ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 702 อาซูหลัวตายในสนามรบ
บทที่ 702 อาซูหลัวตายในสนามรบ
“กว่างเสียน เราพบกันอีกแล้ว!”
สุ้มเสียงแผ่วเบาดังมาจากช่องอกของเสินซู
หลังจากหลอมรวมลำตัว ขาและแขนซ้ายไปแล้ว ไต้ซือเสินซูยังหลอมรวมจิตเดิมเพิ่มเข้าไปด้วยความภาคภูมิใจ ความอาฆาตพยาบาทของจางหยางที่แขนซ้ายถูกทำให้เป็นกลางด้วยความอ่อนโยนในลำตัว ทว่าความประมาทที่ขาและความคลุ้มคลั่งในม้ามกลับทำให้เขาฉุนเฉียวอารมณ์ไม่ดี
เพียงแค่อยู่ตรงนั้น กลิ่นอายคลุ้มคลั่งสับสนก็เข้าครอบงำสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในอาณาบริเวณนั้นแล้ว
ใครก็ตามที่มองดูเขาจะได้ยินถ้อยคำเพ้อเจ้อน่าหวาดกลัว มองเห็นภาพหลอนลอยอยู่ตรงหน้า ปรารถนาจะสังหารทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แม้กระทั่งตัวของตัวเอง
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง กงล้อที่อยู่เบื้องหลังหมุนช้าๆ คำว่า ‘อสุรา’ สว่างขึ้นและแสงสีทองก็ส่องวิถีไปทางไต้ซือเสินซู
แต่สิ่งที่ลำแสงพุ่งไปกระทบกลับเป็นเพียงภาพลวงตา ตอนนี้เสินซูปรากฏขึ้นต่อหน้ากว่างเสียนเหมือนดั่งภูตผี มือซ้ายของเขาระเบิดดัง ‘ปัง’ กลางอากาศ แขนซ้ายชูขึ้น ย่อเอวลงแล้วชกเข้าไปที่กว่างเสียนเต็มแรง
‘ตูม!’
หมัดนี้พุ่งขึ้นฟ้าและร่างของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนก็แหลกสลายกลายเป็นแสงสีทอง
เสินซูกระแทกหมัดลงพื้น เกิดหลุมขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางสามเมตรและพลังอันรุนแรงยังเคลื่อนตัวต่อไปตามพื้น บังเกิดวิถีรอยแยกบนพื้นดิน
รอยแผ่นดินแยกกระทบเข้ากับกำแพงเมืองที่อยู่ห่างไกลเสียงดัง “ปัง” กำแพงเมืองแตกกระจายเศษหินปลิวว่อน
แสงสังสารวัฏสีทองของกว่างเสียนมิได้กระทบตัวเสินซู แปลว่าคาถาของเขามิได้แสดงผลอันน่าอัศจรรย์ หมายความว่าในตอนนี้อย่างน้อยเสินซูต้องอยู่ขั้นหนึ่ง…สวี่ชีอันข่มใจให้เยือกเย็นพลางม้วนแขนเสื้อขึ้น รัดเอวเข้าและพับขากางเกง
ตอนนี้เขาเป็นเด็กชายอายุสิบสองสิบสามปี บางทีอาจยังไม่แก่กล้าพอ ไม่อย่างนั้นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่มาหัวเราะเยาะเขาหรอก
แสงสีทองรวมตัวกันในอากาศ กลั่นตัวเป็นรูปร่างภิกษุหนุ่ม
ตอนนั้นเขาไม่อาจหลบกำปั้นของเสินซูได้และ ‘ตาย’ ไปแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยพลังของร่างอวตารนี้ เขาจะตายได้เพียงสามครั้งเท่านั้น
เสินซูยืดตัวตรงส่งเสียงคำรามน่าเกรงขาม ราวกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลนานหมื่นปีตื่นขึ้น กระตือรือร้นที่จะแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกไปให้โลกได้เห็น
เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในเมือง เหล่าทหารอารักขาดินแดนประจิมทิศ จอมยุทธ์ภิกษุ กระทั่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ก็เริ่มตะลุมบอนสังหารหมู่กันแล้ว
ร่างธรรมสังสารวัฏด้านหลังศีรษะพระโพธิสัตว์กว่างเสียนพลันหายไปแล้วควบแน่นกลายเป็นร่างธรรมสีทองสูงสามจั้ง ร่างธรรมนี้พนมมือ ก้มศีรษะ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“มหาสัตตวายา มหาการุณิกา ตัทยา ทา โอม ธารา ธารา…เมตตามหานิยม ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แสวงหาความดีเสมอ อำนวยประโยชน์ทั้งปวง”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนประสานฝ่ามือเข้าด้วยกันและท่องเบาๆ
เมื่อพูดจบก็มีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังขึ้นตราบสวรรค์จรดพื้นพิภพแล้วร่างธรรมสูงสามจั้งก็เปล่งกระกายแสงสีทองส่องสว่างตลอดราตรี
ลานรบนองเลือดแห่งนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นลานวิถีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์อันสงบสุขเปี่ยมไปด้วยเมตตา
‘เคร้ง!’
