ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 707 ช่วยด้วย
บทที่ 707 ช่วยด้วย
ที่ใต้ต้นโพธิ์ นอกอุโบสถที่กว้างใหญ่ไพศาลและสูงตระหง่าน
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนในภาพลักษณ์ของภิกษุหนุ่มหยิบบาตรทองคำออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้ด้านหน้าตัวเอง
ตรงข้ามเขา คือพระโพธิสัตว์หลิวหลี สวมชุดขาว เท้าเปล่าขาวดุจหิมะ ผมดำพลิ้วไสว
ยกเว้นริมฝีปากขาดสีเลือดแล้ว พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็ไม่มีส่วนไหนผิดปกติ
ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกระจกสีที่มันวาว มองไปที่กว่างเสียนโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“กำลังของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นอย่างไร”
ภิกษุหนุ่มกล่าวอย่างสงบว่า
“ยังห่างจากขั้นหนึ่งพอสมควร”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีพยักหน้า
“หากไม่ตื่นตัวในอภินิหารนั้น นางก็ไม่สามารถใช้หลิงอวิ๋นของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้ทั้งหมด การคุกคามไม่นับว่ามาก”
ในขณะที่พูด บาตรทองคำก็ส่องลำแสงสีทอง ที่เหนือศีรษะของคนทั้งสองก็ปรากฏร่างที่สูงใหญ่ของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพนมมือ น้ำเสียงสงบ
“ปีศาจทักษิณได้ฟื้นฟูอาณาจักรแล้ว”
…
เจิ้นหมัวเจี้ยนอยู่ทางตอนใต้ของอรัญตา เป็นหุบเขาหนาวเย็นแห่งหนึ่ง สำนักพุทธเจาะถนน ห้องขังไว้บนหน้าผา เอาไว้คุมขังภิกษุที่ผิดศีล มารร้ายที่จู่โจมแดนประจิม และศัตรูต่างชนเผ่าส่วนหนึ่ง
สองหรือสามร้อยปีก่อนหน้านี้ เจิ้นหมัวเจี้ยนคุมขังแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจ
ต่อมา เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นบางส่วนมีอายุยืนยาว ตายตามธรรมชาติ บางส่วนทนความหนาวเย็นและความเหงาไม่ไหว อุปสมบทเข้าสู่สำนักพุทธ เจิ้นหมัวเจี้ยนจึงค่อยๆ เงียบเหงาลง
ยิ่งลงต่ำ แสงก็ยิ่งมืดมัว
‘ตุบ!..’
อาซูหลัวร่อนลงในหุบเขา และมองไปทางทิศตะวันตก
บนหน้าผาที่มืดมิดมีทางเข้าถ้ำสูงสองจั้ง ด้านบนปากทางเข้ามีอักษรแกะสลักไว้สามตัว
เจิ้นหมัวเจี้ยน!
หลังจากที่เข้าไปในถ้ำแล้ว ก็สามารถตรงเข้าไปยังดินแดนของอรัญตา
ตามตำนาน พระพุทธเจ้าทรงปราบปรามราชันอสูรที่เชิงเขา ซึ่งก็คือเจิ้นหมัวเจี้ยนแห่งนี้นี่เอง
ด้านล่างของหุบเขาเป็นสถานที่ต้องห้ามของอรัญตา ภิกษุธรรมดาห้ามเข้าใกล้ สำหรับพระอรหันต์และเทพอารักษ์ หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระโพธิสัตว์ก็เข้าไปไม่ได้เช่นกัน
ตามปกติจะมีพระโพธิสัตว์กว่างเสียนคอยป้องกันอรัญตาไว้ โดยคอยจับจ้องมาจากที่สูง ไม่ว่าก่อนจะร่อนลง หรือหลังจากกลับสู่ตำแหน่งแล้ว อาซูหลัวก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
อาซูหลัวยื่นมือออกไป ยื่นไปทางถ้ำด้วยความระมัดระวัง ดูเหมือนที่นั่นจะมีประตูที่มองไม่เห็นบานหนึ่ง
มือของเขายื่นเข้าไปในถ้ำได้อย่างง่ายดาย คลำพบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีการยับยั้ง…
สายตาที่แหลมคมเป็นประกายภายใต้สันคิ้วที่ยื่นออกมาของอาซูหลัว เขาก้าวเท้าเข้าไปในถ้ำโดยไม่ลังเล
