ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 706 ต่างคนต่างเคลื่อนไหว
บทที่ 706 ต่างคนต่างเคลื่อนไหว
เมืองทางใต้
ยามรุ่งอรุณ สวี่ชีอันกำลังนอนอยู่บนเตียงใหญ่นุ่มสบาย ห่มผ้าคลุมขนสัตว์ที่ทอจากใยไหมที่มีเฉพาะทางภาคใต้
เย่จีนอนตะแคงแนบกายเขา ท่าทางเฉื่อยชาอ่อนแรงราวดอกบัวที่เปราะบาง
“หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลาหลายปี จึงเคยชินกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์แล้ว หลังจากกลับซินเจียงตอนใต้แล้ว ก็รู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นหยาบเกินไป ไม่ละเอียดอ่อนมากพอ”
เย่จีทอดถอนใจแล้วพูดว่า “ข้ายังคิดว่าองค์หญิงจะเผาเมืองทางใต้ แล้วสร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจขึ้นมาใหม่เสียอีก”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยังคงรักษาเมืองทั้งยี่สิบเจ็ดเมืองที่คนแดนประจิมทิศเป็นผู้สร้างไว้ เพื่อเป็นฐานที่มั่นของอาณาจักรหมื่นปีศาจ
การตัดสินใจเช่นนี้ความจริงแล้วต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก เพราะไม่ใช่ทุกคนในเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จะสามารถแปลงร่างได้ และไม่ใช่ทุกคนในเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จะชอบใช้ชีวิตในเมืองของมนุษย์
การอยู่ร่วมกันในป่า และใช้ชีวิตอย่างอิสระท่ามกลางธรรมชาติ เป็นชีวิตในอุดมคติของเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมาก
ดังนั้นขณะที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรักษาเมืองทั้งยี่สิบเจ็ดเมืองไว้ ในเวลาเดียวกันก็ยังได้ทำการแบ่งเขตการเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มในเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกพื้นที่ในซินเจียงตอนใต้ไว้ด้วย
เพื่อเป็นหลักประกันว่ากำลังทหารจะเพียงพอ และสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ ทำตามแผนการได้อย่างรวดเร็ว เขตที่แบ่งจึงอยู่ไม่ไกลจากยี่สิบเจ็ดเมือง
อย่างไรก็ตาม เผ่าพันธุ์ปีศาจในเวลานี้ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมือง ประการแรกเป็นเพราะสงครามเพิ่งจะสงบ ประการที่สองเป็นเพราะต้องการกองกำลังปีศาจที่มากพอที่จะควบคุมมนุษย์ในดินแดนประจิมทิศ
“องค์หญิงของพวกเจ้าเป็นผู้หญิงที่มีความรอบคอบมาก ไม่ใช่สิ ต้องเป็นปีศาจสาว การรักษาเมืองไว้ และเลียนแบบระบบของมนุษย์ จะเป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจมากกว่า”
สวี่ชีอันยิ้มแล้วพูด
ภายใต้ผ้าคลุมขนสัตว์ ร่างกายที่ละเอียดเกลี้ยงเกลาอบอุ่นอ่อนนุ่มแนบชิดติดกับตัวเขา เย่จียั่วยวนเขาอย่างดุดัน พร้อมกับพูดอย่างหนักใจว่า
