ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 701 เด็กหญิงผมขาว
บทที่ 701 เด็กหญิงผมขาว
ร่างธรรมสังสารวัฏ ฟื้นจากความตาย? นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปกระมัง…สวี่ชีอันมองด้วยความตกตะลึง เขารู้ว่าสำนักพุทธมีร่างธรรมทั้งเก้า ทั้งยังเคยเห็นอานุภาพความแข็งแกร่งของร่างธรรมเทพอารักษ์ ความน่าทึ่งของร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ ความเฉลียวฉลาดของร่างธรรมแห่งปัญญามาก่อน
แต่ร่างธรรมสังสารวัฏที่อยู่เบื้องหน้าสามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งมันสร้างความตกตะลึงให้เขาเป็นอย่างยิ่ง
‘กึก กึก กึก…’
วงล้อสีทองหมุนอย่างช้าๆ คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาทีละคน พวกเขาสังเกตมองตนเองและสภาพแวดล้อมด้วยความตกตะลึง
“ข้า ข้าตายแล้วไม่ใช่รึ?”
“ภาพลวงตารึ? ดูเหมือนจะไม่ใช่…”
“นี่เกิดอะไรขึ้น อาซูหลัวผู้สูงส่งและราชาปีศาจนั่นสิ้นชีพแล้วรึ? ใครเป็นคนฆ่า ใช่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหรือไม่?”
เพราะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ มนุษย์และปีศาจที่เพิ่งฟื้นคืนชีพจึงปฏิบัติต่อกันค่อนข้างสงบและไม่ได้ต่อสู้กันในทันที แต่สังเกตมองสภาพแวดล้อมอย่างระแวดระวัง พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
หลังจากที่สวี่ชีอันสังเกตมองอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง เขาก็ส่งเสียงไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง “ในดินแดนของร่างธรรมสังสารวัฏ คนตายทุกคนสามารถฟื้นคืนชีพได้ ยกเว้นคนที่ขวัญหายไปแล้วใช่หรือไม่?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ความสามารถในการสังเกตของเจ้าเฉียบแหลมมาก สมแล้วที่เป็นยอดนักสืบอัจฉริยะ”
ชายน่ารังเกียจคนนี้เกือบจะเข้าใจความสามารถขั้นแรกของร่างธรรมสังสารวัฏแล้ว
“ร่างธรรมสังสารวัฏมีความสามารถหลักอยู่สองประการ สิ่งที่เจ้าเห็นคือหนึ่งในนั้น ส่วนประการที่สองคือ สามารถทำให้มนุษย์สัมผัสกับการเกิดใหม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนั้นอาซูหลัวถูกท่านแม่ของข้าฆ่าตาย เป็นกว่างเสียนที่ช่วยให้เขากลับชาติมาเกิดอีกครั้งและได้ช่วยชีวิตเขาไว้” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าว
สวี่ชีอันพยักหน้าพลางมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
“ดูเหมือนผู้ที่มาจะเป็นร่างอวตารของกว่างเสียน”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบรับ “อืม” ทัั้งสองรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
ก่อนหน้านี้พวกเขาหารือถึงเหตุผลที่อาซูหลัวปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีที่เมตตา และก็เดาออกด้วยกันสองข้อคือ ความเห็นแก่ตัวของอาซูหลัวและแผนร้ายของสำนักพุทธ
มีความเป็นไปได้ที่อย่างหลังจะเป็นการมาถึงของร่างจริงของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพยายามที่จะต้มพวกเขาทั้งหมดในหม้อเดียวกัน
แต่ผู้ที่ออกโรงในตอนนี้คือร่างอวตารของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน เช่นนั้นคำตอบก็ชัดเจนแล้ว
“อาซูหลัวต้องการบรรลุเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อกลายจะเป็นพระโพธิสัตว์และเข้าสู่ขั้นหนึ่งใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันกล่าว
“ไม่สามารถขจัดร่างที่แท้จริงของกว่างเสียนได้ในระยะเวลาอันสั้น เจ้าระวังตัวหน่อย เห็นท่าไม่ดีก็ทำตามแผน” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบกลับ
ในขณะที่พูด พระโพธิสัตว์กว่างเสียนก็มองร่างและศีรษะของราชันหมีและอาซูหลัวด้วยสายตาเมตตา