ทางเดินมืดสนิท ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีแสง โครงสร้างของลูกตาได้กำหนดไว้แล้วว่าแม้จะอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ก็ไม่สามารถมองเห็นวัตถุได้
แต่ว่า ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ต้องการที่จะมองเห็นวัตถุ ก็ไม่ใช่จะต้องใช้ดวงตาเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาซูหลัวยังได้บำเพ็ญถึงขั้นดวงตาสวรรค์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุใด ด้วยสัญชาตญาณผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ เขาไม่ได้ใช้ทั้งดวงตาสวรรค์ และไม่ได้ใช้พลังของจิตเดิมในการสำรวจบริเวณโดยรอบ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลางสังหรณ์เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ที่มีเฉพาะในชาวยุทธจักรเท่านั้นไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เดินไปตามเส้นทางที่มืดมิดต่อไป อาซูหลัวไม่กลัวชนผนังแม้แต่น้อย เพราะแม้แต่อาวุธวิเศษยังยากที่จะทำลายร่างกายของเขา
หลังจากที่เดินแบบนี้เป็นเวลาหนึ่งเค่อ อาซูหลัวจึงหยุดเดิน
“เฮ้อ เฮ้อๆ…”
ข้างหน้า ลึกเข้าไปในทางเดิน มีเสียงหายใจเป็นจังหวะดังออกมา
อาซูหลัวมาตามหาโครงกระดูกของราชันอสูร แต่เขาคาดไม่ถึงว่าจะพบกับเหตุการณ์เช่นนี้
ตอนนั้นในเจิ้นหมัวเจี้ยนที่ปราบราชันอสูร มีคนกำลังนอนหลับสนิทอยู่?
สายลมที่หนาวเย็นพัดร่างกาย อาซูหลัวรู้สึกเย็นทั่วร่างกาย เป็นความหนาวเย็นจากวิญญาณ
แต่ว่า ลางสังหรณ์เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ของชาวยุทธจักร ยังคงไม่มีการเตือนล่วงหน้า
…
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลัง นั่งขัดสมาธิพนมมือ ได้ยินว่าปีศาจทักษิณสร้างอาณาจักร ภิกษุนักรบจากแดนประจิมถอนตัวออกจากซินเจียงตอนใต้ ใบหน้าที่สุขุมและเคร่งขรึมของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่พูดช้าๆ ว่า
“แม้แต่เจ้าก็ยังไม่ได้สกัดพวกเขา”
สำหรับเรื่องนี้ พระโพธิสัตว์กว่างเสียนตอบด้วยน้ำเสียงสงบว่า
“อาตมาไม่ใช่โหรระดับหนึ่ง”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยังคงอยู่ในท่าพนมมือ เปลี่ยนเป็นฝ่ายถามว่า
“สถานการณ์ของอาซูหลัวเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากกลับสู่ตำแหน่งแล้ว พุทธจิตบริสุทธิ์หรือไม่”
เขาหมายถึงอาซูหลัวไม่สามารถป้องกันเศษแขนของเสินซูไว้ได้ ปล่อยให้เผ่าพันธุ์ปีศาจชิงกลับไป นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ซินเจียงตอนใต้ถูกข้าศึกตีแตกในวันนี้
พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็ละสายตา มองไปที่พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเช่นกัน
ภิกษุหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า
“พุทธจิตบริสุทธิ์!”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าเบาๆ
พระโพธิสัตว์หลิวหลีนั้นถอนสายตา
“หลิวหลี อาการบาดเจ็บของเจ้าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะสามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิม” เจียหลัวซู่หลุบตา มองไปที่พระโพธิสัตว์หญิงที่ผมดำสลวย
“โหราจารย์ทำร้ายรากฐานของข้า ในระยะเวลาสั้นๆ อาการบาดเจ็บยากที่จะหายได้ ใช้วิธีให้ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า” พระโพธิสัตว์หลิวหลีส่ายหน้าเล็กน้อย
