
สวี่ชีอันส่งกระแสจิตกลับ
คนที่เรียกได้ว่ารู้จักเจ้าดีที่สุด จะต้องเป็นศัตรูของเจ้าอย่างแน่นอน หากใช้ประโยคนี้กับสำนักพุทธ ก็หมายถึงคนที่รู้จักเจ้าโล้นดีที่สุดจะต้องเป็นปีศาจตอนใต้แน่นอน
เขาเชื่อว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะมีวิธีรับมือแน่นอน
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว วิชาฉานเน้นการ ‘ไม่เคลื่อนไหว’ ยามที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ลงมือโจมตีพวกเราจะหลุดจากสถานะของวิชาฉานเอง ตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ค่ายกลฉานอ่อนแอที่สุด ด้วยพลังของข้ามิอาจทำลายค่ายกลฉานที่พระอรหันต์ขั้นสองควบคุมได้ ทว่าทำลายค่ายกลฉานที่ฉานซือหนึ่งร้อยแปดรูปสร้างขึ้นได้ ไม่มีปัญหา”
ด้วยพลังของข้าก็ทำลายค่ายกลฉานได้เช่นกัน ทว่ายามที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ลงมือ พวกเราคนหนึ่งได้รับผลกระทบจากคาถา อีกคนก็ถูกโจมตีจากพลังแยกขันธ์ มิอาจลงมือทำลายค่ายกลได้…นอกเสียจากข้าจะป้องกันผลกระทบจากคาถาได้
ทว่านี่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแก่นปราณแห่งลัทธิเต๋าหรือร่างปราณอันยิ่งใหญ่ก็มิอาจต้านคาถาของพระอรหันต์ขั้นสองได้ นอกเสียจากจ้าวโส่วไม่ก็เทพเจ้าหยางของลัทธิเต๋าจะมาเยือนเอง…
คิดไปคิดมา สวี่ชีอันก็ประกายความคิด มีวิธีในใจแล้ว
เจดีย์เล็กจิ๋วสีทองเข้มปรากฏตัวออกมาจากอกเขา แล้วลอยอยู่หนือศีรษะของเขา
ยอดเจดีย์ปรากฏร่างธรรมตรัสรู้ มีวงแสงที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสติปัญญาอยู่ด้านหลัง
“เจดีย์พุทธะ! ”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์สัมผัสได้ถึงของวิเศษจากสำนักพุทธชิ้นนี้ เมื่อมองดูก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
สวี่ชีอันตะโกนเสียงดัง
“พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ ปีศาจสาวตนนี้นำกองทัพปีศาจสังหารลูกศิษย์ของสำนักพุทธ จู่โจมกำแพงและคูเมืองของสำนักพุทธ คิดจะกอบกู้ประเทศทุกเมื่อเชื่อวัน หากนางยังอยู่ ซินเจียงตอนใต้ก็จะไม่มีวันสงบสุข หากนางไม่ตาย เผ่าพันธุ์ปีศาจจะไม่มีวันยินยอม เร็ว รีบฆ่านางเร็ว”
ส่วนยอดของเจดีย์พุทธะ วงแสงด้านหลังของร่างธรรมแห่งปัญญาย้อนกลับ
เมื่อพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ได้ยินก็ราวกับตื่นรู้ โทสะที่มีต่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพุ่งถึงขีดสุดในพริบตา มองนางเป็นโรคร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจ มองเป็นศัตรูที่ต้องฆ่าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
เขาพนมมือใช้คาถาในทันใด
“จิตเมตตากรุณา! ”
เพียงไม่กี่คำก็สลายจิตสังหารและไอพิฆาตของปีศาจผู้งามเลิศ ใบหน้าอันงดงามสับสนอยู่ชั่วขณะ
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ได้โอกาส วงแสงแห่งสติปัญญาด้านหลังเปล่งแสงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขายกฝ่ามือขึ้นและตบลงไปอย่างแรง
ฝ่ามือพุทธยาวนับสิบจั้งรวมตัวกันอยู่กลางท้องฟ้าราตรี แสงสีทองอร่ามส่องแสงกับกำแพงเมืองด้านล่าง
เก้าหางที่อยู่ในความสับสนมิอาจต่อต้านได้ กลับมีจิตเมตตาธรรม ยินยอมไปตาย
‘ตูม!’