ที่นั่นเป็น ‘ดินแดนรกร้าง’ หากเป็นผู้ที่เข้ามาใกล้ก็จะต้องล้มลงกับพื้นและจมสู่ห้วงนิทราทุกราย
“ยังไม่ตื่นอีกรึ?” พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวเสียงเบา
วงล้อรูเล็ตส่งเสียง ‘ตุบ’ ฉายลำแสงส่องไปบนซากกระดูกของอาซูหลัวและราชันหมี
ดวงตาของเหนือมนุษย์ทั้งสองค่อยๆ เปิดขึ้น ทั้งสองยืนขึ้นและประคองศีรษะขึ้นมา ในขณะที่เลือดเนื้อกำลังดิ้นขยุกขยิก ลำคอก็งอกยาวออกมา บาดแผลค่อยๆ ผสานกันจนไม่หลงเหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
ราชันหมีหาวฟอดใหญ่พลางบิดร่างที่อ้วนท้วนของเขา ก่อนจะเดินเข้าไปหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและสวี่ชีอัน
อาซูหลัวเดินกลับไปที่ข้างกายพระโพธิสัตว์กว่างเสียน เขาประสานสองมือเข้าด้วยกันพลางก้มโค้งศีรษะด้วยความเคารพ
ส่วนพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อยู่อีกด้านหนึ่ง
“อมิตตาพุทธ ในการต่อสู้เมื่อห้าร้อยปีก่อน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลถูกขจัดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแดนประจิมหรือเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ล้วนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน เหตุใดประสกยังต้องทำสงครามอีก”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนประสานมือเข้าด้วยกัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มอย่างมีเสน่ห์
“ที่พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพูดก็มีเหตุผล หากสำนักพุทธคืนภูเขาสือว่านและถอนตัวออกจากซินเจียงตอนใต้ สิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็จะไม่ถูกกำจัดอีกอย่างแน่นอน”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพยักหน้าอย่างไม่คาดคิด
“ข้าสามารถตัดสินใจได้ ข้าจะคืนอาณาเขตภูเขาสือว่านครึ่งหนึ่งและใช้เขาหมื่นปีศาจเป็นอาณาเขต เผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ทางทิศตะวันออก สำนักพุทธอยู่ทางทิศตะวันตก”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็กล่าวเพิ่มเติมว่า “นี่คือการยอมอ่อนข้อครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักพุทธจะทำได้ ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ ว่าจะไม่ผิดคำพูดอย่างแน่นอน พื้นที่ทางตะวันออกของภูเขาสือว่านนั้นกว้างใหญ่พอที่จะรองรับเผ่าพันธุ์ปีศาจในตอนนี้”
คำพูดของเขาดูเหมือนจะมีพลังทำให้คนศรัทธาและเชื่อถือ เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่รอบๆได้ยินแล้วก็เผยท่าทีแห่งความยินดีออกมา ด้วยความคิดว่าข้อเสนอของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนนั้นยอดเยี่ยมมาก เช่นนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการตายในสงครามของสมาชิกในเผ่า และพื้นที่ทั้งกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์พอให้อยู่อาศัย
“ไม่!” ราชันหมีส่ายศีรษะและกล่าวช้าๆ ว่า “ข้า ข้าไม่เห็นด้วย…”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนในรูปลักษณ์ภิกษุหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสีหน้าสงบ “ประสกมีความเห็นอย่างไร”
ราชันหมีสบถเล็กน้อยและกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าอยากเสนอข้อเรียกร้องที่อาจทำให้ลำบากใจ…ไม้ไผ่ทางเหนือนั้นมีน้อยมาก ข้าไม่ชอบ…ข้าอยากได้ป่าไผ่สามพันไร่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ สถานที่ที่มีภูมิศาสตร์เหนือกว่าเช่นนี้ หากสำนักพุทธของเจ้าเต็มใจที่จะยกให้ ข้าก็จะเชื่อในความจริงใจของพวกเจ้า…”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพยักหน้ากล่าว “ได้!”