“สิ่งที่องค์หญิงเป็นห่วงก็คือทุกอาณาจักรในดินแดนประจิมทิศไม่ต้องการที่จะจับเชลยศึก จะฆ่าหรือจะไว้ชีวิตคนดินแดนประจิมทิศ จึงเป็นปัญหาหนึ่ง”
ในตอนนั้นที่คนจากดินแดนประจิมทิศมา ‘หักร้างถางพง’ ในซินเจียงตอนใต้ อพยพชาวบ้านนับหมื่นคนมาสร้างเมืองในซินเจียงตอนใต้ ใช้สมุนไพร ไม้ และอาหารป่าเป็นต้นอย่างเต็มที่
ปัจจุบันซึ่งก็คือห้าร้อยปีต่อมา ทั้งยี่สิบเจ็ดเมืองและหมู่บ้านโดยรอบ มีประชากรทั้งหมดถึงหนึ่งล้านคน
ในจำนวนคนเหล่านี้ บางคนเสียชีวิตในไฟสงคราม บางคนหนีกลับไปยังดินแดนประจิมทิศ ส่วนที่มากไปกว่านั้นต้องกลายเป็นเชลยศึก
ทุกอาณาจักรในดินแดนประจิมทิศต้องรองรับคนจำนวนมากขนาดนี้ อันดับแรกการกินถือเป็นปัญหาหนึ่ง อันดับต่อมาคือการจัดสรรบ้านพักอาศัยและที่นาเป็นต้น
ยินดีที่จะรับภาระหรือไม่ นับว่าน่าสงสัยอย่างยิ่ง
“คนที่มองการณ์ไกลเช่นนาง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีแผนการรับมือ” สวี่ชีอันพูดยิ้มๆ
เย่จีวางทำท่าทางเหมือนสาวน้อย พูดประจบเอาใจว่า
“สติปัญญาของสวี่หลางไม่แพ้องค์หญิง”
ถึงอย่างไรเวลาที่อยู่กับฝูเซียงก็สบายใจที่สุด นางรู้ว่าต้องเอาใจข้าอย่างไร ไม่เหมือนราชครู ที่เอาแต่บีบคั้นข้า…สวี่ชีอันพูดด้วยความสะเทือนใจ
ไม่ใช่แค่ราชครูเท่านั้น มู่หนานจือเอย หลินอันเอย หลี่เมี่ยวเจินเอย ฮว๋ายชิ่งเอย เป็นต้น ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเป็นดอกไม้งามที่ล้ำค่าของยุคสมัย มีทั้งคนที่ทำเรื่องเกินเลยเพราะถือว่าตัวเองเป็นคนสวย มีทั้งคนที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก มีทั้งคนที่ชอบผดุงคุณธรรมยิ่งกว่าเขาเสียอีก และมีทั้งคนที่รักการเรียนจนทำให้เขารู้สึกตัวเองต่ำต้อย
นึกถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งมายังภพนี้ แล้วปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ไร้รสชาติแบบมีภรรยาหลายคน สวี่ชีอันก็ได้แต่ทอดถอนใจ
ปะปนเข้ามาในระดับเหนือมนุษย์ ก็ยังห่างไกลจากชีวิตแบบผู้มีอิทธิพล
ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้พูดกันว่าอุดมคตินั้นเป็นสิ่งล้ำค่า เพราะว่าอุดมคติมักจะอยู่ไกลจนไปไม่ถึง
เมื่อเห็นว่าประสบความสำเร็จในการเอาใจคนรัก เย่จีก็ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม แล้วพูดต่อว่า
“องค์หญิงบอกว่า การยึดเขาหมื่นปีศาจคืนเป็นเพียงก้าวแรก ต่อไปเผ่าพันธุ์ปีศาจยังจะตั้งกองกำลังไว้ที่ชายแดน ทำเช่นนี้จึงจะสามารถช่วยที่ราบลุ่มภาคกลางตรึงสำนักพุทธเอาไว้ได้ พอดีเลย คนจากดินแดนประจิมทิศสามารถเป็นทหารอาสาได้ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้หมด จะเลี้ยงพวกเขาไว้โดยไร้ประโยชน์ไม่ได้ และเผ่าพันธุ์ปีศาจใช้ชีวิตตามแต่ใจชอบ ไม่พิถีพิถันเหมือนมนุษย์ ไม่ต้องการทาส มีเพียงชนชั้นสูงของมนุษย์เท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น พิถีพิถันกับขนบธรรมเนียม ข้าทาสบริวาร เพื่อแสดงฐานะของตัวเอง”
