ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 703 ควบคุมตัวเองไม่ได้
บทที่ 703 ควบคุมตัวเองไม่ได้
จอมยุทธ์ในระดับเหนือมนุษย์ย่อมต้องมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมและมีความสามารถที่จะสร้างแขนขาที่แตกหักสูญหายขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าอาการบาดเจ็บทางกายเนื้อจะชัดเจนน่าตกใจเพียงใด ก็จะเผาผลาญไปเพียงพลังปราณโลหิตเท่านั้น แต่ไม่อาจสังหารจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ให้สิ้นชีพไปได้จริงๆ
แต่ถ้าจิตเดิมถูกกำจัดจนสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง จอมยุทธ์ในระดับเหนือมนุษย์ก็ย่อมต้องตายอย่างแน่นอนโดยทิ้งร่างกายที่เป็น ‘อมตะ’ ไว้ข้างหลัง
ในระบบหลัก วิธีที่จะสังหารจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ได้มีไม่เกินสองวิธี
วิธีที่หนึ่ง ด้วยการทุบตีอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้พลังปราณโลหิตให้หมด จนกระทั่งจอมยุทธ์หมดสิ้นเรี่ยวแรง จากนั้นก็จะตัดแบ่งคนผู้นั้นออกเป็นชิ้นๆ และปิดผนึกไว้
วิธีที่สอง ด้วยวิธีพิเศษ โดยการนำจิตเดิมของจอมยุทธ์ออกมาและหลังจากขัดเกลาเป็นเวลานาน ก็สังหารเขาโดยกำจัดจิตเดิมไปให้หมดสิ้น ในเวลานั้น สิ่งที่จอมยุทธ์เหลืออยู่ก็จะมีเพียงร่างกายเท่านั้น
แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับจิตเดิมของจอมยุทธ์ไว้ได้ ในเรื่องนี้ มีเพียงระบบลัทธิเต๋าและพ่อมดเท่านั้นที่สามารถทดลองกระทำได้แต่อาจไม่ประสบผลสำเร็จ
ส่วนวิธีที่เสินซูปฏิบัติต่ออาซูหลัวนั้น ก็เป็นเพราะบุคลิกที่แข็งกร้าว หยาบกระด้างและง่ายดายไร้ความคิด มิได้มีเรื่องเคล็ดวิชาเข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย
มีบางอย่างผิดปกติ แม้การเคลื่อนไหวของเสินซูจะทรงพลัง แต่ลำพังการโจมตีทางกายเนื้อย่อมไม่อาจกำจัดจิตเดิมของอาซูหลัวได้…แมลงสีดำมากมายที่อยู่ในกางเกงหลวมๆ ของสวี่ชีอันต่างเล็ดลอดออกมาและหนีหายไป
“จุ๊ๆๆๆ!”
ลูกประคำตีวงมาจากทางซ้ายราวกับฝูงหิ่งห้อยหลากสีสันงดงามพร่างพราว
สวี่ชีอันกำลังจะเหวี่ยงกระบี่สกัดกั้น จู่ๆ ทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน กำแพงเมืองเปื้อนเลือด ซากศพนอนเรียงรายยาวเหยียดและภูเขาสูงตระหง่านหายไป
กลับมีอาคารสูงระฟ้าเป็นทิวแถว ป่าคอนกรีตเสริมเหล็ก ยานพาหนะสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ภาพมากมายตรงหน้ามีแต่กลิ่นอายของความทันสมัย
‘ติง ติง ติง…’
เสียงปะทะชัดเจนทำให้เขารู้สึกตัว ภาพเหตุการณ์มากมายในชีวิตก่อนหน้านี้แตกเป็นเสี่ยงๆ และเหตุการณ์จริงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาอีกครั้ง
ดาบไท่ผิงกับกระบี่สยบดินแดนจัดการพระคุณเจ้าเพื่อขัดขวางไม่ให้ใช้ลูกประคำส่วนหนึ่งเข้าโจมตี ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งถูกอุ้งมือราชาหมีตบออกไป
กรงเล็บของสัตว์ร้ายกินเหล็กนั้นเปรอะเปื้อนไปทั้งเลือดและเนื้อ ย่อมยากจะเยียวยารักษาบาดแผลได้ในเวลาอันสั้นภายใต้การกัดเซาะของพลังแยกขันธ์
ในเวลาเดียวกัน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่อยู่ห่างออกไปก็ยกมือขึ้นและโบกมือลง และแล้วพลังปราณอันน่าเกรงขามก็ครอบงำทั่วฟ้า ยับยั้งลูกประคำที่มีพลังในการแยกขันธ์ไว้ ทำให้พวกมันกลายเป็นน้ำค้างแข็งกลางอากาศ ไม่ว่าพวกมันจะชวนขนพองสยองเกล้าแค่ไหนก็ไร้พิษสง
“ขอบคุณ!”
