ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 708 หยั่งเสียง (1)
บทที่ 708 หยั่งเสียง (1)
เสียงร้องขอความช่วยเหลือประหนึ่งก้อนหินที่โยนลงบ่อน้ำและสร้างระลอกคลื่นไปบนผืนน้ำอันนิ่งสงบ
จิตใจของตู้เอ้อร์ก็คือบ่อน้ำนั้นเอง
เขาชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมาทีละนิดอย่างช้าๆ มองไปยังพระโพธิสัตว์กว่างเสียนซึ่งอยู่ด้านหลัง และมองไปยังต้นโพธิ์ต้นนั้น
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนหรี่ตา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ยังมีสิ่งใดอีกหรือ”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนตอบทุกคำถามอย่างไม่โกหกปิดบัง มิสู้ถือโอกาสสารภาพกับเขาตอนนี้ แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธเจ้ากันแน่ เขาจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน… ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์
ฉะนั้นจึงยากที่จะหักห้ามการกระหายในความจริง เขาพนมมือทั้งคู่สวดพระนามพระพุทธเจ้า ก่อนจับจ้องพระโพธิสัตว์กว่างเสียนแล้วเอ่ยว่า
“พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนกรานปฏิเสธที่จะรับนิกายมหายาน พวกเราได้แต่ต้องขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้าแล้ว ประจวบเหมาะกับที่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่อยู่อรัญตา…”
ตู้เอ้อร์หยุดแต่พอเหมาะ ไม่ได้พูดต่อ
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนมองเขาสองสามอึดใจด้วยสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยเนิบๆ ว่า
“ยามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการวางแผนระยะยาวของสำนักพุทธ อรัญตาควรจะร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่ง”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือพลางก้มศีรษะ
“อามิตาภพุทธ เป็นอาตมาที่บังเกิดโทสะเมื่อไม่สมประสงค์”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไปด้วยจังหวะก้าวเนิ่นช้าพร้อมกับชายจีวรโบกสะบัด มุ่งหน้าไปยังอาราม
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนสายตากลับและมองไปยังก้อนหินที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ก่อนหยุดครู่หนึ่งแล้วมองไปยังต้นโพธิ์ต้นหนาและขดพันเป็นเกลียวกระหวัด
…
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เดินออกจากอารามด้วยฝีเท้ามั่นคงไปยังริมหน้าผา เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดจีวรของเขาโบกสะบัดอย่างรุนแรง และราวกับจะแช่แข็งจิตวิญญาณของเขาเช่นกัน
เขาเป็นพระอรหันต์ผู้บรรลุแล้ว มีจิตผ่องใสไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์โกรธ เศร้า ยินดี ยินร้ายต่างๆ นานแล้ว แน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นก็มิอาจทำให้เขาเสียสมาธิได้
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วร่างกายก็เปลี่ยนเป็นแสงสีทองก่อนจะเร้นหนีไป
ครู่ต่อมา เขาก็พลันปรากฏตัวที่สระน้ำเย็นพร้อมนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัว
“อมิตตาพุทธ…”
ตู้เอ้อร์พนมมือสวดพระนามของพระพุทธเจ้าด้วยเสียงต่ำ จากนั้นผิวกายจึงเปล่งแสงสีทองจางๆ
เขาเข้าสู่สภาวะนั่งฌานแล้ว
วิชาฉานของสำนักพุทธสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้ ทั้งยังสงบปีศาจในใจได้ในฉับพลันอีกด้วย
เวลาครึ่งก้านธูปต่อมา ตู้เอ้อร์จึงลืมตาขึ้นพร้อมออกจากสภาวะนั่งฌาน สายตาของเขาสงบ สีหน้าราบเรียบ ไร้ความผิดปกติใดๆ
เวลานี้เอง เสียงฝีเท้าอันมั่นคงก็ดังมาจากด้านนอกทางเดินเล็กๆ ร่างสูงใหญ่กำยำของอาซูหลัวผ่านต้นไม้เขียวมาปรากฏตัวที่ริมสระน้ำ