เจียหลัวซู่สะเทือนใจเล็กน้อย
“โหราจารย์ในเวลานั้น พลังยังอยู่ในมาตรฐาน ตัวเขาเวลานี้ คิดจะทำลายรากฐานของเจ้า ค่อนข้างจะลำบาก”
เมื่อเขาพูดจบ พระโพธิสัตว์กว่างเสียนจึงถามอย่างไม่ช้าไม่เร็วเกินไปว่า
“สงครามในชิงโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจียหลัวซู่ส่ายหน้า
“ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพระโพธิสัตว์หลิวหลีได้ยินดังนั้น ก็พึมพำเบาๆ ว่า
“มันไม่ควรเป็นเช่นนี้”
ฝ่ายหลังพูดเสริมด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า
“ด้วยกำลังการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมของอวิ๋นโจว เวลานี้คงยึดเมืองชิงโจวได้แล้ว เผ่าพันธุ์กู่มีจำนวนน้อยเกินไป ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์โดยทั่วไปได้”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่ได้ตอบ แต่กล่าวว่าเบาๆ ว่า
“พวกเรารอข่าวอยู่ที่อรัญตาก็แล้วกัน เพื่อป้องกันเผ่าพันธุ์ปีศาจโจมตีอรัญตา และแย่งชิงศีรษะของเสินซูไป”
…
สถานที่ที่พระพุทธเจ้านอน อยู่ในสุสานภิกษุในภาคตะวันตกของอรัญตา
ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามของเหล่าภิกษุของสำนักพุทธ ตั้งแต่เหล่าภิกษุธรรมดาทั่วไปจนถึงพระโพธิสัตว์ระดับหนึ่ง หากไม่ได้เรียกให้เข้าพบ ก็ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด
กำแพงล้อมรอบสีแดงเหมือนงูเหลือมยักษ์ที่ลดเลี้ยวอยู่บนหมู่เขาที่สลับซับซ้อนกัน เป็นชั้นๆ ดันกระเบื้องไว้
ด้านนอกสุสานภิกษุ แสงสีทองสว่างขึ้น ปรากฏเป็นรูปร่างของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือ โค้งคำนับอยู่ด้านนอกสุสานภิกษุ พูดเสียงต่ำว่า
“ศิษย์ตู้เอ้อร์ คารวะพระพุทธเจ้า”
สุสานภิกษุเงียบสงบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิต
“ศิษย์ตู้เอ้อร์ คารวะพระพุทธเจ้า”
ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นเคย
มีเวลาจำกัด ตู้เอ้อร์ไม่มีเวลาลังเล ก้าวเท้าขวาที่สวมรองเท้าอรหันต์ออกไป
ที่เรียกกันว่าสุสานภิกษุ เป็นสุสานของเหล่าภิกษุตั้งแต่พระโพธิสัตว์จนถึงสามเณร หลังจากมรณภาพแล้วล้วนเข้ามาสู่สุสานภิกษุแห่งนี้ได้
และนี่ก็เป็นเพียงโอกาสเดียวของพวกเขาที่จะเข้าไปในสุสานภิกษุแห่งนี้ได้
ตู้เอ้อร์เดินไปตลอดทาง เจดีย์ตั้งตระหง่าน กำแพงสลับสีสัน ใบไม้ร่วงหล่นมากมาย
เขาค้นหารูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊ออย่างมีเป้าหมาย
ตามความเห็นของสวี่ชีอัน ถ้ารูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อยังอยู่ พระพุทธเจ้าก็จะไม่หลุดพ้นการปิดผนึก
แต่หากรูปปั้นถูกทำลาย ถ้าเช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็จะหลุดพ้น
ตู้เอ้อร์ไม่ได้สงสัยความเป็นจริงที่ที่สวี่ชีอันพูด เพราะในเรื่องนี้ พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันคือ คลี่คลาย “ปริศนาชีวิต” ของเสินซู
สวี่ชีอันไม่มีความจำเป็นต้องโกหกหรือโน้มนำไปในทางที่ผิด การทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์
สุสานภิกษุใหญ่มาก กินพื้นที่ยอดเขาทั้งลูก เป้าหมายของตู้เอ้อร์ชัดเจนมาก ตรงไปยังส่วนลึกของสุสานภิกษุ ที่นั่นมีต้นไม้โพธิ์อยู่ต้นหนึ่ง