หลังจากที่เผ่าพันธุ์ปีศาจยึดภูเขาสือว่านคืนแล้ว หากวางมือเพียงเท่านี้ สำนักพุทธก็จะสามารถส่งกองกำลังมาช่วยเหลือทหารกบฏของอวิ๋นโจวได้
ดังนั้นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและสำนักพุทธยังไม่ยุติ การยึดซินเจียงตอนใต้คืนจึงเป็นเพียงก้าวแรก ต่อไปยังจะต้องตั้งกองกำลังไว้ที่ชายแดน เพื่อแสดงท่าทีว่าพร้อมที่จะเข้ารุกรานดินแดนประจิมทิศทุกเวลา
การทำเช่นนี้จึงจะสามารถทำให้ทุกอาณาจักรระวังตัว ไม่กล้ายกทัพขนาดใหญ่มายังที่ราบลุ่มภาคกลาง
นี่คือการตรึงข้าศึกเอาไว้
สวี่ชีอันพยักหน้า “เป็นวิธีที่ดี”
เขามองกระโจมด้านบนศีรษะ คิดไปคิดมา ก็ส่งกระแสจิตออกไปว่า
“เจ้ากับไป๋จี ชิงจีและองค์หญิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร พวกเจ้าทุกคน ไม่น่าจะเป็นเพียงเผ่าจิ้งจอกธรรมดาๆ”
“คือ …” เย่จีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่งกระแสจิตว่า
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องดูออก พวกเรามีทั้งหมดเก้าพี่น้อง ไป๋จีเป็นน้องคนสุดท้อง และไม่ใช่แค่เผ่าจิ้งจอกธรรมดาๆ จริงๆ แต่สูงส่งกว่าเผ่าจิ้งจอก พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณขององค์หญิง”
สวี่ชีอันตกตะลึง “ส่วนหนึ่งของวิญญาณ?”
“คนมี ‘วิญญาณสวรรค์ วิญญาณนรก วิญญาณมนุษย์’ สามวิญญาณ ความหมายของส่วนหนึ่งของวิญญาณ ถ้าเข้าใจไม่ผิด ก็คือหนึ่งในสามวิญญาณ” เย่จีอธิบาย
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเกิดมาพร้อมกับสิบสองวิญญาณ ยกเว้นสามวิญญาณแล้ว หางทุกอันล้วนมีหนึ่งวิญญาณ เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ วิญญาณเก้าดวงจะหลุดออกจากร่างตามหาง และกลายเป็นสาวใช้เก้าคน”
“ดังนั้นเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจคนก่อน จึงมีผู้อาวุโสข้างกายอย่างน้อยเก้าคน ความจริงแล้วก็คือหางทั้งเก้าหาง
“หางของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมีสรรพคุณมากมาย สามารถสร้างเป็นร่างกาย ดังนั้นสำหรับพวกเราพี่น้องทั้งเก้าคน ขอเพียงวิญญาณไม่ดับสลาย ก็สามารถเปลี่ยนและสร้างร่างใหม่ได้ทุกเวลา”
เอ้อ ที่แท้เมื่อก่อนข้าเคยไล่ศพ ตอนนี้กำลังสมสู่กับศพ…สีหน้าของสวี่ชีอันสับสนมาก
“นางยังมีพรสวรรค์และอภินิหารอะไรอีก?” เขาเฝ้ารอโอกาสที่จะสืบหาความเป็นมาของจิ้งจอกเก้าหาง
พูดตามตรง เย่จีก็เคยพยายามต่อสู้กับตัวเองเช่นกัน เพราะนี่เป็นความลับขององค์หญิง แต่ยามที่ผู้หญิงอยู่บนเตียง การป้องกันทางจิตใจจะอ่อนแอที่สุด และในไม่ช้าก็เห็นคนอื่นดีกว่า โดยเผยความลับเกี่ยวกับพรสวรรค์และอภินิหารของจิ้งจอกเก้าหางให้สวี่ชีอันรู้