ดวงตาของราชันหมีเบิกกว้างในทันที ไม่น่าเชื่อว่าสำนักพุทธจะเห็นด้วยกับคำขอที่มากเกินไปเช่นนี้ และยังเต็มใจที่จะยกดินแดนอันมีค่าอย่างป่าไผ่สามพันไร่ให้เขาอีก ช่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ
สวี่ชีอันแอบขมวดคิ้วเล็กน้อย
จุดประสงค์ในการเคลื่อนไหวของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนคือสร้างความมั่นคงให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพื่อให้พวกเขาสามารถระดมกองกำลังทหารไปยังที่ราบกลางได้และช่วยให้กองกบฏอวิ๋นโจวโค่นล้มต้าฟ่ง เพียงแค่ยอมสละพื้นที่ทางตะวันออกของเขาหมื่นปีศาจเท่านั้น แต่สำนักพุทธก็ยังคงครอบครองภูเขาสือว่านทางซินเจียงตอนใต้โดยที่โชคชะตาไม่ได้รับความเสียหาย
ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนน้อยที่สุดเพื่อแลกกับกำไรก้อนโต
แต่เขากลับไม่กังวลว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะประนีประนอมเพื่อแสวงหาความปรองดอง หากนางถูก ‘โน้มน้าว’ ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นางก็คงไม่สามารถอดกลั้นได้ถึงห้าร้อยปี
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ยึดบ้านข้า ฆ่าคนในเผ่าของข้า ทำทานโดยการมอบดินแดนเผ่าปีศาจให้พวกเรา นี่สำนักพุทธคิดว่าสายเลือดปีศาจตอนใต้อย่างข้าเป็นขอทานงั้นรึ?”
ที่มุมปากของนางยกยิ้ม แต่กลับไม่มีเสี้ยวของรอยยิ้มในดวงตาแม้แต่น้อย
สวี่ชีอันจึงฉวยโอกาสนี้ในการใช้งานความสามารถ ‘จิตร่วม’ ของซินกู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่โดยรอบ
ทันใดนั้น ความเกลียดชังทั้งเก่าและใหม่ก็พลุ่งพล่านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เผ่าปีศาจถูกปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความโกรธขึ้นอีกครั้ง และรู้สึกละอายกับใจที่อ่อนระทวยของตนเองก่อนหน้านี้
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนหายใจ เขายังคงสงบนิ่งและไม่โกรธ แต่ก็ไม่ได้พยายามพูดเกลี้ยกล่อมจิ้งจอกเก้าหางอีกต่อไป และหันไปมองสวี่ชีอัน “พุทธบุตร ข้าเชิญเจ้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ มิใช่เพราะละโมบในโชคของเจ้า เจ้าสามารถไขนิกายมหายานได้และเป็นคนที่มีบุญวาสนากับพุทธะ สำนักปลูกฝังผู้ตรัสรู้ธรรมที่แท้จริง การตรัสรู้ธรรมที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของพลัง แต่ยังเป็นจิตวิญญาณที่สดชื่น เป็นความเมตตา ในสายตาของข้า เจ้าเป็นบุคคลที่เทียบได้กับพระพุทธเจ้า หากเจ้าเต็มใจเปลี่ยนมาพึ่งสำนักพุทธ นำพาชาวพุทธในโลกหล้าให้ตระหนักรู้ในนิกายมหายาน ข้าก็สามารถช่วยเจ้าถอนชะตาบ้านเมืองได้ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ทำลายต้าฟ่ง เจ้าก็ยังไม่ตาย”
ความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสวี่ชีอันและสำนักพุทธอยู่ที่สำนักพุทธอยากช่วยกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวในการทำลายต้าฟ่ง เช่นนั้นเขาที่แบกรับชะตาบ้านเมืองอยู่ครึ่งหนึ่งก็ต้องสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ
สวี่ชีอันร่วมมือกับเผ่าปีศาจ เผ่ากู่ ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อปกป้องตนเองก่อน หลังจากนั้นค่อยแก้แค้น
การมีชีวิตอยู่เป็นความปรารถนาโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ มีศีลธรรมนับหมื่นในโลกแต่การรอดชีวิตเป็นศีลธรรมที่ชอบธรรมที่สุด
สำหรับการแก้แค้น แน่นอนว่าต้องเป็นการแก้แค้นสวี่ผิงเฟิง
ที่นี่มีทั้งความแค้นส่วนตัวและความเกลียดชังของผู้คนในที่ราบกลาง
หากไม่ใช่เพราะสวี่ผิงเฟิงขโมยชะตาบ้านเมืองเพราะความเห็นแก่ตัว ยี่สิบปีมานี้ ต้าฟ่งก็คงไม่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติที่เกิดจากการกระทําของมนุษย์
หากไม่ใช่เพราะสวี่ผิงเฟิงที่เปิดฉากการกบฏเพราะความเห็นแก่ตัว ชิงโจวก็คงไม่ต้องรบจนมีคนตายจำนวนมากและเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณพระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่ช่วยชีวิตข้างั้นรึ?”