เสียงอาวุธตกลงสู่พื้นดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจต่างทิ้งอาวุธของตนไปไม่ปรารถนาจะฆ่าฟันกันอีกแล้ว
ที่ผ่านมาเมื่อครู่พวกเขายังเป็นศัตรูที่ประหัตประหารเอาชีวิตอีกฝ่าย แต่ตอนนี้พวกเขากลับมองตากันด้วยความรักความเมตตาในชีวิตเพื่อนร่วมโลก
แต่มนุษย์กับปีศาจยังมิได้สวมกอดและเรียกขานกันว่า ‘พี่น้อง’ นั่นเป็นสติสัมปชัญญะสุดท้ายที่พวกเขามีอยู่
แต่ผลจากการถูกร่างกายเสินซูครอบงำ ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุ ทหารและเผ่าพันธุ์ปีศาจคลุ้มคลั่งทำร้ายคนรอบข้างไปคนแล้วคนเล่า ทั้งที่ความเมตตาที่อยู่ในใจพวกเขาบอกให้เลิกต่อสู้
เพื่อไม่ให้ถูกครอบงำ
“ร่างธรรมเมตตามหานิยม…”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนิ่วหน้าขณะถูกแสงพุทธะล้างบาปไปหมดสิ้น ความเกลียดชัง ความมุ่งร้าย ความแค้นและความทะเยอทะยานทั้งหมดที่อยู่ในใจนางหายไปในแสงพุทธะ
แต่จิตเดิมผู้สั่งการกลับมีสติสัมปชัญญะหนักแน่น สั่งให้รู้ตัวว่าอารมณ์เช่นว่านั้นไม่ถูกต้อง สำนักพุทธและเผ่าพันธุ์ปีศาจสมควรต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
สติสัมปชัญญะและอารมณ์ย่อมไม่อาจเดินทางไปด้วยกันได้
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางย่อมไม่อาจต้านทานการครอบงำของ ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ ได้ ร่างธรรมเมตตามหานิยมพิเศษมาก ทว่ามิได้มีความสามารถในการโจมตี
มีหน้าที่เพียงแสดง ‘มรรควิถี’ แห่งพระโพธิสัตว์กว่างเสียน
นอกจากจอมยุทธ์ผู้บรรลุระดับผสานเต๋าขั้นที่สองไปแล้ว ระบบใดที่อยู่ต่ำกว่าขั้นที่หนึ่งจักได้รับผลกระทบจาก ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ แน่นอน
ล้วนถูกบุคลิกของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนกำราบเสียสิ้น
เผ่าพันธุ์ปีศาจมิได้ทำตาม ‘มรรควิถี’ แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือถ่ายทอดพลังเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่มีแต่กำเนิดออกมา
แน่นอนว่าพวกมันไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกสำนักพุทธโจมตี เพราะในขณะนี้ทั้งตู้เอ้อร์และอาซูหลัวล้วนเปี่ยมเมตตา
“ร่างธรรมเมตตามหานิยมนี้เป็นเช่นเดียวกับร่างธรรมสังสารวัฏ ไม่แยกมิตรแยกศัตรู พระโพธิสัตว์กว่างเสียนย่อมรู้สึกเหมือนไม้ท่อนหนึ่งที่จมอยู่ในกองมูตรคูถ”
สวี่ชีอันย่อมสังเกตเห็นสภาพที่คนสำนักพุทธเป็นอยู่
“เจ้า…”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองเขาด้วยความประหลาดใจ เด็กชายหัวโล้นตัวกระจ้อยตรงหน้ามิได้รับผลกระทบจาก ‘ความเมตตา’ เลย
ในเวลาเดียวกัน นางยังสังเกตเห็นว่าสวี่ชีอันถือดาบพิสดารอยู่ในมือ ใบดาบเรียวยาวสีทองเข้ม
ในลานนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’…คือสวี่ชีอันกับเสินซู
เมื่อเห็นพี่สาวหูจิ้งจอกผมขาวจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ สวี่ชีอันก็อธิบายว่า
“ความเมตตาไม่ใช่วิถีของข้า”
เขายกดาบในมือขึ้นแล้วพูดว่า
“นี่เป็นวิถีของข้า”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองเห็นคำว่า ‘ไท่ผิง’ สลักอยู่บนใบดาบใกล้กับด้ามจับอย่างชัดเจน
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ชะตาชีวิตของเจ้า เจ้าสร้างขึ้นด้วยตัวเจ้าเอง?”
