ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 704 ข้าเป็นใคร
บทที่ 704 ข้าเป็นใคร
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ ราชาหมี อาซูหลัวและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเหงื่อแตกพลั่ก
โดยเฉพาะสามคนหลัง พวกเขามีลางล่วงรู้วิกฤติ ทุกเซลล์ในร่างกายร้องคำราม ทุกเส้นประสาทส่งสัญญาณเตือนถึงอันตราย
ในฐานะจอมยุทธ์ ปราณโลหิตของพวกเขามั่นคงและบริสุทธิ์กว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ พวกเขาจึงเป็นเป้าหมายหลักของเสินซู
อาซูหลัวเกร็งร่างกายของเขา คลายกล้ามเนื้ออันกำยำออกเงียบๆ และสะสมพลัง
เขารับรู้ได้ในทันทีว่า ตัวเองคือเป้าหมายหลักของเสินซู แก่นโลหิตอสูรดึงดูดเสินซูอย่างมาก
ทันใดนั้น ร่างธรรมสูงตระหง่านที่อยู่ไกลออกไปก็อันตรธานหายไปจากสายตาทุกคน
วินาทีต่อมา แขนยี่สิบสี่ข้างก็ยื่นออกมาจากข้างหลังอาซูหลัว ราวกับเขี้ยวของต้นกาบหอยแครงที่อ้าออก
ไม่รู้ว่าร่างธรรมของเสินซูปรากฏขึ้นข้างหลังอาซูหลัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าดำทะมึนของร่างธรรมไร้ซึ่งอารมณ์ แต่กลับดูน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสีหน้าที่แสดงเจตนาร้ายออกมาเป็นไหนๆ
อาซูหลัวทรุดตัวลงอย่างเงียบเชียบและแยกตัวออกจาก ‘การล้อม’ ทางเบื้องล่างก่อนที่แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างที่ดูเหมือนกับยื่นออกมาจากขุมนรกจะหุบลง
ดวงตาของอาซูหลัวเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ออกมา มันคือตาทิพย์
พลังวิเศษนี้ทำให้เขารู้ความเคลื่อนไหวของเสินซูล่วงหน้าและตอบสนองได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นเขาคงเหมือนกับสวี่ชีอัน
ระหว่างที่ทรุดตัวลง ด้านหลังศีรษะของอาซูหลัวก็ปรากฏรัศมีเจิดจ้า เขาเอ่ยเสียงขรึม
“ศีลข้อที่หนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์!”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประนมมือ ด้านหลังศีรษะปรากฏรัศมีขึ้น เขาเอ่ยช้าๆ
“ศีลข้อที่หนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์!”
กลิ่นอายชั่วร้ายที่ร่างธรรมของเสินซูปล่อยออกมาสลายไปทันที มลพิษทางจิตใจก็จางไปเล็กน้อย
เมื่อพระอรหันต์ทั้งสองรวมพลังกันก็ส่งผลกระทบต่อเสินซูในที่สุด
เวลานี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางลังเลอยู่พักหนึ่ง นางปล่อยให้เสินซูไล่ล่าอาซูหลัวผู้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย และเหลือไว้เพียงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ซึ่งไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ นางควรจะนำเผ่าพันธุ์ปีศาจหนีออกจากซินเจียงตอนใต้ มิเช่นนั้นคงจะกลายเป็นเหยื่อของเสินซู
นอกจากนี้ นี่ยังหมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจสูญเสีย “สิทธิ์การใช้งาน” เสินซู หากไม่มีเสินซู เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่อาจฟื้นฟูอาณาจักรได้ แม้ว่าจะได้เขาหมื่นปีศาจคืนมา สุดท้ายก็คงถูกสำนักพุทธยึดกลับไปอีกครั้ง