สวี่ชีอันกระตุกยิ้มเย้ยหยัน “สำนักพุทธของพวกท่านต้องการทำลายต้าฟ่งและครอบครองดินแดนที่ราบกลาง ข้าต้องหลีกทางโลกเข้าสู่ประตูพุทธ ละทิ้งครอบครัวและคนรัก ละทิ้งผู้คนในที่ราบกลางที่ไว้ใจข้า กลายเป็นพุทธบุตรของสำนักพุทธ สนับสนุนให้สำนักพุทธเจริญรุ่งเรืองสืบไป หากข้าไม่ยอมก็ต้องสละชีพเพื่อชาติ ในสายตาของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน ข้าเป็นเพียงคนอ่อนแอไร้ที่พึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์เลือก หากท่านชื่นชมข้าจริงๆ เพื่อข้าแล้ว ทำไมถึงไม่เลิกนับถือนิกายเถรวาทที่นำโดยเจียหลัวซู่และหันมาเป็นคนของต้าฟ่ง ช่วยต้าฟ่งปราบกบฏ ฆ้องเงินอย่างข้าให้คำมั่นว่าหลังจากใต้หล้าสงบสุข นิกายมหายานจะรุ่งเรืองไปทุกหนทุกแห่งในที่ราบลุ่มกลาง”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าได้พิจารณาแล้ว”
สวี่ชีอันหยุดชะงักชั่วครู่และสงสัยว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวต่อไปราวกับไม่มีใครอยู่ “ความแข็งแกร่งของต้าฟ่งนั้นต่างกับสำนักพุทธราวฟ้ากับดิน ถึงแม้ข้าจะละทิ้งสถานะของตนเองเพียงเพื่อต้องการเผยแพร่นิกายมหายาน ข้าก็ควรเลือกแดนประจิมที่แข็งแกร่งกว่าเป็นรากฐานสำคัญ และดินแดนพุทธก็มีอยู่ทั่วทุกที่ในแดนประจิม ย่อมเป็นการง่ายกว่าที่จะยอมรับนิกายมหายาน แล้วเหตุใดข้าต้องเลือกต้าฟ่งเล่า?”
เขากำลังบอกข้าว่าต้าฟ่งไม่แข็งแกร่งพอ และความแข็งแกร่งของข้าก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกสำนักพุทธแทนที่จะเลือกข้า เป็นความตรงไปตรงมาที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง…สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวว่า “พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายให้ข้าได้หรือไม่?”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนส่ายศีรษะ “ข้าไม่ทำเรื่องที่จะทิ้งปัญหาไว้ในอนาคต นอกจากเจ้าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ของสำนักพุทธ”
ตรงไปตรงมาเกินไปหน่อยกระมัง…หัวใจของสวี่ชีอันกระตุกวูบ เขาถามว่า “ตอนที่สำนักพุทธช่วยจักรพรรดิอู่จงก่อกบฏ พระโพธิสัตว์กว่างเสียนได้เข้าร่วมหรือไม่?”