สวี่ชีอันได้สติกลับมาอีกครั้งพลันประสานมือคารวะราชาหมี
ดาบไท่ผิงสั่นสะเทือน ‘หึ่งๆ’ สื่ออารมณ์ ‘โกรธ’ กล่าวหาว่าเจ้าของเสียสมาธิระหว่างการต่อสู้
เจ้าเป็นดาบที่โตเต็มที่แล้ว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะจัดการเหล่าปรมาจารย์เพื่อการต่อสู้…สวี่ชีอันรู้สึกสบายใจมากขึ้นและเบนความสนใจไปยังสถานการณ์ของอาซูหลัว แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแม่มดหูจิ้งจอกผมเงินหัวเราะมาจากระยะไกล
“เจ้าตัวเล็กลงอีกแล้ว แย่จริงๆ ถ้ามาอยู่ชายแดนตอนใต้เมื่อไหร่ก็มาเป็นลูกข้าเถอะ”
ตอนนี้เองที่สวี่ชีอันรู้สึกตัวว่ากางเกงเข้ารูปและเข็มขัดเริ่มหลวมขึ้นอีกครั้งและอายุของเขาก็ถอยหลังกลับอีกครั้ง กลายเป็นเด็กชายอายุสิบขวบ
นอกจากนี้ พลังปราณและปราณโลหิตยังลดฮวบทำให้พลังต่อสู้ลดลงจนเข้าขั้นวิกฤต
นี่มัน…รูม่านตาของเขาหดลงเล็กน้อยแล้วพูดเสียงแผ่วว่า “ข้ายังจะเด็กลงไปกว่านี้ได้อีกหรือ?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้าพลางส่งเสียงบอกว่า
“ในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า เจ้าจะตัวเล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นทารก นี่คือการพลิกกลับหลังของร่างธรรมสังสารวัฏ หากพลิกไปหน้าก็ทำให้เป้าหมายอายุมากขึ้น”
“แต่ทั้งเจ้าและข้าต่างก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ถ้าพลิกไปข้างหน้าเราก็อาจไม่แก่ไปกว่าวันพรุ่งนี้ หากพลิกกลับ ก็ต้องถามว่า เจ้าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาถึงขั้นเหนือมนุษย์?”
สวี่ชีอันตระหนักถึงความน่ากลัวของร่างธรรมอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้าร่างอีกครั้ง
พวกมันอาจโจมตีไม่เก่ง แต่พวกมันต่างมีความลึกลับในตัวเอง ซึ่งแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้
“ร่างธรรมสังสารวัฏทำให้คนระลึกอดีตได้ใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันถามอย่างระมัดระวัง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่งเสียงตอบ “มีคำกล่าวว่าร่างธรรมสังสารวัฏสามารถทำให้คนระลึกได้ ทั้งในชาติอดีตและปัจจุบัน แต่จะจริงหรือไม่ ข้าไม่รู้”
นางหันหน้าไปมองเสินซูและตะโกนเตือนเสียงดัง “เสินซู กลืนแก่นโลหิตของอาซูหลัวซะ”
เกรงว่าเจ้าจะมีค่ำคืนที่ยาวนานให้ฝันหวานมากเกินไปแล้ว
ไม่ว่าอาซูหลัวจะตายหรือไม่ แต่ถ้ากลืนแก่นโลหิตของเขาไป เขาต้องตายแน่นอน
ตราบใดที่อาซูหลัวถูกจัดการ ก็จะไม่มีเซอร์ไพรส์หรือความวุ่นวายใดในการต่อสู้ครั้งนี้
ในเวลาเดียวกัน เด็กชายวัยสิบขวบกับพี่สาวที่ทั้งเป็นผู้ใหญ่ทั้งมีเสน่ห์ก็จะค้นหาคู่ต่อสู้และเข้าไปพัวพันกับพวกเขาเอง
เสินซูส่งเสียงพึมพำและหัวเราะเสียงประหลาด พลางหยิบร่างไร้ศีรษะของอาซูหลัวขึ้นมาและ ‘ฟู่’ สร้างพายุหมุนขึ้นในฝ่ามือของเขา คว้าเอาพลังชีวิตของอาซูหลัวไว้
มองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่า ร่างสีดำของโอรสคนสุดท้องของราชันอสูรหดตัวและแห้งลงอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้ รอยตรา ‘卍’ ก็สว่างขึ้นบนผิวกายสีเข้มของอาซูหลัว จากนั้นเครื่องหมายสวัสดิกะก็ค่อยๆ หมุน จิตเดิมของอาซูหลัวพลันปรากฏขึ้นเบื้องหลังเสินซู ด้านหลังศีรษะของจิตเดิมมีวงล้อพื้นผิวโลหะปรากฎอยู่
รอยตรา ‘卍’ ปรากฏขึ้นตรงกลางวงล้อและจานวงกลมรอบนอก มีคำว่า ‘สวรรค์ มนุษย์ สัตว์ อสุรา เปรต นรก’ สลักอยู่
ร่างธรรมสังสารวัฏ!