ไม่สิ เสินซูที่สูญเสียการควบคุมคงทำตามสัญชาตญาณ สังหารหมู่อย่างบ้าคลั่งที่ซินเจียงตอนใต้ กอบโกยแก่นโลหิต และสถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นเขตหวงห้ามในจิ่วโจว
แม้แต่ยึดเขาหมื่นปีศาจกลับมา เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่อาจทำได้
นางเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนทันที สำหรับที่เผ่าพันธุ์ปีศาจก่อจลาจล วิธีการตอบโต้ที่แท้จริงของสำนักพุทธคือการใช้พลังของร่างธรรมสังสารวัฏ ทำให้เสินซูคลั่งจนไม่อาจควบคุมได้ และเปลี่ยนซินเจียงตอนใต้เป็นเขตหวงห้าม เพื่อให้แผนการฟื้นฟูอาณาจักรของเผ่าพันธุ์ปีศาจล่มไป
หลังจากนั้นก็ช่วยกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวโค่นล้มต้าฟ่ง สะสางสงครามในที่ราบลุ่มภาคกลาง
จากนั้นสวี่ผิงเฟิงกับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่เลื่อนขั้นสู่โหรระดับหนึ่งก็จะปราบเสินซูได้ แล้วแยกเขาเป็นส่วนๆ อีกครั้งก่อนผนึกไว้ เมื่อถึงเวลานั้น ภูเขาสือว่านก็จะยังคงเป็นของสำนักพุทธ
แม้จะเข้าใจแผนการของสำนักพุทธ แต่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยังคงคิดไม่ตก เหตุใดร่างธรรมสังสารวัฏถึงทำให้เสินซูสูญเสียการควบคุม
แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้การผนึกเสินซูหรือไม่ก็ฟื้นฟูสติของเขาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
มิเช่นนั้นจะพ่ายแพ้ทั้งกระดาน
หางจิ้งจอกทั้งแปดฟูขึ้นตามลมกลายเป็นงูเหลือมยักษ์ซึ่งปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า งูเหลือมยักษ์เลื้อยผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนและเข้าไปพันธนาการเสินซูที่อยู่ในสภาพนิ่งงัน
แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างของเสินซูออกแรงและค่อยๆ ยืดหางจิ้งจอกที่พันธนาการไว้ออก
ใบหน้าอันงดงามและขาวราวหิมะของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแดงก่ำทันที ร่างกายสั่นเล็กน้อย เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน
ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน
โชคดีที่นางเป็นปีศาจ พลังปราณไม่มีใครเทียบได้ หากนางเป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ของระบบอื่น แม้แต่คุณสมบัติที่จะงัดข้อกับเสินซูก็คงไม่มี
อาซูหลัวฉวยโอกาสนี้คำรามเสียงต่ำ รัศมีด้านหลังศีรษะสลายกลับเข้าไปในร่างกาย ครู่หนึ่ง อัฐิธาตุที่เปล่งแสงหลากสีก็ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะเขา
นี่คืออัฐิธาตุที่แสดงถึงระดับเต๋าแยกขันธ์
อาซูหลัวยื่นมือไปคว้าอัฐิธาตุมาไว้ในฝ่ามือ กำปั้นเปล่งแสงเจิดจ้าแสบตาออกมา ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนส่องสว่างโชติช่วง
นี่ไม่ใช่การรวบรวมพลังของระดับเต๋าแยกขันธ์ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างระดับเต๋ากับเสินซู
ชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งเขาหมื่นปีศาจก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่า
ต้นไม้ใบหญ้าและสรรพสัตว์ล้มตายอย่างเงียบเชียบ ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกสังหาร
“ย้าก!”