นางถูกฝ่ามือตบลงมาจากฟ้าอย่างแรง ตบลงบนหินผาแกร่งจนเขาหมื่นปีศาจราวกับแผ่นดินไหว
สวี่ชีอันสบโอกาสทำลายพลังปราณทั้งหมด ระงับอารมณ์ทั้งหมด ตันเถียนกลายเป็นหลุมดำกลืนกินพลังงานของร่างกาย
แสงดาบอันเรียวบางและสว่างไสวปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วทำลายการควบคุมของพระอรหันต์ขั้นสองนับจากล่างสู่บนด้วยพลังทำลายล้างทุกสิ่ง เหลือเพียงค่ายกลของฉานซือหนึ่งร้อยแปดรูป
แสงสีทองที่ปกคลุมบนร่างเหล่าฉานซือพังทลายกลายเป็นเศษเสี้ยวกระจายไปทั่วสารทิศ
ฉานซือหนึ่งร้อยแปดรูปตกลงไปราวกับสายฝน
ค่ายกลแตก!
สวี่ชีอันที่ขึ้นนำต้นลมคิดจะใช้ลูกไม้เก่า สะบัดเปลวไฟเป็นเสื้อคลุมอีกครั้ง เมื่อย้อนกลับมานึกก็ยกเลิกความคิด
ลูกไม้เก่าจะใช้ซ้ำไม่ได้ จะเผยจุดอ่อนให้เห็นเอาได้…ภายในใจของเขาปลกตกชั่วขณะที่คิดลูกไม้ใหม่ไม่ออก
เย่จีฆ่าทหารอารักขาและจอมยุทธ์ภิกษุรอบข้างบนกำแพงเมืองบางส่วนจนหมด กรงเล็บทั้งสองเปื้อนไปด้วยเลือดสด
นางที่รับรู้ว่าค่ายกลถูกทำลายก็หันหลังกลับในทันที มองเห็นสวี่ชีอันยืนถือดาบอยู่กลางอากาศ
“ฮึ!”
เสียงฮึดฮัดดังมาจากข้างกาย ชิงจีถือชิงเฟิงมองเย่จีอย่างรังเกียจพร้อมเอ่ย
“เจ้าฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างพี่น้อง ตกหลุมรักมนุษย์ผู้ชายโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เย่จียิ้มหวาน
“ข้อตกลงหรือ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ ข้าก็แค่ตกหลุมรักมนุษย์ผู้ชาย แล้วเป็นอย่างไร เจ้าอิจฉาใช่หรือไม่ อิจฉาที่ผู้ชายของข้าเป็นวีรบุรุษผู้เด็ดเดี่ยว”
ชิงจีปรายตามองใบหน้าโอหังและภาคภูมิใจของนาง แล้วทำเสียง ‘ถุย’
“พวกบ้ากามชอบทุกคนที่เจอเช่นนี้สมควรให้ข้าอิจฉางั้นหรือ”
ทั้งสองต่างซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุมบาง ดวงตาจิ้งจอกที่แทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน รูปร่างโค้งเว้า นิสัยต่างกัน ทว่าก็เป็นหญิงงามที่โดดเด่นทั้งคู่
เย่จีหัวเราะ
นางจึงไม่ได้บอกหญิงสาวที่รักในการทำอาหารผู้นี้ว่าสวี่ชีอันเป็นคนคิดค้นผงปรุงรสไก่ขึ้นมา
แม้นางจะพูด ตราบใดที่พี่น้องทั้งเก้าตกหลุมรักเขา สวี่ชีอันนั่นก็จะเป็นราชบุตรเขยแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ ใครต่างก็อยากให้เขาเป็นราชบุตรเขย
อีกด้านหนึ่ง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ลอยขึ้นฟ้า ผมสีเงินเปื้อนไปด้วยเลือดสดที่ข้นเหนียว หูจิ้งจอกข้างหนึ่งลู่ลงดูจนตรอกยิ่งนัก
หางจิ้งจอกทั้งเก้าเดี๋ยวส่ายเดี๋ยวฟาดเดี๋ยวม้วน ฆ่าเหล่าฉานซือที่ตกลงไปเสียตรงนั้น
“ผู้ชายเฮงซวย!”