ตามตำนาน พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้บนภูเขาอรัญตา ในวันที่ทรงตรัสรู้ ได้ทำให้สวรรค์เกิดความอิจฉา จึงบันดาลให้ฝนเทกระหน่ำและฟ้าผ่าลงมา
ในเวลานี้ มีต้นโพธิ์ต้นหนึ่งเติบโตขึ้นที่ด้านหลังพระพุทธเจ้า คอยปกป้องพระองค์จากลมและฝน และป้องพระองค์จากฟ้าร้องและฟ้าผ่า
หลังจากนั้นไม่นาน ตู้เอ้อร์ก็มาถึงส่วนลึกของสุสานภิกษุ และเห็นต้นโพธิ์ต้นนั้น
ต้นโพธิ์ที่สูงใหญ่และงอกงามยืนต้นอยู่ในส่วนลึกเข้าไปในสุสานภิกษุ ลำต้นใหญ่และแข็งแรง มีไม้เลื้อยขนาดเท่าแขนลู่ลงมา ทั้งมากและถี่จนแทบจะปกคลุมลำต้น
ต้นโพธิ์ไม่สูง แต่มันแผ่กิ่งก้านออกไปทั่วทุกทิศทาง งอกงามเหมือนศาลาขนาดใหญ่
รูม่านตาของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์หดตัวครู่หนึ่ง
ใต้ร่มเงาของต้นไม้ มีกองหินป่นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศอย่างรุนแรง เมื่อแยกแยะอย่างละเอียด ก็จะเห็นหินแกะสลักที่แตกละเอียด
รูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อถูกทำลายแล้ว พระพุทธเจ้าทรงหลุดพ้นแล้ว…พระอรหันต์ตู้เอ้อร์มองกองหินแกะสลักกองนั้น ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
จู่ๆ เสียงที่สงบ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
“ตู้เอ้อร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไป คงอดไม่ได้ที่หัวใจจะเต้นเร็ว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
แต่ตู้เอ้อร์เป็นพระอรหันต์ระดับสอง ที่มีทักษะฝึกจิตอย่างลึกซึ้ง จึงหันตัวอย่างช้าๆ มองไปที่พระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่ห่างออกไปสามจ้าง แล้วพูดช้าๆ ว่า
“เสินซูทำลายตราผนึกแล้ว ปรากฏตัวในโลกมนุษย์อีกครั้ง ปีศาจทักษิณยึดภูเขาสือว่านคืน และประกาศการฟื้นฟูอาณาจักร เป็นเรื่องสำคัญมาก อาตมาคิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ควรนอนหลับอีกต่อไป”
ตู้เอ้อร์เป็นพระอรหันต์ระดับสอง และเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พูดตามทฤษฎีแล้วสถานะของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าพระโพธิสัตว์กว่างเสียนเลย
เขามีคุณสมบัติที่จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยตรงได้
เพียงแต่สำนักพุทธนั้นเคารพกันตามการบรรลุผลของการปฏิบัติ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างพระอรหันต์กับพระโพธิสัตว์แล้ว จะต่างกันหนึ่งระดับ ดังนั้นตามปกติสถานะของพระโพธิสัตว์จึงสูงยิ่งกว่า
“พระพุทธเจ้าได้ตัดไฟแห่งกรรมในโลกมนุษย์แล้ว เมื่อถึงเวลาที่ควรจะตื่น ก็ย่อมตื่นเอง เมื่อถึงเวลาที่ควรพบเจ้า ก็ย่อมพบเจ้าเอง”
น้ำเสียงของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนสงบ พูดว่า
“หากไม่ต้องการพบ แม้เจ้าจะขึ้นสวรรค์และดำดินตามหา ก็ไม่มีวันได้พบพระองค์”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือ ก้มหน้าพูดว่า
“อาตมาใจร้อนไปเอง”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพยักหน้า
“ไปเถิด อย่าได้มารบกวนพระพุทธเจ้าอีก”
ตู้เอ้อร์ไม่ได้พูดอะไรอีก ก้าวเท้าเดินจากไป
ในขณะที่เขาเดินสวนกับพระโพธิสัตว์กว่างเสียน ก็ได้ยินเสียงกระซิบที่เบาและแปลกดังมาจากด้านหลัง
“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย…”
………………………………………..