ถามไปแล้ว ก็ไม่อาจปกปิดความริษยาในดวงตาได้
‘ชะตา’ เป็นชื่อลัทธิขงจื๊อขั้นสาม ความหมายจากชื่อลัทธิขงจื๊อคือการฝึกร่างกายเฝ้ารอชะตาฟ้า
ชะตากับวิถีล้วนนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันหากต่างเส้นทาง
สวี่ชีอันบ่นพึมพำพลางถอนหายใจ
“เหตุผลอาจเป็นเพราะชะตาบ้านเมือง เมื่อข้าขนานนามมัน ข้าก็ลิขิตชะตาชีวิตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ในช่วงแรกตบะของข้ายังตื้นเขิน ข้าไม่รู้อะไรมากนัก ถ้าข้าได้โอกาสใหม่อีกครั้ง ข้าจะไม่สร้างชะตากรรมเช่นนั้นขึ้นมาแน่”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจ้องมองเขา “เจ้าจะสร้างชีวิตเช่นไร?”
บางทีอาจจัดให้มี ‘โสเภณีสีขาว’ หรือไปที่บาร์เพื่อฟังเพลง…สวี่ชีอันยิ้มพลางพูดว่า “เดาสิ”
อีกด้านหนึ่ง สะดือของเสินซูแยกออกแล้วกลายเป็นปากพลางส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาด
“เมตตามหานิยมรึ? แล้วข้าจะใช้ประโยชน์อะไรได้”
สะดือกลายเป็นปาก จู่ๆ ก็พ่นลูกศรสีเลือดออกมา ‘พู่ว’ มันพุ่งเข้าใส่ร่างธรรมเมตตามหานิยมทำให้ร่างสีทองเปรอะเปื้อนทันที ตอนนี้ร่างธรรมสูงสามจั้งแปดเปื้อนไปด้วยแสงสีแดงคล้ำดั่งโลหิต
ใบหน้าของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนกระตุกเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังกล้ำกลืนฝืนทนต่อความเจ็บปวดมากมายมหาศาล
‘ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ’…เสินซูวิ่งตะลุยอย่างดุเดือดภายใต้แสงจันทร์ ท่วงท่าแข็งแกร่งฮึกเหิมของเขาอัดแน่นไปด้วยพละกำลัง กล้ามเนื้อของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการวิ่ง
เป้าหมายของเสินซูไม่ใช่พระโพธิสัตว์กว่างเสียน หากแต่เป็นกำแพงเมืองที่อยู่ห่างออกไป
‘ตูม!’