‘แกรก แกรก แกรก!’
ขณะที่กงล้อหมุน อักขระสามตัว ‘อสุรา’ บนนั้นก็สว่างขึ้นและแสงสีทองก็ส่องวิถีไปยังเสินซูและอาซูหลัว
ร่างกายแข็งแกร่งของเสินซูแข็งทื่อทันที พายุหมุนหายไป และ ’ศพตายซาก’ ของอาซูหลัวก็ล้มลงกับพื้น
ในเวลานี้ร่างของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องฟ้าก็แตกสลายกลายเป็นแสงและสลายไป
วินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเสินซู
แสงสีทองที่พุ่งเข้าไปในร่างกายอาซูหลัวเมื่อครู่นี้คือพลังของร่างธรรมสังสารวัฏ ใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ระยะประชิดของอาซูหลัว แผ่พลังแห่งร่างธรรมสังสารวัฏเข้าครอบคลุมตัวเสินซูไว้
เสินซูยืนตัวแข็งเหมือนรูปปั้นมิได้สนใจพระโพธิสัตว์กว่างเสียน
“ข้า…เป็นใคร…”
เสียงพึมพำสับสนดังมาจากช่วงอกของเสินซู
ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน กำแพงเมืองพังทลายลงพบเห็นศพตายซากอยู่ทั่วทุกที่
แสงจันทร์เย็นยะเยือกส่องลงมาให้สถานที่ยุ่งเหยิงแห่งนี้พลันสว่างไสว เนื่องจากทหารอารักขาของดินแดนประจิมทิศและกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจถอยห่างออกไป สถานที่แห่งนี้จึงเงียบสงบเป็นพิเศษ มีเพียงเสียงพึมพำของเสินซูดังคลอไปกับเสียงเปลวไฟปะทุ
จานหมุนสังสารวัฏหมุนช้าๆ ราวกับหลอดไฟซีนอนขนาดใหญ่ฉายแสงสีทองออกมาปกคลุมเสินซูไม่ขาดสาย
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนมีพระพักตร์เปี่ยมเมตตาประสานมือเข้าด้วยกัน
“โอ้คนไร้ราก หวังว่าเจ้าจะพบปลายทางของเจ้าในสังสารวัฏนี้!”