ท่ามกลางเสียงคำรามของอาซูหลัว กำปั้นที่เปล่งแสงเจิดจ้าของเขาก็ต่อยเข้าที่หว่างคิ้วของเสินซูอย่างแม่นยำ
ระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน คลื่นแสงเจิดจ้ากระจายออกไป สะท้อนภูเขาเบื้องล่างอย่างพิลึกพิลั่น
วงแหวนไฟด้านหลังศีรษะของเสินซูแตกกระจาย หว่างคิ้วปริแตกราวกับเครื่องลายคราม รอยประทับแห่งเปลวไฟถูกทำลาย
เสินซูที่กำลังโกรธเกรี้ยวส่งเสียงคำรามดังสนั่น
‘ปึดปึดปึด’ หางจิ้งจอกทั้งแปดที่พันธนาการร่างธรรมของเสินซูไว้ขาดออกทีละหาง สีหน้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางซีดขาวราวกับหิมะ ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
หางจิ้งจอกที่ขาดออกไม่ได้ร่วงหล่น แต่บินกลับมาข้างหลังนางราวกับมีชีวิตและเชื่อมติดกับนาง
แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างของเสินซูโอบล้อมอาซูหลัวจากทุกทิศทุกทางเป็นชั้นๆ และปกคลุมเขาไว้ในฝ่ามือ
เวลานี้ อัฐิธาตุสีทองอร่ามลอยนิ่งอยู่เหนือศีรษะของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
“ความปรารถนาประการแรก ปรารถนาให้อาซูหลัวอยู่ข้างกายข้า”
เมื่อสิ้นเสียง อาซูหลัวที่เดิมถูกฝ่ามือซึ่งปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าโอบล้อมก็มาปรากฏตัวข้างกายพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
‘ตูม!’
พลังปราณระเบิดออกทีละชั้น ฝ่ามือทั้งยี่สิบสี่ของเสินซูตบพร้อมกัน แต่ตบไม่โดนอะไรเลย
วัดหนานฝ่ามีอยู่หนึ่งอัฐิธาตุ เป็นอัฐิธาตุแห่ง ‘ทานพละ’
หัวหน้าสงฆ์คนแรกของวัดหนานฝ่าทิ้งไว้เมื่อกลับชาติมาเกิด ในคืนที่สวี่ชีอันกับซุนเสวียนจีขโมยขาทั้งสองข้างของเสินซูไป อาซูหลัวขอพรกับอัฐิธาตุแห่ง ‘ทานพละ’ ขอผู้ช่วยที่เหมือนกับตัวเขาเองหนึ่งคน
ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา อัฐิธาตุนี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดหนานฝ่า และถูกชะล้างด้วยเครื่องหอม
ผู้มีจิตศรัทธาถวายเครื่องบูชาและบรรณาการด้วยความจริงใจ เพื่อสั่งสมพลังปณิธาน
เมื่อพลังปณิธานเพียงพอ อัฐิธาตุแห่งทานพละจะตอบสนองความปรารถนาของผู้มีจิตศรัทธาใน ‘ขอบเขตที่เหมาะสม’
พลังปณิธานมีคุณลักษณะจำเพาะอันแรงกล้า มันจะตอบแทนแค่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาเท่านั้น
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ถวายเครื่องบูชาแก่อัฐิธาตุนี้ได้ไม่นานนัก พลังปณิธานจึงมีจำกัด เติมเต็มความปรารถนาได้เพียงห้าประการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงเก็บมันไว้เป็นไพ่ตาย
แน่นอนว่าความปรารถนาห้าประการนี้ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมด้วย หากเกินขีดจำกัด ความปรารถนาจะไม่เป็นจริง
ในเวลานี้เอง ราชาหมีที่มีขนสีดำกับสีขาวสลับกันและมีแขนขาที่ราวกับบินได้พุ่งเข้าใส่เสินซูราวกับเครื่องกระทุ้งอวบอ้วน
‘เพี๊ยะ!’
กรงเล็บทั้งสองข้างข่วนตรงหว่างคิ้วของเสินซูอย่างรุนแรง ทำให้รอยแตกปริแตกมากขึ้น
เสินซูที่ถูกโจมตีแกว่งกำปั้นโดยสัญชาตญาณ ต่อยเข้าที่ท้องกลมๆ ของราชาหมีเสียงดัง ‘ปัก’
กำปั้นอันทรงพลังเจาะทะลวงร่างของหมียักษ์กลายเป็นลมกระโชกที่โหมกระหน่ำอยู่ข้างหลังมัน
ราชาหมีกลายเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่พุ่งออกไปเช่นเดียวกับสวี่ชีอันเมื่อสักครู่นี้ แล้วกระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ไกลออกไปจนภูเขาถล่ม
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไม่อยู่นิ่ง เมื่อราชาหมีกระโจนเข้าใส่ร่างธรรมของเสินซู ลูกประคำเก้าสิบเก้าเม็ดก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ‘ติงติงติง’ ลูกประคำชนกันและร้อยเป็นเส้นเดียวราวกับดาบบาง
ดาบที่เปล่งแสงเจิดจ้า
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ผลักฝ่ามือ ดาบบางบินออกไป กลายเป็นลำแสงหลากสีสัน
จากนั้นเขาก็ประนมมือและพูดว่า
“ความปรารถนาประการที่สอง ปรารถนาให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ พลังเพิ่มเป็นสองเท่า”
‘ครืน!’
เมฆดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้ายามค่ำคืน สายฟ้าที่หนาและมีรูปลักษณ์ราวกับต้นไม้ฟาดลงมา เคลือบดาบลูกประคำ
ความเร็วในการบินของดาบลูกประคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลากประกายไฟสีเงินและส่งเสียงหวีดแหลมสูง เจาะทะลุหว่างคิ้วร่างธรรมของเสินซู
ศีรษะของร่างธรรมระเบิดดัง ‘ตูม’ ไม่มีเลือดเนื้อ ทว่าแตกสลายกลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์
ร่างธรรมไร้ศีรษะแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนทันที
…
เพื่อช่วยบิดาชราที่เสียสติ ลูกสาวและลูกชายร่วมมือกับภิกษุอาวุโสอายุแปดสิบระเบิดศีรษะของบิดา…ข้างในซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง สวี่ชีอันผู้กำลังเฝ้าดูการต่อสู้ครั้งนี้เอ่ยพึมพำในใจ
เป็นลูกที่กตัญญูจริงๆ
“เจ้าก็มาด้วยหรือ”
จากนั้นเขาก็พูดกับราชาหมีที่ตื่นขึ้นช้าๆ
หลังจากถูกหมัดของเสินซูต่อย สวี่ชีอันก็ใช้หยกสลายขัดจังหวะการโจมตีของเสินซู และใช้ความสามารถของเทียนกู่ ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ซ่อนกลิ่นอายของตัวเอง จากนั้นใช้วิชากระโดดสู่เงามาซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลบหนีการตามล่าของเสินซูได้แล้วให้ผู้อื่นรับกรรมแทน ปล่อยให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กับอาซูหลัวรับผลกรรมไป
ขณะที่กำลังชมการแสดงอย่างเพลิดเพลิน จู่ๆ ราชาหมีก็ถูกเขวี้ยงลงมา
“เจ็บเจียนตายเลย…”
ราชาหมีครวญเสียงเบา
“ไม่เป็นไร นอนลงช้าๆ ข้าปกปิดกลิ่นอายให้เจ้าแล้ว” สวี่ชีอันปลอบใจ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช้เจดีย์ของเจ้า มันสามารถรักษาได้”
ดวงตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วของราชาหมีจ้องมองเขา สีหน้าขลาดเขลาเล็กน้อย เพราะกระอักเลือดออกมาจากปาก จึงดูน่าสงสารเป็นพิเศษ
“แบบนั้นจะทำให้เป้าหมายเปิดเผย”
‘…สมเหตุสมผล’ ราชาหมียอมรับคำอธิบายของเขา จึงทำได้เพียงรักษาและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยตัวเอง
อันที่จริง ณ จุดนี้ หากเป็นสถานการณ์ปกติ สวี่ชีอันสามารถถอยได้ ปล่อยให้ผู้อื่นรับกรรมแทน แล้วกำจัดอาซูหลัวหรือตู้เอ้อร์ทิ้งเสีย
เสินซูต้องสงบสติลงและถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจควบคุม ด้วยวิธีนี้ปีศาจทางใต้จะสามารถพยุงสงครามในภายภาคหน้าของภูเขาสือว่านและสกัดกั้นสำนักพุทธได้ หากข้าไปจริงๆ มันจะจบลง ส่วนนี้ชนะ แต่สถานการณ์โดยรวมแพ้ ชิงไหวชิงพริบกับพวกผู้อาวุโสช่างเหนื่อยจริงๆ ต้องค่อยๆ ทำไปทีละขั้น
เขาเชื่อว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็เข้าใจจุดนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงลงมือหยุดเสินซูและร่วมมือกับพระอรหันต์ตู้เอ้อร์และอาซูหลัวชั่วคราว
แต่ปัญหาคือ ตอนนี้อาซูหลัวกับตู้เอ้อร์ต้องคิดจะล่าถอยแล้วแน่ๆ… เขาคิดเงียบๆ
จากการเฝ้าสังเกตอย่างละเอียด สวี่ชีอันพบว่าหลังจากเสินซูสูญเสียการควบคุม เขาก็ต่อสู้โดยอาศัยสัญชาตญาณทั้งสิ้น
ไร้ซึ่งเทคนิคใดๆ
เมื่อถูกราชาหมีโจมตี เขาโต้กลับตามสัญชาตญาณ ไม่ใช่ฉวยโอกาสควบคุมแล้วกลืนแก่นโลหิต
“ไม่มีสมองน่ะดีแล้ว ไม่มีสมองรับมือได้ง่ายกว่า…”
เวลานี้ เขาเห็นศีรษะร่างธรรมของเสินซูควบแน่นอีกครั้ง ยังคงเป็นใบหน้าไร้อารมณ์
ยอดมนุษย์ห้าคนในตอนนี้ สามคนอยู่บนฟ้า สองคนอยู่ในป่า จิตใจของทุกคนต่างหนักอึ้ง
นี่มันครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์!
แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะสูญเสียการควบคุมจนเหลือเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้ แต่ก็ยังคงเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์
ช่างเป็นทหารที่หยาบกระด้างจริงๆ… สวี่ชีอันกัดฟัน เขาสัมผัสได้ถึงความขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของระบบอื่นเมื่อเผชิญหน้ากับทหารระดับบรรลุธรรม
อย่าคิดว่าอาซูหลัว ตู้เอ้อร์ ราชาหมีและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางร่วมมือกันอย่างรู้ใจเมื่อสักครู่แล้วจะทำลายศีรษะร่างธรรมของเสินซูจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ เพราะในความเป็นจริงเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายนัก
ทว่าอัตราการยอมรับความผิดพลาดของฝั่งตัวเองกลับต่ำมาก หากไม่ระวังก็จะถูกร่างธรรมจับและสูบแก่นโลหิตทั้งเป็น
นี่คือยอดมนุษย์ของระบบอื่นมิใช่หรือ รู้สึกอย่างไรเมื่อต่อสู้กับทหารระดับบรรลุธรรม
อาซูหลัวจ้องมองร่างธรรมที่ราวกับเทพมารและเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ขอพรกับอัฐิธาตุ ออกไปจากที่นี่”
ด้วยคุณสมบัติของ ‘ทานพละ’ การจำลองค่ายกลส่งตัวไม่ใช่เรื่องยากเลย
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้นานแล้ว เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและเอ่ยความปรารถนาประการที่สาม
“ความปรารถนาประการที่สาม ปรารถนาให้ข้ากับอาซูหลัวกลับไปที่อรัญตา”
อัฐิธาตุสว่างขึ้นแล้วก็หรี่ลงอีกครั้ง
ทั้งสองคนยังคงอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนกระทั่งเวลานี้ ทุกคนถึงพบว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิท ไม่รู้แสงจันทร์ไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน
สีหน้าของอาซูหลัวพลันดูไม่ได้ เขาเอ่ยช้าๆ
“เขตแดนอสูร! นี่เป็นเขตแดนที่เขาสร้างขึ้น เขาได้ความทรงจำบางส่วนกลับคืนแล้ว”
เขตแดนอสูรเป็นทักษะการต่อสู้ที่ราชันอสูรคนก่อนสร้างขึ้น เป็นทักษะการต่อสู้ของราชันอสูรผู้เดียว แม้แต่อาซูหลัวผู้เป็นลูกชายก็ไม่ได้เรียนรู้ทักษะนี้
ภายในเขตแดน เหยื่อจะไม่มีที่ให้หลบหนีจนกว่าจะถูกสังหาร หรือสังหารศัตรูแทน
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม
นี่หมายความว่า พวกเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้ หากไม่กำจัดเสินซูก็ถูกเขากำจัด ทว่าด้วยความแตกต่างของพลังต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย เห็นได้ชัดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเขาจะถูกเสินซูกำจัด
‘เขตแดนอสูร…’ จิ้งจอกเก้าหางฉุกคิดขึ้นในใจและกล่าวเสียงดัง
“เสินซู เจ้าก็คือราชันอสูร ราชันอสูรก็คือเจ้า”
นางพยายามจะเพิ่มการตระหนักรู้ในตัวเองของเสินซู จึงปลุกสติสัมปชัญญะของเสินซู
แต่ไม่สำเร็จ ร่างธรรมเสินซูไม่ขยับเขยื้อน เขาหันไปครึ่งตัวและมองไปยังอาซูหลัว แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างกางออกพร้อมกัน
…
การจะสังหารเสินซูนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางทำได้ จะหยุดยั้งเขาก็เป็นไปไม่ได้อีก ควรทำอย่างไรดี…
สวี่ชีอันเริ่มพิจารณาตัวเอง ของวิเศษ คนคอยหนุนหลังและวิธีการแวบเข้ามาในหัวทีละอย่าง
อย่างสุดท้ายที่นึกถึงคือตะปูตอกวิญญาณ!