กำแพงเมืองสูงตระหง่านคล้ายถูกจุดชนวนด้วยระเบิดหลายสิบตันหรือหลายร้อยตัน ภายใต้คลื่นกระแทกนั้น อิฐหินแตกกระจายคล้ายกลายสภาพเป็นกระสุนปืนสาดกระจายไปทุกทิศทุกทาง
กำแพงเมืองทางทิศใต้โหว่เว้าเป็นช่องว่างกว้างเกือบสิบเมตร
ในเวลานี้ เมื่อใดที่กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจพุ่งผ่านช่องว่างนี้มา พวกมันย่อมสามารถยึดเมืองทางใต้และยึดเขาหมื่นปีศาจกลับคืนมาได้ในเวลาอันสั้น
แต่ทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งทหารอารักขาดินแดนประจิมทิศต่างก็ถอนตัวออกจากพื้นที่นี้แล้ว ทั้งการต่อสู้ทั้งการเฝ้าดูจากระยะไกล
เมื่อมองไปทางกำแพงเมืองที่พังทลาย พระโพธิสัตว์กว่างเสียนจึงมิได้แสดงความแปลกใจหรืออาการโกรธกริ้วบนใบหน้า เพราะการวาง ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ ไว้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
สวี่ชีอันสังเกตเห็นทั้งคำพูดและการแสดงออกนั้น แล้วความคิดที่อธิบายไม่ได้ก็แวบเข้ามาในใจ
แสดงว่าความตั้งใจที่แท้จริงของกว่างเสียน ในการวาง ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ ไว้คือเพื่อหยุดยั้งการต่อสู้บนกำแพงเมืองและบรรเทาผลกระทบจากกลิ่นอายของเสินซูไม่ให้ทหารกับเผ่าพันธุ์ปีศาจระดับต่ำตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งสับสน
เงามืดที่เข้าปกคลุมพระโพธิสัตว์กว่างเสียนอย่างเงียบเชียบคือเสินซูที่เข้าบดบังแสงจันทร์ ไม่รู้ว่าเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งเมื่อใด ดูไปก็ไม่ต่างกับเหยี่ยวที่เข้าต่อสู้กับกระต่าย
ปากที่เกิดจากสะดือแยกออกเผยให้เห็นรอยแสยะยิ้ม
ในเวลานี้ ร่างสีทองพุ่งแฉลบเข้าชนกับเสินซู พัวพันกันจนร่วงหล่นตกลงพื้นห่างออกไปไกลลิบ
นั่นคืออาซูหลัว
ร่างกายที่แข็งแกร่งน่าเกรงขามสองร่างอาบล้นไปด้วยพละกำลังไร้ผู้เปรียบ ได้ต่อสู้กันในขณะที่ม้วนตัว ตีศอกและถองเข่า…ไม่ว่าส่วนใดในร่างกายก็สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธวิเศษที่สร้างความเสียหายได้อย่างฉกาจฉกรรจ์
กงล้อที่อยู่เบื้องหลังกว่างเสียนหมุน ‘แกรกๆ’ ฉายแสงสีทองส่องวิถีไปที่ร่างอาซูหลัวและตีตรา ‘卍’ ที่กลางหว่างคิ้ว
อีกด้านหนึ่ง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ร่างธรรมเมตตามหานิยม’ อีกแล้วก็ชูหางทั้งแปดของมันขึ้นจากพื้น ดันตัวนางให้ทะยานขึ้นไปและโดดเข้าหาพระโพธิสัตว์กว่างเสียนกลางอากาศ
หางแปดเส้นเต้นคดเคี้ยวไปมาอยู่ด้านหลังตัวนางซึ่งทั้งแปลกประหลาดและสวยงาม
“อมิตตาพุทธ!”
ร่างกายเปล่งแสงสีทองจางๆ ออกมา
แสดงทักษะการทำสมาธิวิชาฉาน!
‘ฟั่บ ฟั่บ ฟั่บ’…เหมือนหางจิ้งจอกทั้งแปดเส้นกลายเป็นหนวด ตบลงบนร่างพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและแสงสีทองก็กระเพื่อมสั่นไหว
เมื่อเห็นเช่นนี้ พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็ถอดสร้อยประคำที่ห้อยอยู่รอบคอออกแล้วค่อยๆ ดึงมันออกมาทีละลูก ลูกประคำสิบเก้าลูกลอยอยู่รอบตัว แต่ละเม็ดล้วนเปล่งรัศมีหลากสีสัน
“ไป!”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์โบกแขนเสื้อของเขาแล้วสะบัดลูกประคำทั้งหมดไป
“พายุฝน” งดงามทั่วฟ้ายามค่ำคืนพุ่งเข้าจู่โจมจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
เสี่ยวเจิ้งไท่กระโดดออกจากเงาแม่มดผมเงิน ควงกระบี่ในมือซ้ายและดาบในมือขวาอย่างคล่องแคล่ว
ท่ามกลางเสียง ‘ติง ติง ติง’ สะเก็ดไฟส่องประกายพร่างพรายแล้วลูกประคำแพรวพราวก็กระเด็นกระดอน