เก้าวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในพรสวรรค์และอภินิหาร จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนั้นมีพรสวรรค์และอภินิหารอยู่สามอย่าง ดังต่อไปนี้
ดูดวิญญาณ ความเฉียบแหลม…พรสวรรค์และอภินิหารอย่างสุดท้ายนั้นไม่รู้ อันนี้ต้องรอให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก้าวสู่ขั้นหนึ่งก่อนจึงจะรู้ได้
เมื่อนับรวมแล้ว จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็มีพรสวรรค์และอภินิหารถึงสี่อย่าง สมกับที่เป็น ราชาแห่งปีศาจที่มีหลิงอวิ้น และมีความโดดเด่นกว่าผู้อื่น…ความคิดของสวี่ชีอันเปล่งประกาย นึกถึงวันนั้นที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางใช้เสียงเนิบๆ ทำให้หลุดพ้นจากเสียงสวดมนต์ของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
นั่นน่าจะเป็นการดูดวิญญาณ
จากนั้นเขาก็ถามต่ออีกว่า
“มิน่าเล่าพรสวรรค์และอภินิหารของไป๋จีก็คือ ความเฉียบแหลม แล้วของเจ้าเล่า?”
เย่จียิ้มหวานแล้วกล่าวว่า
“สวี่หลาง ตั้งแต่เราพบกันอีกครั้งในซินเจียงตอนใต้ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า นับวันยิ่งหลงใหลข้ามากขึ้น และนับวันยิ่งไม่อยากจากซินเจียงตอนใต้ไป”
โอ้ ที่แท้เป็นเสน่ห์ของการดูดวิญญาณหรือ เจ้าไม่พูดข้ายังไม่รู้สึกจริงๆ เป็นเพราะมู่หนานจือคนเดียว อยู่กับนางนานๆ ทำให้ข้ามีภูมิคุ้มกันเสน่ห์ธรรมดาๆ แล้ว…
สวี่ชีอันพลิกตัว แขนทั้งสองข้างยันไว้ที่ข้างเอวของเย่จี ก้มหน้าลงมองนาง พูดด้วยสีหน้าหลงใหลแบบให้ความร่วมมือว่า
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าข้าจึงเฝ้าคิดถึงแม่นางฝูเซียงทุกคืนวัน”
เย่จีรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบาน
ทันใดนั้น ผ้าม่านเตียงนอนก็เริ่มโยกเยกเป็นจังหวะ
…
มู่หนานจือกอดไป๋จี เดินทอดน่องอยู่ในลานวัดหนานฝ่า
พื้นดินที่นี่ระเกะระกะ อุโบสถถล่ม พระพุทธรูปล้มลง ลานวัดที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำเต็มไปด้วยรอยแตกและหลุม
สามารถมองเห็นกองกำลังปีศาจมือถืออาวุธได้ในทุกๆ ที่ คอยบงการให้คนของดินแดนประจิมทิศซ่อมแซมหลุมในลานวัด สร้างอุโบสถที่ถล่มลงมาใหม่ เสียงตะคอกและเสียงแส้ดังอยู่ข้างหูตลอดเวลา
มู่หนานจือรู้ว่า การปฏิสังขรณ์วัดหนานฝ่าเป็นคำสั่งของจิ้งจอกเก้าหาง ตามที่ไป๋จีบอก นี่เป็นการทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจได้จดจำความอัปยศ และบำเพ็ญอย่างหนัก
“ผู้อาวุโสไป๋จี”
“คารวะผู้อาวุโสไป๋จี”
กองกำลังปีศาจที่เจอกันระหว่างทาง แสดงการคารวะไป๋จีที่อยู่ในอ้อมแขนของมู่หนานจือด้วยความเคารพนอบน้อม
ไป๋จีใช้เสียงเด็กที่สุภาพอ่อนโยน “อืมๆ” “อ้าๆ” ในการตอบรับคำทักทายของกองกำลังปีศาจ
“ตัวเล็กๆ อย่างเจ้ายังเป็นผู้อาวุโส แล้วข้าจะไม่เป็นราชาแห่งปีศาจหรือ?”