รูปร่างของเขากึ่งโปร่งใสกึ่งภาพลวงตา ราวกับว่าพลังของตนกำลังจะหมดลง
เสินซูค่อยๆ สงบลง งอมือซ้ายอย่างลังเล พับฝ่ามือเข้าหากันและเสียงสงบนิ่งก็ดังมาจากช่วงอก
“อมิ…”
เสียงนั้นหยุดลงกะทันหัน เขากำลังต่อต้านสัญชาตญาณบางอย่าง สัญชาตญาณที่บอกให้เปลี่ยนมาบูชาพุทธศาสนา
สวี่ชีอันกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองหน้ากัน ทั้งคู่เห็นความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน
ผลกระทบจากร่างธรรมสังสารวัฏที่เกิดขึ้นกับเสินซูนั้นเกินความคาดหมายของพวกเขา
หรือร่างธรรมสังสารวัฏทำให้ความทรงจำในอดีตของเสินซูกลับคืนมาและปลุกลักษณะธรรมให้ตื่นขึ้น? สวี่ชีอันนึกถึงเมืองสมัยใหม่ที่เขาเพิ่งเห็นและคาดเดาเองในใจ
ทันใดนั้น ศพไร้หัวของอาซูหลัวก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ
‘เผียะ!’ เสียงเหมือนปลายเท้าเตะอากาศจนระเบิดพลังปราณที่น่ากลัวขึ้น ฉีกร่างของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนทันที
การเตะนี้ทำให้พลังงานของร่างอวตารมลายหายไปหมดสิ้น
เสียงถอนหายใจของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนดังก้องท้องฟ้ายามราตรี จานหมุนสังสารวัฏพังทลายลงเป็นแสงสีทองและจิตเดิมของอาซูหลัวก็กลับคืนสู่ร่างตัวเอง
ร่างกายที่เหลืออยู่ของอาซูหลัวค่อยๆ ยืนขึ้น เซลล์ต่างๆ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว กระดูกสันหลังงอกออกมาเป็นอย่างแรก แล้วสร้างกระดูกคอขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นกะโหลกก็งอกขึ้นจากกระดูกคอ ทั้งเลือดทั้งเนื้อดิ้นพล่าน เนื้อสีแดงอ่อนๆ เข้าปกคลุม ตามด้วยผิวหนังสีดำสนิท
อย่างแรกที่เขาทำหลังจากฟื้นคืนชีพคือสลายซือกู่หลายสิบศพในร่างตัวเอง
“ทำได้ดี!”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเสมองไปด้านข้างแล้วยิ้มให้เด็กชาย
หลังจาก ‘ความตายของอาซูหลัว’ สวี่ชีอันซึ่งไวต่อซากศพมาก ก็คิดว่าจะฉวยโอกาสเปลี่ยนร่างเป็นซือกู่ที่แอบกัดกร่อนเขาอยู่ทันที
แน่นอน การกัดกร่อนย่อมไม่ได้มาจากการจัดการหรือการเปลี่ยนแปลง
ด้วยระดับของซือกู่ในตอนนี้ การจะควบคุมศพระดับขั้นสองอย่างสมบูรณ์แบบย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการกระทำก้าวร้าวง่ายๆ ย่อมไม่ยากเกินควบคุม
นั่นคือลูกเตะที่ทำให้ร่างอวตารของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนแตกสลายไปเมื่อครู่
เด็กชายส่งยิ้มกลับมาให้นาง ตอนนี้ร่างอวตารของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนสลายไปแล้ว อาซูหลัวบาดเจ็บสาหัสและผู้เดียวที่สามารถต่อสู้ได้คือพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
หลังจากผลกระทบจากร่างธรรมสังสารวัฏมลายหายไป เสินซูยังคงมึนงงไม่หายได้แต่บ่นงึมงำอยู่ในปากตัวเอง
“ข้าเป็นใคร ข้าเป็นใคร…”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพูดเสียงดัง
“เจ้าคือเสินซู เจ้าเป็นราชาอสูร นักรบไร้พ่ายแห่งเผ่าพันธุ์อสูร”
สุ้มเสียงไพเราะก้องกังวาน
“ราชันอสูร…”
เสินซูสงบลงเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็เริ่มถามตัวเองอีกครั้ง “ข้าคือใคร ราชาอสูรคือใคร ข้าจำไม่ได้…”
เสียงสับสนที่พูดกับตัวเองค่อยๆ ได้กลายเป็นส่งเสียงคำรามบ้าคลั่งรุนแรง
“ข้าเป็นใคร! ข้าเป็นใคร!”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพูดซ้ำหลายครั้งว่า “เจ้าคือเสินซู เป็นราชาอสูร” แต่ก็ไม่เป็นผล
นางกับสวี่ชีอันมองหน้ากันแล้วรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เสินซูควบคุมตัวเองไม่ได้
“ร่างธรรมสังสารวัฏจะยับยั้งเสินซูไว้ได้หรือไม่?”
สวี่ชีอันค่อยๆ หันหน้าไปมองหญิงสาวผมขาว
นางขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ?”