ถ้าอยู่ในราชวงศ์ต้าฟ่งก็คงจะดี ข้าจะได้ใช้กระบี่สยบดินแดนเพื่อรวบรวมพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงและบางทีข้าอาจผ่าวิชาฉานของกว่างเสียนได้ด้วยกระบี่เล่มเดียว…สวี่ชีอันมองไปรอบๆ และเห็นลูกประคำลอยเป็นฝูงเหมือนแมลงบินวนไปรอบๆ และจู่โจมสังหารจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจากด้านข้าง
ลูกประคำเหล่านี้มีพลังแยกขันธ์ แม้แต่จอมยุทธ์เหนือมนุษย์ก็ยังไม่กล้าปล่อยให้พวกมันปะทะร่างกาย
เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือน พลังคุมขังแผ่ขยายออกไปกำราบลูกประคำที่หนาแน่นดุจพายุฝน
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถูกจักรพรรดินีของเขาตามหลอกหลอนและอาซูหลัวก็ถูกเสินซูกำราบ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะจับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไว้ ถ้าจับเขาได้ ตะปูวิเศษตัวสุดท้ายของข้าก็จะถูกปลด…สวี่ชีอันผสานเข้ากับเงามืดแล้วโผล่ออกมาจากเงาของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ กระบี่สยบดินแดนฉายแสงส่องประกายเข้าโจมตีหัวใจจากด้านหลัง
แต่ทว่าเขาไม่สามารถแทงกระบี่สยบดินแดนลงไปได้ ศีลสำนักพุทธข้อ ‘ห้ามฆ่า’ เข้าห่อหุ้มตัวเขาไว้
เจดีย์พุทธะคราง ‘หึ่งๆ’ ปลดปล่อยพลังคุมขังอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อต่อต้านพลังคาถา แต่กระทำกับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เพื่อกำราบปฏิกิริยาตอบสนองที่จะตามมาในภายหลังของเขา
เรื่องนี้ทำให้สวี่ชีอันจับกระบี่โผล่ออกมาจากเงาด้านหลังตู้เอ้อร์เพื่อแทงกลับ แต่ไม่สำเร็จ
ทั้งที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์หันหลังให้เขาโดยมิได้มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด
พริบตาถัดมา คาถาพลังคุมขังสิ้นสุดลง ไม่อาจขัดขวางกระบี่สยบดินแดนได้อีกต่อไปและแทงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เข้าทางด้านหลังอย่างแน่วแน่
วงล้อไฟด้านหลังพระเศียรหมุนอย่างรวดเร็ว ดลใจให้ผ้าจีวรส่องประกายแสงเจิดจ้าเลื่อมพรรณรายออกไปภายนอก
สวี่ชีอันถูกแรงมหาศาลนี้ผลักออกไปและหลังจากนั้นทันที เขาก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวดังขึ้นเบื้องหลัง ลูกประคำเก้าสิบเก้าเม็ดก็พุ่งออกมาราวกับเปลวไฟพวยพุ่งงดงาม
ในอีกด้านหนึ่ง เสินซูคว้าคออาซูหลัวไว้ด้วยแขนข้างเดียว ยกเขาขึ้นกลางอากาศ บ่นพึมพำและหัวร่อคล้ายวิกลจริต
“เจ้าหนู กลิ่นอายในตัวเจ้านี่ช่างคุ้นเคยจริงๆ”
รัศมีเปลวไฟเบื้องหลังศีรษะอาซูหลัวดับลง ล้อไฟหลากสีสว่างขึ้น เปลวไฟสีทองส่องประกายในดวงตาของเขา
“ห้ามฆ่า!”
ผิดศีล
เขานั่งขัดสมาธิอย่างสงบ แสดงทักษะการทำสมาธิวิชาฉาน ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยแสงสีทองจางๆ
‘ฟึ่บ!’ แสงสีทองถูกเสินซูเป่ากระจุยทันทีและท่าการทำสมาธิวิชาฉานก็ผิดไป
ประกายไฟห้าสีลุกพรึ่บในกำปั้นของอาซูหลัว เขาผลักดันพลังแยกขันธ์ให้ขึ้นถึงขีดสุด ต่อยออกไปราวกับลมสลาตัน ซัดผัวะเข้าที่หน้าอกของเสินซู
‘ตูม!’
เสียงกังวานปานระฆังใหญ่ต้าลู่ดังขึ้น กำปั้นอันแข็งแกร่งซัดร่างเสินซูพุ่งไปหลายร้อยจั้งราวกับคลื่นลมรุนแรง ทำลายบ้านเรือนตามรายทางและกำแพงเมืองทั้งปวงเสียสิ้น
‘ตูม ตูม ตูม’…อาซูหลัวยังคงระเบิดหมัดใส่อกเสินซูไม่หยุด พลังหมัดทะลุผ่านร่างกายของเขา บังเกิดสุญญากาศขึ้นในระยะหนึ่งร้อยจั้งด้านหลังเสินซู
“จั๊กจี้ข้าหรือ?”
สะดือของเสินซูเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงงุนงง
ห่าฝนกำปั้นของอาซูหลัวชะงักไปเล็กน้อย ความเมื่อยล้าเริ่มปรากฏ
เจ้าควรพูดว่า เอากำปั้นเล็กๆ มาชกหน้าอกข้าทำไม…สวี่ชีอันผู้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ไกลออกไปพึมพำในใจ
เขาจัดการลูกประคำของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์โดยปราศจากความอหังการ์หรือความหุนหันพลันแล่น เขามิได้เร่งรีบเพื่อทำให้สำเร็จ โดยนึกเสมอว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อยู่ทางซ้ายขณะที่ราชาหมีอยู่ทางขวา
ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างขั้นสองกับขั้นสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังอยู่ขั้นสองอย่างพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
พลังแห่งการแยกขันธ์รวมถึงวรยุทธ์ต่างๆ ของสำนักพุทธสามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่เขาและราชาหมี
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้คือรอให้เสินซูสังหารอาซูหลัวไป แล้ววางมือเรื่องการจัดการตู้เอ้อร์กับกว่างเสียน
เสินซูคว้าตัวอาซูหลัวขึ้นมาและกระแทกมันอย่างรุนแรง
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น เหมือนสวี่ชีอันจะได้ยินเสียงขีปนาวุธระเบิดและรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงอยู่ใต้เท้าตัวเอง
ทันใดนั้น พื้นดินที่ถูกกระแทกก็จมลงและแตกออก รอยแยกแตกขยายลงมาถึงด้านล่าง ทำให้ก้อนหินในเขาหมื่นปีศาจแตกออกเป็นชิ้นๆ
อาซูหลัวเบิกตากว้าง โลหิตทะลักออกจากลำคอและพวยพุ่งขึ้นมาเต็มปาก
‘ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ…’
ในจังหวะที่เสียงหัวใจเต้นน่าเบื่อเหมือนเสียงกลอง ผิวสีทองเข้มของอาซูหลัวก็จางลงแล้วถูกแทนที่ด้วยผิวสีคล้ำ
ซึ่งหมายความว่าเขาสะกดแก่นโลหิตอสูรไว้ไม่ได้และปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในตัวเขาออกมา เขาเป็นนักรบ ผู้ไม่ยอมแพ้ใคร เป็นเทพเจ้าสงครามผู้ไร้พ่าย เป็น…
‘ตูม!’
เสินซูเหยียบเขาจมดินทำให้หินบนภูเขาแตกหักพังทลายมากขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคยมาก เจ้ามีกลิ่นอายที่คุ้นเคยจริงๆ”
ในขณะที่เสินซูกำลังพูด เขาก็เหยียบหนักขึ้น กระดูกหน้าอกของอาซูหลัวยุบลงและกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด แม้แต่นักรบผู้ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครในเผ่าอสูรยังทานทนฝ่าเท้าใหญ่มหึมาของเสินซูไม่ได้
อาซูหลัวยิ้ม เหงือกของเขาเป็นสีแดงและเอ่ยวาจาเยาะเย้ยออกมา
“เจ้าช่างน่าสงสาร”
ดูเหมือนเสินซูจะโกรธ เขายกมือซ้ายขึ้น พลังงานสีแดงคล้ำจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นจากฝ่ามือของเขา แกนในเป็นสีดำสนิททว่าชั้นนอกปกคลุมไปด้วยโลหิต
เสินซูคว้ากลุ่มก้อนพลังงานและทุบเข้าไปที่หัวของอาซูหลัวอย่างรุนแรง
ลำแสงสีแดงคล้ำพวยพุ่งขึ้นทันที แผ่ขยายออกมาเหมือนหน้ากากแล้วระเบิด ‘ตูม’ กลายเป็นพายุพลังงานบริสุทธิ์พัดโหมกระหน่ำ
ป่าทึบรอบๆ ไม่ต่างอะไรกับต้นหญ้าเหี่ยวแห้ง
สวี่ชีอัน ราชาหมี แม้แต่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางต่างก็หยุดชะงักพร้อมกันและหันหน้าไปมองเสินซู
เสินซูยืนอยู่ในหลุมขนาดใหญ่ท่ามกลางควันดินปืนพวยพุ่ง มีพลังงานระเหยออกมาจากมือด้านซ้าย ที่เท้าของเขามีซากศพกะรุ่งกะริ่งสีดำคล้ำ ส่วนหัวและช่วงอกหายไป
สิ้นชีพไปแล้วรึ?
สวี่ชีอันตั้งใจสัมผัสความรู้สึก แต่จับจิตเดิมของอาซูหลัวไม่ได้เลย
……………………………………….