มู่หนานจือลูบหัวของไป๋จี พูดหยอกเย้า
นางมองกองกำลังปีศาจรอบๆ ด้วยความสนใจ พวกเขาบางส่วนมีลักษณะเป็นสัตว์ บางส่วนมีร่างกายเป็นคน แต่ยังคงลักษณะพิเศษของสัตว์บางอย่างไว้ เช่น เขาแกะ กรงเล็บเหยี่ยว เกล็ดปลา เป็นต้น
สำหรับเทพธิดาดอกไม้กลับชาติมาเกิดแล้ว มันน่าสนใจมาก
เดิมทีนางกลัวเผ่าพันธุ์ปีศาจมาก เพราะเมื่อครั้งที่เดินทางไปทางเหนือ ได้ถูกคนเถื่อนไล่ล่าสังหารจนกลายเป็นเรื่องฝังใจ
ต่อมาพบว่า เผ่าพันธุ์ปีศาจเพศชายไม่เคยมองนางตรงๆ เลย
มู่หนานจือไม่สามารถเข้าใจได้ชั่วระยะหนึ่งว่า เป็นเพราะหน้าตาธรรมดาเกินไป หรือว่าแนวคิดเกี่ยวกับความงามของเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่เหมือนกับมนุษย์
จู่ๆ ไป๋จีก็กระซิบว่า
“ข้าอาจจะต้องอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ต่อแล้ว
“องค์หญิงขอให้ข้าคอยติดตามฆ้องเงินสวี่ เพื่อคอยตรวจดูว่าเขาได้ตั้งใจเปิดผนึกแขนขาที่ถูกตัดของเสินซูหรือไม่ แต่เวลานี้องค์หญิงได้ฟื้นฟูอาณาจักรแล้ว แขนพิการของเสินซูประกอบกันอย่างสมบูรณ์แล้ว มือขวาข้างสุดท้ายก็อยู่ในร่างกายของเขา
“ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องติดตามเขาอีกต่อไปแล้ว”
มู่หนานจือยิ้มที่มุมปากน้อยๆ แล้วค่อยๆ จางหายไป
ไป๋จียกศีรษะขึ้น พูดว่า
“ท่านน้า เจ้าไม่สบายใจหรือ?”
มู่หนานจือถอนหายใจ
“ตอนแรกข้าก็เต็มใจที่จะท่องยุทธภพไปกับเขา คิดว่าถึงแม้จะต้องพเนจรไปสุดหล้าฟ้าเขียว โดยมีทุกที่เป็นบ้าน แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเพื่อน ระหว่างการเดินทางจะได้ไม่เหงาจนเกินไป แต่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ ข้าได้ใช้เวลาครึ่งหนึ่งอยู่ในเจดีย์พุทธะ ยังดีที่มีเจ้าอยู่เป็นเพื่อน จึงไม่นับว่าเหงา เจ้าจะต้องอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ต่อ ข้าจะเหงาเพียงใด”
ความเหงาแวบเข้ามาในดวงตาของนาง สีหน้าไม่สบอารมณ์เหมือนสูญเสียอะไรไปบางอย่าง
ขณะที่กำลังพูด ก็มีเสียงใสกังวานดังมาจากด้านหลัง
“ไป๋จี!”