ตะปูตอกวิญญาณไม่น่าจะผนึกเสินซูได้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่ถูกสำนักพุทธแยกเป็นส่วนๆ และผนึกไว้ตามที่ต่างๆ แต่น่าจะหยุดยั้งเขาได้ ปัญหาคือจะส่งตะปูตอกวิญญาณเข้าไปในร่างของเขาได้อย่างไร…
ขณะที่คิดวนไปวนมา สวี่ชีอันพลันรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา เขาหันศีรษะและเห็นว่าราชาหมีที่อยู่ข้างๆ ก็ง่วงงุนเช่นกัน
เวรเอ้ย เกือบตายด้วยเงื้อมมือเจ้าแล้ว… เขาเหงื่อแตกพลั่ก รีบขึ้นขี่ราชาหมี และสะบัดมือเล็กๆ ตบหน้าใหญ่ๆ ไปฉาดหนึ่ง
ราชาหมีตื่นตัวเล็กน้อยทันทีและเอ่ยอย่างจนใจ
“ข้าง่วง บางครั้งข้าก็ควบคุมความง่วงไม่ได้”
หลังจากฉุกคิดในใจ สวี่ชีอันก็มีความคิดดีๆ จึงเอ่ยว่า
“อย่าเพิ่งหลับนะ อีกเดี๋ยวข้าจะให้เจ้านอนหลับ แล้วเจ้าค่อยหลับ”
ราชาหมีพยักหน้า
“ข้าจะพยายาม”
สวี่ชีอันอาศัยวิชากระโดดสู่เงาขยับเข้าใกล้ป่าทึบเบื้องล่างทุกคน หลังจากเข้าไปใกล้ก็ใช้พลังของซินกู่ส่งกระแสจิตจากระยะไกล
“ทุกท่าน ข้ามีวิธีหยุดยั้งเขา…”
อาซูหลัว ตู้เอ้อร์และจิ้งจอกเก้าหางที่กำลังต่อสู้ ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง ดวงตาเปล่งประกาย
รัศมีด้านหลังศีรษะของอาซูหลัวกับตู้เอ้อร์สว่างขึ้นพร้อมกัน
พวกเขาประนมอย่างพร้อมเพรียงและเอ่ยแบบเดียวกัน
“ศีลข้อที่หนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์!”
ระดับสองทั้งสองคนร่วมมือกันอีกครั้งและร่ายศีล
กำปั้นที่ไม่อาจหยุดได้ของเสินซูแข็งค้างทันที แต่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็หลุดจากอิทธิพลของศีล
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีนี้ หางจิ้งจอกทั้งแปดก็ใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ฟูขึ้นราวกับงูยักษ์และพันธนาการร่างธรรมขนาดใหญ่ไว้
ขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็ประคองหมียักษ์ด้วยสองมือ ทะยานจากในป่าขึ้นไปบนฟ้าและโยนราชาหมีไปทางเสินซูอย่างสุดแรง
ราชาหมีร่วงลงมาเหนือเสินซูสามฟุต ลอยคว้างอยู่ในอากาศและหลับไป
ร่างธรรมของเสินซูกำลังต่อสู้กับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและแหวกการพันธนาการออกทีละนิด ทันใดนั้นความง่วงก็มาเยือนราวกับกระแสน้ำ ดูเหมือนความง่วงจะส่งผลต่อจิตเดิมโดยตรงและบีบบังคับให้เขานอนหลับ
เสินซูไม่ได้หลับ แต่พลังในการดิ้นรนลดลง
ควบคุมสามเท่า!