ด้วยบุคลิกและพลังต่อสู้ที่ไม่เหมือนใครของเสินซู ร่างธรรมสังสารวัฏอาจทำให้เขาอ่อนแอลงและส่งผลกระทบต่อเขา แต่การจะยับยั้งเขาไว้ย่อมเป็นไปไม่ได้
เว้นแต่ปัญหาจะอยู่ที่ตัวเสินซูเอง…สวี่ชีอันใจสั่นสะท้านแล้วจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
หากอาซูหลัวปล่อยน้ำในวันนั้น ก็เป็นเพราะเขาอาจวางแผนบางอย่างด้วยความเห็นแก่ตัว แทนที่พระโพธิสัตว์กว่างเสียนจะเสด็จมา เขาอาจต้องการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจ
แล้วไฉนพระโพธิสัตว์กว่างเสียนซึ่งรู้ว่ามีร่างอวตารอยู่จึงยังปรากฏกายแยกอยู่ในขณะนี้
เขามั่นใจหรือไม่ว่ามีร่างอวตารเพียงร่างเดียวและมีขั้นสองเพียงสองตัวเท่านั้นหรือที่สามารถหยุดยั้งเสินซูได้? นอกจากนี้เขาก็มีจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกับราชาหมีอยู่
ตอนนี้พอมองไปทางเสินซูที่กำลังบ้าคลั่ง สวี่ชีอันก็รู้คำตอบ
ร่างธรรมสังสารวัฏเป็นเพียงการชักนำเท่านั้น มันช่วยชักนำให้เสินซู ‘บ้าคลั่ง’ ส่วนเหตุผลจะเป็นอะไรในขณะนี้สวี่ชีอันยังคิดไม่ออก
ทั้งเขาและจิ้งจอกเก้าหางยังไม่รู้จักเสินซูดีพอ
ผู้ที่รู้จักเทพยุทธ์ครึ่งขั้นองค์นี้ดีที่สุดคือสำนักพุทธ
“ข้าเป็นใครกันแน่!?”
เสียงปีศาจน่าสะพรึงกลัวดังก้องภูเขาหมื่นปีศาจ ทันใดนั้นลูกบอลแสงสีเลือดก็ลุกโชนขึ้นในร่างกายของเสินซูแล้วขยายตัวอย่างรวดเร็วและกลืนกินทุกสิ่งตลอดทาง
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งห้าคนที่ปรากฏขึ้นในอากาศพร้อมกันพากันถอยกลับอย่างรวดเร็ว
แสงโลหิตขยายตัวเป็นกลุ่มแสงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบจั้ง แล้วระเบิดโครม
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งห้าคนยืนอยู่บนท้องฟ้าที่มองเห็นป่าบนยอดเขา และในขณะนี้พวกเขาก็ก้มลงพร้อมกันและบ้านเรือนทั้งหมดที่อยู่ใกล้กำแพงเมืองพลันพังทลาย
เปลวเพลิงเคลื่อนตัวไปทางด้านตะวันตกของเมืองทางใต้และร่างคนที่เหมือนมดจำนวนนับไม่ถ้วนก็หนีไปยังประตูเมืองด้วยความตื่นตระหนก
จอมยุท์ภิกษุ ฉานซือ และกองทัพป้องกันเมืองทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
แสงสีเลือดค่อยๆ จางหายไปและร่างธรรมสูงตระหง่านยี่สิบจั้งก็ค่อยๆ ยืดตัวขึ้น
ร่างกายของเขาดำสนิท ลำแขนกล้ามโตสิบสองคู่งอกออกมาจากหลัง รอยประทับเปลวไฟสีดำสว่างขึ้นกลางหว่างคิ้วของเขาและวงแหวนไฟก็กำลังแผดเผาลุกไหม้อยู่หลังศีรษะของเขา
ใบหน้าของเขาไม่ต่างจากรูปปั้น มิได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นร่างอวตารของพลังความชั่วร้าย เลือดเนื้อทุกตารางนิ้วมีพลังประหลาดน่ากลัวและเต็มไปด้วยมลพิษทางวิญญาณที่ชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัว
สวี่ชีอันราวกับตกลงไปในห้องใต้ดินน้ำแข็ง ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ รูขุมขนเปิดกว้างและเหงื่อเย็นเยียบไหลหยดลงมา
ไม่ใช่เพราะการปนเปื้อนทางจิตใจที่น่ากลัว แต่เพราะเขาถูกขัง
เสินซูขังเขาไว้
เสินซูบ้าคลั่งสิ้นหวังที่จะซ่อมแซมตัวเองและในตัวยังมีแขนที่หักอยู่…ความเข้าใจแจ่มชัดบังเกิดขึ้นในใจสวี่ชีอัน
วินาทีต่อมา เงามืดขนาดใหญ่ก็เข้าปกคลุมเขา
ร่างธรรมสูงยี่สิบจั้งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ แขนสิบสองคู่กำหมัดแน่นและชกออกไปพร้อมกันทันที
รวดเร็วจนไม่มีเวลาให้เงามืดกระโดดหนี…สวี่ชีอันตัดสินใจอย่างเด็ดขาดทำให้เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือน กำราบพลังคุมขังไว้ ในเวลาเดียวกันเคลือบสีทองก็สว่างขึ้นจากกลางหว่างคิ้ว แล้วย้อมสีร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว วงแหวนเพลิงที่อยู่หลังศีรษะของเขาระเบิดดัง ‘ตูม’
หลังจากนั้นลี่กู่ก็เข้าสู่สภาวะบ้าดีเดือดทันที กล้ามเนื้อของเขาพองตัวและร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า
ดาบไท่ผิงและดาบสยบดินแดนไขว้กันอยู่
‘ตูม!’
ดาบบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งออกไปไกล
แสงสีทองและแสงเพลิงประสานกันและระเบิดออก พลังเทพวชิระก็พังทลายลง ณ จุดนั้นเอง
สวี่ชีอันหน้ามืดหมดสติไปชั่วขณะ หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาพบว่าร่างของเขาเหินไปด้านหลังอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยความเร็วเหมือนดาวตก
แขนสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว ได้แต่ยักไหล่อย่างอ่อนแรง กระดูกทั่วทั้งร่างหักแต่ไม่ถึงตาย
‘ตูม!’
เขาชนเข้ากับภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปอย่างจัง ทำให้เกิดแผ่นดินถล่ม
ร่างธรรมเสินซูที่ไล่ตามเขามาตัวแข็งทื่อและสั่นสะท้านราวกับมีใครเอาไม้มาฟาดร่างกายไม่หยุดหย่อน
หยกสลาย!
สวี่ชีอันส่งคืนความเสียหายให้มัน ขัดจังหวะเสินซูและทำให้ตัวเองมีโอกาสเว้นช่วงหายใจ
“อมิตตาพุทธ!”
อีกด้านหนึ่ง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประสานมือเข้าด้วยกันและพูดช้าๆ “จิ้งจอกเก้าหางผู้มีอุปการคุณ เสินซูไม่ใช่คนที่พวกท่านจะสามารถควบคุมได้ ท่านไม่ได้รู้ถึงความน่ากลัวของเขาเลยสักนิด”
ดวงตาของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นประกายสีแดง มองไปยังอาซูหลัวกับตู้เอ้อร์ด้วยสายตาเย็นชา
“ใช้หอกของอีกฝ่ายโจมตีโล่ของอีกฝ่าย เป็นเรื่องง่ายที่สำนักพุทธย่อมคำนวณได้ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเสินซูจึงควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ขนาดนี้”
อาซูหลัวพูดช้าๆ
“พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้”
ขณะที่คุยกัน เขากับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็ห้อมล้อมรอบตัวจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
“พวกท่านพูดถูก เป็นความจริงที่ข้าไม่อาจควบคุมเสินซูได้ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านจะควบคุมได้เช่นกัน ไต้ซือทั้งสองน่าจะรู้ความจริงเรื่องการเล่นกับไฟจนไฟเผาไหม้ตัวเองมิใช่หรือ?”
เด็กหญิงผมขาวมิได้ตื่นตระหนก ทั้งยังพูดไปยิ้มไป
“พวกท่านประเมินสวี่ชีอันต่ำเกินไป”
ในเวลานี้ร่างธรรมของเสินซูมองซ้ายมองขวาเหนือภูเขาที่พังทลาย ราวกับว่าเขาสูญเสียเป้าหมายไปและไม่สำเหนียกถึงแม้แต่กลิ่นอายของตอไม้
ด้วยสัญชาตญาณที่จะสร้างความพอใจให้ตัวเองและกระหายในแก่นโลหิต ทำให้เขาค่อยๆ หันกลับมา และจ้องมองไปยังยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ทั้งสาม
……………………………………….