มู่หนานจืออุ้มสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยหันไปมอง ก็เห็นผู้หญิงรูปร่างสูงผอมมีผ้าคลุมหน้า เดินกระโปรงปลิวเข้ามา
“พี่ชิงจี”
ไป๋จีตะโกนเสียงหวาน
ชิงจีโบกมือ ไป๋จีจึงกระโดดออกจากอ้อมแขนของมู่หนานจือ และวิ่งห้อไปทางพี่สาวที่ไม่พบกันนาน
มู่หนานจือขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกอาลัยเล็กน้อย
ชิงจีก้มตัวลงไปอุ้มไป๋จีขึ้นมา ดวงตาสุนัขจิ้งจอกเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย จากนั้นมู่หนานจือก็พยักหน้าเบาๆ และเดินสวนไป
ดวงตาของมู่หนานจือมองตามหลังนางไป คิดจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูด ทันใดนั้นนางก็เห็นศีรษะของไป๋จียื่นออกมาจากไหล่ของผู้หญิงในชุดกระโปรงสีฟ้า และยกกรงเล็บขึ้น โบกไปมา
แต่ถูกผู้หญิงในชุดกระโปรงสีฟ้ากดกลับเข้าไปทันที
มู่หนานจือยิ้ม เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
…
ยอดเขาหมื่นปีศาจ
พี่สาวคนสวยที่มีหูสุนัขจิ้งจอกสีเงินยืนอย่างทะนงตนอยู่ริมหน้าผา พูดว่า
“จากภูเขาสือว่านไปทางตอนใต้สามพันหกร้อยลี้ มีเกาะแห่งหนึ่ง ทุกที่ในเกาะเต็มไปด้วยหนอนไหมหลากสี ข้าตั้งชื่อมันว่าเกาะไหม ทางด้านทิศเหนือของเกาะไหมมีหุบเขาอยู่แห่งหนึ่ง เผ่าไหมอเวจีอาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ อากาศพิษโอบล้อมเกาะหนักมาก อากาศพิษในหุบเขาสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์เป็นอัมพาตได้ ไหมอเวจีชอบกินฆาตกรที่เลือดลมมีพลัง พวกมันจะใช้ไหมสานเป็นตาข่าย จับสัตว์ทะเลในทะเล แต่ว่า เจ้ามีเจ็ดยอดกู่อยู่ข้างกาย ไม่ว่าจะเป็นอากาศพิษก็ดี หรือหนอนไหมหลากสีก็ดี ล้วนคุกคามเจ้าไม่ได้”
มีสติปัญญาสูงส่ง มีพิษที่รุนแรง มีใยไหมที่จัดการยาก…สวี่ชีอันฟังอย่างตั้งใจ
หญิงที่มีเสน่ห์ยั่วยวนยกมือขึ้น แผนที่หนังสัตว์ม้วนหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ
“นี่คือแผนที่ที่ข้าวาดเมื่อคืนนี้”
สวี่ชีอันรับแผนที่มา แต่ไม่ได้กางออกดูทันที แต่กลับถามว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะชุบชีวิตเว่ยกง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเม้มริมฝีปากแดงงดงาม ยิ้มอ่อนหวานแล้วพูดว่า
“ผู้อาวุโสเคราขาวเป็นคนบอก”
ท่านโหราจารย์หรือ…สวี่ชีอันไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีกต่อไปแล้ว ได้แต่พูดอย่างจนใจว่า
“น่าเสียดายที่ไม่ได้จับตู้เอ้อร์หรืออาซูหลัวไว้เป็นเชลยศึก ตะปูตอกวิญญาณของข้าก็ยังอยู่ หลังจากสงครามครั้งนี้ สำนักพุทธกลัวข้ามากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อไหร่จึงจะหาโอกาสถอนตะปูตอกวิญญาณออก”
หลังสงครามเหนือมนุษย์ที่วัดหนานฝ่า ตู้เอ้อร์และคนอื่นๆ ต่างรู้ว่าเขาต้องการถอนตะปูตอกวิญญาณออก จึงระมัดระวังและรอบคอบเป็นพิเศษ สวี่ชีอันไม่สามารถหาโอกาสจับกุมคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้
ไม่ว่าตู้เอ้อร์หรืออาซูหลัว ต่างเป็นขั้นสองที่เหนือกว่าระดับทั่วไป
โจมตีจนถอยร่นนั้นเป็นไปได้ แต่การจับเป็นนั้นยากเกินไป
“ถ้าเช่นนั้นก็รอให้วันข้างหน้าติดตามองค์หญิงไปโจมตีอรัญตาแล้วกัน ถึงเวลานั้น ก็ย่อมมีวิธีที่จะถอนตะปูตอกวิญญาณออกเอง” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางโต้ลม หรี่ตา ผมขาวปลิวว่อน
ความกตัญญูของข้าได้เสื่อมค่าแล้วหรือ…สวี่ชีอันพึมพำ
ตะปูตอกวิญญาณยิ่งสัมผัสเร็ว เขาก็จะยิ่งก้าวสู่ขั้นสองได้เร็วขึ้น ถ่วงเวลาไปแปดปีสิบปี เปิดผนึกตะปูตอกวิญญาณก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจเงียบๆ แล้วพูดว่า
“จริงสิ ข้ายังอยากขอร้องอีกอย่างหนึ่ง!”