หลังจากโยนราชาหมีออกไปแล้ว สวี่ชีอันก็กวักมือเรียก กระบี่สยบดินแดนที่อยู่ในป่าทึบไกลออกไปก็บินมาตกอยู่ในมือ
เขาถือกระบี่แล้วกลายร่างเป็นสายรุ้งยาวชนเข้าที่หน้าอกของร่างธรรม
‘ชู่วว’
ปลายกระบี่สยบดินแดนแตะที่หน้าอกดำสนิท ประกายไฟระเบิดออกมา ส่งเสียงแหลมที่ทำให้คนมีอาการวิกลจริต
ทำลายการป้องกัน ทำลายการป้องกันให้ข้า สีหน้าของสวี่ชีอันดุร้าย เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้น ลี่กู่เข้าสู่สภาวะคลั่ง ทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างขยายตามไปด้วย
ในที่สุดปลายกระบี่ก็แทงทะลุผิวหนัง
เมื่อพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เห็นเช่นนั้นก็ประนมมือ และเอ่ยความปรารถนาประการที่สี่ออกมา
“ความปรารถนาประการที่สี่ ปรารถนาให้กระบี่เล่มนี้แทงทะลุหน้าอก”
เมื่อสิ้นเสียง แสงของกระบี่สยบดินแดนก็สว่างขึ้นเล็กน้อย ปลายกระบี่แทงทะลุร่างเนื้อ
เพียงพอแล้ว… เลือดร้อนกระเซ็นบนใบหน้า สวี่ชีอันดึงกระบี่สยบดินแดนออก ตะปูตอกวิญญาณที่เตรียมไว้ไถลออกมาจากแขนเสื้อ มือซ้ายหนีบตะปูไว้ตรงปลายนิ้วและปักไปที่หน้าอกของเสินซู
ตะปูตอกวิญญาณเจาะเข้าไปครึ่งหนึ่ง
ความเจ็บปวดทำให้เสินซูหลุดพ้นจากอาการง่วงนอนโดยสิ้นเชิง แก่นโลหิตอสูรเดือดพล่าน ในช่วงวิกฤติเขาระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมา
‘ปึดปึดปึด…’
หางจิ้งจอกหนาทั้งแปดฉีกขาดเหมือนเชือกที่ถูกยืดจนตึง สีหน้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกระตุกด้วยความเจ็บปวด
‘ปัก!’
กำปั้นของเสินซูต่อยสวี่ชีอันกระเด็นราวกับกระสอบทราย
อาซูหลัวโจมตีจากด้านซ้าย พยายามตอกตะปูตอกวิญญาณครึ่งนั้นเข้าไป แต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เขาก็ถูกกำปั้นของเสินซูต่อยกระเด็นเช่นกัน
จากนั้นจิ้งจอกเก้าหางที่หางเพิ่งเชื่อมติดกับร่างก็โจมตีจากด้านขวา แต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน เพราะถูกกำปั้นของเสินซูต่อยกระเด็นไป
ไต้ซือเสินซูต่อยลูกชายด้วยกำปั้นซ้ายและต่อยลูกสาวด้วยกำปั้นขวา ความรักของพ่อนั้นก็เหมือนกับภูเขา
ลูกประคำเก้าสิบเก้าเม็ดของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ เหมือนเปลวไฟเจิดจ้า ปะทะกับกำปั้นของเสินซูเสียงดังปึง
มือทั้งยี่สิบสี่ข้างประกอบเป็นวงแหวนป้องกันที่ไม่อาจเจาะทะลวงได้
การโจมตี ‘แบบพลีชีพ’ ของพวกเขาเปิดโอกาสให้สวี่ชีอัน เขาโผล่ออกจากเงาใต้วงแขวนของเสินซู วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนปกปิดกลิ่นอายอยู่ทำให้เสินซูไม่ทันรู้สึกตัว
‘ตึง!’