กว่างเสียนพยักหน้ากล่าว “ข้าเกือบจะถูกโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งส่งไปเกิดใหม่”
ตรงไปตรงมาเหมือนเคย
โหรขั้นหนึ่งสามารถรบได้หลากหลายขั้นในดินแดนของตนเอง ความแข็งแกร่งของโหราจารย์รุ่นปัจจุบันย่อมไม่ดีเท่ารุ่นแรกอย่างแน่นอน…สวี่ชีอันถามว่า “พวกท่านฆ่าโหราจารย์รุ่นแรกได้อย่างไร”
เวลาเดียวกับที่ถามคำถาม เขาก็ควบคุมเจดีย์พุทธะ เพื่อให้ออร่าของร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถเปล่งแสงออกมา ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บของราชันหมีและฟื้นฟูพลังงานที่อ่อนล้าของมัน
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวว่า “เหมือนกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ทุกประการ อู่จงเริ่มสร้างเรื่องทางด้านตะวันออกและรบไปตลอดทั้งทางจนถึงเมืองหลวง ภิกษุสำนักพุทธที่เข้าร่วมสงครามรุกคืบจากแนวรบด้านตะวันตก จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมกองกำลังกันที่เมืองหลวง โหราจารย์รุ่นแรกอ่อนแอลงทีละขั้นจนกระทั่งถูกฆ่าตาย สิ่งที่แตกต่างจากตอนนี้ก็คือ ในช่วงแรกของเหตุการณ์ ความแข็งแกร่งของโหราจารย์รุ่นปัจจุบันแย่กว่ารุ่นแรกมาก การเตรียมตัวของอู่จงไม่ได้แยบยลเหมือนสวี่ผิงเฟิง”
ดังนั้นพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งจำนวนมากจึงจำเป็นต้องออกมาแทรกแซงในตอนนั้น…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “โหราจารย์รุ่นแรกมีการวางแผนอย่างไร?”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่มี! หากพูดถึงสติปัญญา โหราจารย์รุ่นแรกมีน้อยกว่าโหราจารย์รุ่นปัจจุบันมาก ในตอนต้นของเหตุการณ์ ราชสำนักต้าฟ่งตอบโต้อย่างกะทันหันมากและถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว”
ถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว? เจ้ากำลังล้อเล่นแล้วกระมัง นั่นคือปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเชียวนะ…สวี่ชีอันยกสองมือขึ้นมาประสานกันและกล่าวว่า “ขอบคุณที่ทำให้กระจ่าง”
เขาระงับความสงสัยทั้งหมดในใจลงอย่างรวดเร็ว รวบรวมสติและกลับสู่สถานะพร้อมต่อสู้
“ไม่เป็นไร เพราะข้าเองก็ต้องถ่วงเวลาเช่นกัน”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวอย่างใจเย็น
หลังจากสิ้นประโยค วงล้อที่เคยมืดสลัวก็เปล่งแสงสีทองอีกครั้ง คำว่า ‘สัตว์เดรัจฉาน’ บนแท่นหมุนเรืองแสงขึ้น ลำแสงถูกยิงออกไปและพุ่งตรงไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
หลังจากนั้น คำว่า ‘มนุษย์’ ก็เรืองแสงขึ้น ลำแสงถูกยิงออกมาเช่นเดียวกันและตรงมายังร่างของสวี่ชีอัน
ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถึงไม่หลบลำแสงนั้น เพราะในขณะที่ลำแสงสีทองส่องเข้ามาหาตนเอง เขาก็ได้รับผลกระทบจากพลังทรงศีล ทำให้เขาสูญเสียความคิดที่จะ ‘หลีกเลี่ยง’ ไปในทันที
ต้องไม่เป็นอะไร…ในเวลาเดียวกับที่ความคิดนี้แล่นอยู่ในสมองของสวี่ชีอัน เขาก็เห็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่อยู่ข้างๆ เริ่มตัวเล็กลงอย่างกะทันหัน หน้าอกอันอวบอิ่มที่ถูกปกคลุมด้วยหนังสัตว์หดลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หน้าอกที่เคยอวบอิ่มไม่มีอีกแล้ว