…
หลังอาหารกลางวัน สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อย มีมู่หนานจือนั่งอยู่บนหลังม้า ทั้งสองคนเดินไปตามถนนที่กว้างใหญ่ของเมืองทางใต้ มุ่งไปยังประตูเมืองเป่ยที่ยังรักษาไว้อย่างดีเพียงแห่งเดียว
ประตูเมืองอีกสามแห่ง พังถล่มลงมากลายเป็นซากปรักหักพังท่ามกลางไฟสงคราม เวลานี้กำลังสร้างใหม่
ระหว่างทาง ถนนหลายสายและบ้านเรือนก็กำลังซ่อมแซมอยู่ ชาวดินแดนประจิมทิศแต่งกายเรียบง่าย แบกตะกร้าไม้ไผ่ ก้อนหิน และไม้ ทำงานท่ามกลางเสียงตะคอกและเสียงแส้ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“ทำไมพวกเขาไม่หนีไป? ”
มู่หนานจือลูบสุนัขจิ้งจอกสีขาวในอ้อมแขนอย่างลืมตัว แต่กลับพบกับความว่างเปล่า แววตาปรากฏแววอ้างว้าง แต่ซ่อนไว้ได้อย่างดี
“พวกเขาอยู่ในเมืองอย่างมากก็ถูกจับมาใช้เป็นทาส หากออกจากเมือง อาจจะถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจกินในภูเขาสือว่าน”
สวี่ชีอันดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง ยังคงจูงม้า เดินหน้าต่อไป
มู่หนานจือร้อง ‘เฮ้อ’ ขึ้นมา มองทิวทัศน์สองข้างทางอย่างหดหู่ใจ
ทั้งสองมาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว สวี่ชีอันพูดว่า
“เป้าหมายต่อไปของพวกเราคือการออกทะเล ไปสถานที่ที่เรียกว่าเกาะไหม ที่นั่นอันตรายมาก ต้องรบกวนเจ้าเข้าไปอยู่ในเจดีย์พุทธะอีกครั้ง ถือโอกาสช่วยข้าเพาะเลี้ยงหญ้าพิษด้วย”
มู่หนานจือถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง
“สวี่ชีอัน ข้าอยากกลับเมืองหลวงแล้ว”
สวี่ชีอันตะลึง “กลับเมืองหลวง?”