สวี่ชีอันกำกำปั้นและโจมตีโดยตรง ตอกตรงส่วนหัวของตะปูตอกวิญญาณ ส่งมันเข้าไปในร่างของเสินซูอย่างสมบูรณ์
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ เขาก็ผสานเข้ากับเงาทันทีและหนีออกไปไกล
ตู้เอ้อร์ อาซูหลัวและจิ้งจอกเก้าหางยืนเป็นรูปสามเหลี่ยมและล้อมเสินซูไว้ แต่ไม่ได้โจมตีต่อ
ร่างธรรมของเสินซูแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน
นอกจากพระอรหันต์ตู้เอ้อร์แล้ว สวี่ชีอันก็เสียพลังปราณระดับบรรลุธรรมขั้นสี่ภายในร่างไปเยอะมาก พลังต่อสู้ก็ลดลงไประดับหนึ่ง
ในบรรดาพวกเขา พลังต่อสู้ของสวี่ชีอันกับอาซูหลัวลดลงหนักที่สุด
สวี่ชีอันนั้นหลักๆ เป็นเพราะการกัดกร่อนของพลังร่างธรรมสังสารวัฏ ตอนนี้เสี่ยวเจิ้งไท่อายุเจ็ดขวบแล้ว ต่อมาถูกเสินซูต่อยสองครั้ง ทว่าไม่เป็นไร เพียงแค่บาดเจ็บเกือบถึงชีวิตเท่านั้นเอง
ส่วนอาซูหลัวถูกเสินซูฉกฉวยแก่นโลหิตไปมากกว่าครึ่ง หลังฟื้นจากความตาย ก็เสี่ยงชีวิตในสงครามอย่างต่อเนื่อง กล่าวได้ว่าสูญเสียทั้งพลังและโลหิต
หวังว่าตะปูตอกวิญญาณจะทำให้เสินซูฟื้นสติกลับมา มิเช่นนั้นหลังจากนี้คงเจอกับการต่อสู้อันหนักหน่วงอีก สวี่ชีอันพึมพำในใจ แต่ก็ไม่ใช่การเผชิญหน้ากับศัตรูเหมือนอย่างเมื่อสักครู่แล้ว
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ตะปูตอกวิญญาณสามารถหยุดยั้งเสินซูและทำให้พละกำลังของเขาอ่อนลงได้แน่นอน หากตะปูตอกวิญญาณไม่สามารถทำให้เสินซูฟื้นสติกลับคืนมาได้ สงครามต่อมาก็คงไม่อันตรายหรือหนักหน่วงเช่นเมื่อสักครู่เช่นกัน
หากเสินซูสามารถร่ายคาถาด้วยตัวเองได้และดึงตะปูตอกวิญญาณออก นั่นหมายความว่าเขาฟื้นสติกลับมาแล้ว เป้าหมายของทุกคนก็บรรลุเช่นกัน
ขณะที่จ้องมองอย่างกังวล เขตแดนที่ปกคลุมท้องฟ้าก็หดลงก่อน จากนั้นร่างธรรมของเสินซูก็หดลงตาม
เสินซูที่ขาดศีรษะและแขนขวาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
ราชาหมียังคงหลับสนิทและไม่มีใครไปรบกวนมัน
ทำให้เสินซูได้รับผลกระทบจาก ‘คำสาปหลับใหล’ ต่อ ซึ่งเป็นฉันทามติของทุกคน
“ข้าเป็นใคร ข้าเป็นใคร…”
เสียงพึมพำดังมาจากในทรวงอก
‘ยังไม่ฟื้นอีกหรือ?!’
สีหน้าของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ อาซูหลัว จิ้งจอกเก้าหางและสวี่ชีอันอึมขรึมทันที
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสินซูเอ่ยอย่างเจ็บปวด
“ข้านึกออกแล้ว ข้าไม่ใช่ราชันอสูร ข้า ข้าเป็นพระพุทธเจ้า…”
………………………………………