ในพริบตาเดียว จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็เปลี่ยนจากหญิงสาวสูงเพรียวที่มีผมสีเงินและหูจิ้งจอกไปเป็นเด็กผมขาวที่มีอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปี
ผิวขาวน่ารัก บริสุทธิ์และสวยพราวไปด้วยเสน่ห์
“เจ้า…”
สวี่ชีอันโพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง ก่อนจะค้นพบในทันทีว่าความสูงของตนเองในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กหญิงผมขาว
เขามองไปรอบๆ ตัวเองด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เสื้อผ้าที่เคยพอดีกับร่างกายก็กลายเป็นทั้งโคร่งและหลวม กางเกงก็หลวมราวกับเด็กชายที่สวมเสื้อผ้าของผู้ใหญ่
ข้าก็กลายเป็นเด็กเหมือนกัน พลังปราณและความแข็งแกร่งก็อ่อนแอลง แต่ก็ไม่นับว่าร้ายแรง…เขาตระหนักรู้ในความสามารถอันยิ่งใหญ่ประการที่สองของร่างธรรมสังสารวัฏในทันที
อาซูหลัวฉวยโอกาสนี้ทรุดเข่าลงเล็กน้อย ในขณะที่พื้นยุบดัง ‘ปัง’ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่กระสุนปืนใหญ่ยิงตรงไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
‘ปัง!’
ราชันหมียิงกระสุนปืนใหญ่ออกไปเช่นเดียวกันเพื่อสกัดกั้นอาซูหลัว
อาซูหลัวหยุดการกระทำลงอย่างกะทันหัน เข่าทั้งสองข้างจมลงเล็กน้อยและก้มศีรษะลงเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของราชันหมี
ทันทีที่ตวัดไปด้านหลัง กำปั้นทั้งสองกลายเป็นเงาพราง โจมตีไปที่หน้าอกของราชันหมี
‘ตุบ ตุบ ตุบ’…ชั่วพริบตาเดียว หมัดนับสิบนับร้อยก็ต่อยลงไปที่หน้าอกของราชันหมีจนเลือดเปรอะเปื้อน ระลอกคลื่นพลังปราณพัดพาลมกระโชกอย่างรุนแรง
หางจิ้งจอกพุ่งเข้ามาโอบรัดราชันหมีและเหวี่ยงไปด้านหลัง เพื่อให้มันได้หลบหลีกจากการต่อยรัวของอาซูหลัว
หนึ่งในหางของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสว่างขึ้น จากนั้นก็เริ่มหดตัวลงจนกลายเป็นหางสั้นกุด
ชิงจีที่อยู่ในระยะไกลส่งเสียงครางต่ำ ร่างที่สูงเพรียวก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเด็กอายุสิบสองหรือสิบสามปี
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางฟื้นตัวเป็นหญิงสาวผมสีเงินผู้ทรงเสน่ห์อีกครั้ง
“เจ้ายังคงน่ารักมาก” นางหันไปมองสวี่ชีอันและกล่าวพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
สวี่ชีอัน “…”
หลังจากหัวเราะสวี่ชีอันแล้ว จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็แหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
เสียงอันโหยหวนสะท้อนระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน แพร่กระจายออกไปไกล
ทันใดนั้น ก็มีร่างหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้าดังตูม
นี่คือร่างกายที่ขาดวิ่น มือขวาและศีรษะขาดหายไป ผิวดำสนิท ผิวหนังทุกตารางนิ้วและเลือดเนื้อทุกหยดล้วนแฝงไปด้วยพลังยิ่งใหญ่มหาศาล
ลมปราณอันแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่
มันทำให้ทหารธรรมดาและปีศาจน้อยตัวสั่นขวัญผวา และรู้สึกราวกับวิญญาณของพวกเขากำลังแตกสลาย อารมณ์คลุ้มคลั่งและต้องการที่จะทำลายทุกสิ่งรวมถึงตัวพวกเขาเองด้วย
“เสินซู…”
สีหน้าของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
…………………………………………………………