มู่หนานจือไม่กล้ามองหน้าเขา จึงหันหน้าหนี พูดเสียงเบาว่า
“ข้ามักจะคิดเสมอว่า เจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของข้าจริงหรือไม่? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าข้าอยู่ในเจดีย์พุทธะจะรู้สึกเบื่อ และเหงา ข้าไม่ได้อยากอยู่ในเจดีย์ เจ้ารับมือกับศัตรูข้างนอก ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้ และย่อมไม่สามารถสร้างปัญหาได้ ข้าแค่ แค่คิดว่าเจ้าไม่เคยสนใจความคิด และความรู้สึกของข้าเลย…”
พูดๆ ไป ขอบตาของนางก็รื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงไป๋จีพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า
“ท่านน้า ถ้าเช่นนั้นเจ้าพาข้ากลับเมืองหลวงเถิด”
มูหนานจือลูบศีรษะด้วยความเคยชิน ส่งเสียงอืม “พาเจ้ากลับเมืองหลวง…”
ครึ่งหลังของประโยคหยุดชะงักทันที มู่หนานจือก้มหน้าลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองไป๋จีที่อยู่ในอ้อมแขน
“เจ้าตามมาได้อย่างไร” มู่หนานจือทั้งรู้สึกประหลาดใจและดีใจ และหันไปมองข้างครั้งแล้วครั้งเล่า
“องค์หญิงบอกว่าให้ข้าคอยติดตามฆ้องเงินสวี่ต่อไป” ไป๋จีพูดเสียงอ่อนหวาน
จริงๆ แล้วนางไม่สนใจว่าจะติดตามใคร เพราะทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นคนสนิททั้งนั้น
มู่หนานจือแหงานหน้าขึ้นอย่างแรง มองสวี่ชีอัน “เจ้า …”
สวี่ชีอันจูงม้าน้อยเดินไปข้างต่อไป พูดว่า
“รู้ว่าเจ้าเบื่อ มีลูกสัตว์อยู่ข้างๆ น่าจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง”
จากนั้นก็พึมพำอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า
“จริงๆ เลย น้อยใจนิดหนึ่งก็จะกลับบ้าน (เมืองหลวง) ผู้หญิงเอาแต่ใจ”
ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดเสียงเบาว่า
“เมื่อบ้านเมืองสงบสุขแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องระเหเร่ร่อนไปกับข้าแล้ว ขอเวลาข้าอีกสักหน่อย อีกไม่นานหรอก”
มู่หนานจือเบือนหน้าหนีอีกครั้ง ดวงตาเป็นเส้นโค้ง
…
ท้องฟ้าในดินแดนประจิมทิศเป็นสีฟ้าปลอดโปร่ง พื้นดินขรุขระกว่าที่ราบลุ่มภาคกลาง
เหยี่ยวที่ห้าวหาญบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า ในทุ่งหญ้าที่โล่งกว้าง มีวัวและแกะส่งเสียงไพเราะจับใจ ไกลออกไปมียอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน หินสีแดงทับถมซ้อนกันเป็นชั้น
บนยอดเขาอรัญตาถูกปกคลุมด้วยหิมะที่ไม่เคยละลายมาหลายปี ราวกับคนชราที่ผมขาวโพลน นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลของดินแดนประจิมทิศ
ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่ไม่มีการหยุดพัก อาซูหลัวเดินผ่านวิหารและวัดหลังแล้วหลังเล่า เข้าสู่ถนนเส้นเล็กๆ ครู่ต่อมาก็มาถึงสระน้ำลึกที่พ่นอากาศหนาวออกมา
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัว แท่นดอกบัวลอยอยู่บนน้ำ พนมมือ นั่งหลับตา
“พระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพระโพธิสัตว์หลิวหลีกำลังติดต่อพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อยู่ด้วยกัน”
อาซูหลัวผู้คมคายองอาจผึ่งผายพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
สิ่งที่สามที่พระโพธิสัตว์พูดคุยกัน จะต้องเกี่ยวกับเรื่องที่ซินเจียงตอนใต้ถูกตีแตกและแผนยุทธศาสตร์ในภายหน้าของสำนักพุทธอย่างแน่นอน
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ลืมตาขึ้น แล้วพึมพำว่า
“เจ้าไปเจินหมัวเจี้ยน สืบดูว่าโครงกระดูกของราชันอสูรยังอยู่หรือไม่ ส่วนข้าจะไปพบพระพุทธเจ้าที่สุสานภิกษุ”
………………………………….