นางกัดฟันกรอดพร้อมส่งกระแสจิต
“ท่านหญิง ท่านฟังข้าอธิบายก่อน...” สวี่ชีอันส่งกระแสจิตด้วยรอยยิ้ม
“ระหว่างข้ากับเจ้า ใครมีความสามารถทำลายค่ายกลฉานได้มากกว่ากัน แม้กล่าวว่าวงแสงของร่างธรรมแห่งปัญญาจะย้อนกลับ สติปัญญาของผู้ที่ถูกร่างธรรมจับจ้องก็ย้อนกลับเช่นกัน ทว่าอย่างไรเสียตู้เอ้อร์ก็เป็นพระอรหันต์ ให้เขารับมือกับข้าโดยไม่คำนึงถึงเจ้า หากเขารับรู้ถึงความผิดปกติ แล้วหลุดออกจากผลกระทบของสติปัญญาย้อนกลับ พวกเราจะได้ไม่คุ้มเสีย”
ร่างธรรมแห่งปัญญาก็คือสิ่งที่พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หลงเหลือไว้ หนึ่งในความสามารถแข็งแกร่งที่สุดของเจดีย์พุทธะ
แม้จะบอกว่าเทียบกับของเดิมไม่ได้แน่นอน ทว่ายังส่งผลกระทบต่อพระอรหันต์ขั้นสองได้อยู่ดี
ขณะที่พูดอยู่นั้น สวี่ชีอันก็ควบคุมเจดีย์พุทธะ ปรากฏ ‘ร่างธรรมหมอยา’ ขวดหยกสาดแสง ช่วยขจัดพลังสังหารให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ถูกหล่อเลี้ยงก็หน้าตาผ่องใส กลิ่นอายไม่ลดลง กลับเห็นเค้ามูลความแข็งแกร่ง ทนทานเป็นอย่างยิ่ง
ในฐานะเผ่าพันธุ์ปีศาจตนหนึ่ง นางมีคุณสมบัติพอ
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์นั่งขัดสมาธิบนความว่างเปล่า มองดูฉานซือที่ล้มตายด้วยความสังเวช เอ่ยนามพระพุทธด้วยเสียงแผ่วเบา
“เชิญพระโพธิสัตว์ลงมือ ช่วยชีวิตลูกศิษย์สำนักพุทธของข้าด้วย”
เมื่อสิ้นเสียงเขาก็บีบเม็ดลูกประคำที่ห้อยอยู่บนคอจนแตก
แสงสีทองคล้ายหิ่งห้อยบินวนอยู่กลางอากาศ แล้วเกาะตัวกันเป็นภิกษุหนุ่มในชุดคลุมภิกษุสีแดงสลับเหลือง เขาดูเหมือนยังไม่เคยเข้าพิธีสวมกวาน ใบหน้าอ่อนวัย
สายตามีเมตตาและเห็นใจของเขาราวกับรักทุกสิ่งบนโลก
“อมิตตาพุทธ! ”
ภิกษุหนุ่มพนมมือ ก้มศีรษะเอ่ยนามพระพุทธ
ภาชนะพุทธขนาดใหญ่รวมตัวกันอยู่ด้านหลังเขา มันคือวงล้อที่หลอมด้วยทอง อักษร ‘卍[2]’ สลักอยู่ตรงกลางวงล้อ ขอบข้างสลักด้วย ‘สวรรค์ มนุษย์ อสูร เดรัจฉาน เปรต และนรก’
วงล้อใหญ่ยักษ์ราวกับกังหันน้ำ หลอมด้วยทอง เผยให้เห็นสัมผัสโลหะอันหนักอึ้ง
วงล้อหมุนอย่างช้าๆ
ฉากโค่นล้มสามัญสำนึกมนุษย์บังเกิดขึ้นแล้ว ฉานซือหนึ่งร้อยแปดรูปที่ถูกจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสังหารเมื่อครู่ลืมตาขึ้น แล้วลุกขึ้นนั่งอย่างฉงน
ร่างศพที่นอนเรียงรายบนยอดกำแพงและใต้กำแพงเมืองลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองรอบด้านอย่างงุนงง
คนและปีศาจที่เคยตายจากการรบเหล่านี้ต่างฟื้นคืนชีพ
วิญญาณที่ฟื้นคืนชีพไม่รวมคนตายที่วิญญาณถูกทำลาย
“ร่างธรรมสังสารวัฏ…”
สวี่ชีอันได้ยินจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
………………………………………
[1] เด็ดลูกพลับอ่อน หมายถึง กำจัดคนที่อ่อนแอที่สุดก่อน หรือทำลายสิ่งที่ดูเปราะบางที่สุดก่อน
[2] 卍 หรือ สวัสติกะ เป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายถึงความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์