เมื่อสายตาสบกัน ทั้งสองคนต่างไม่เอ่ยวาจา ตู้เอ้อร์หยิบขันทองออกจากแขนเสื้อแล้วคว่ำลงตรงหน้าเขาอย่างเบามือ
ในชั่วพริบตา สระน้ำก็ถูกแผ่คลุมด้วยสิ่งกำบังเสมือนฉากกั้นที่มีรูปร่างคล้ายขันคว่ำ
ตอนนี้เอง อาซูหลัวจึงเอ่ยปากเสียงเข้มว่า
“ข้าได้ยินเสียงหายใจในเจินหมัวเจี้ยน ข้าคิดจะพยายามเข้าใกล้ ทว่าลางสังหรณ์ในอันตรายของจอมยุทธ์ไม่ได้แจ้งเตือน
“ซึ่งนี่ผิดวิสัยยิ่งนัก จึงได้ถอยกลับมา”
ด้วยฐานะพระโพธิสัตว์ผู้มีกำลังต่อสู้อันดับหนึ่ง แน่นอนว่าอาซูหลัวมิใช่คนมุทะลุ การทดลองหยั่งเชิงก้าวแรกในวันนี้จึงหยุดเพียงเท่านี้
อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูง บรรดาศักดิ์ชั้นสูงน่ากลัวเพียงใดนั้น อาซูหลัวไม่ทราบ แต่เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูงแล้ว เกรงว่าตนจะแข็งแกร่งกว่ามดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รอเขาพูดจบแล้ว ตู้เอ้อร์จึงเอ่ยด้วยสำเนียงเนิ่นช้าว่า
“ใต้ต้นโพธิ์บริเวณส่วนลึกของอาราม มีรูปสลักของนักบุญขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง ทว่าพังทลายไปนานแล้ว”
อาซูหลัวนึกถึงคำพูดที่สวี่ชีอันเคยวิเคราะห์ไว้ว่า หากรูปสลักยังอยู่ แสดงว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ในสถานะกึ่งปิดผนึก ตอนนั้นผู้ที่ผลักดันให้กวาดล้างปีศาจหกสิบปีและปิดผนึกเสินซูก็เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูงลึกลับผู้หนึ่ง
หากรูปสลักแตกแล้ว แสดงว่าพระพุทธเจ้าได้อาศัยหยิบยืมโชคชะตาของอาณาจักรหมื่นปีศาจเพื่อหลุดพ้นจากการปิดผนึกของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ แต่เนื่องจากต้องการปิดผนึกเสินซู พระองค์จึงเลือกที่จะหลับใหล
“นั่นคือความเป็นไปได้ประการที่สอง พระพุทธเจ้าและเสินซูคือคนคนเดียวกัน พระพุทธเจ้าหลุดพ้นนานแล้ว หรือบางที ผู้ที่อยู่ในเจี้ยนหมัวเจี้ยนก็อาจเป็นเขา” น้ำเสียงของอาซูหลัวสงบราบเรียบ ไร้ซึ่งความประหลาดใจ
อย่างไรเสียวันนั้นสวี่ชีอันก็วิเคราะห์ได้ชัดแจ้งนัก ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร อาซูหลัวก็เตรียมใจเต็มที่
เวลานั้นเอง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็ส่ายหัวเบาๆ
“ข้ายังไม่ทันตรวจสอบ พระโพธิสัตว์กว่างเสียนก็มาถึงแล้ว ขณะที่ข้าหันหลังจากไป ก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือมาจากด้านหลัง”
อาซูหลัวไม่มีคิ้ว กระนั้นกระดูกโหนกคิ้วที่นูนออกมาก็ยังขยับอย่างรุนแรง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเน้นหนักว่า
“เสียงร้องขอความช่วยเหลือรึ”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พยักหน้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเป็นไปได้อย่างที่สองของสวี่ชีอันจึงไม่น่าเชื่อถือนัก
ทั้งสองพลันจมสู่ความเงียบงัน ความเย็นยะเยือกแล่นขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง อาซูหลัวจึงเอ่ยช้าๆ ว่า
“กว่างเสียนมีปัญหา”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พยักหน้า “เขาเฝ้าอารามอย่างเคร่งครัดยิ่งนัก ความจริงแล้ว เหล่าพระโพธิสัตว์กว่าครึ่งล้วนมีปัญหา อย่างน้อยๆ เหล่าพระโพธิสัตว์ก็รู้ความลับบางอย่าง เช่นเรื่องที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ปิดผนึกพระพุทธเจ้า”
บัดนี้เมื่อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่สวี่ชีอันเอ่ยเป็นความจริง แสดงว่าเหล่าพระโพธิสัตว์จะต้องรู้เรื่องนี้ แต่กลับเลือกที่จะปิดบัง กระทั่งเขาซึ่งเป็นพระอรหันต์ขั้นสองยังไม่รู้เรื่องนี้เลย
อาซูหลัวมองสระน้ำพลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า
“สืบให้ชัดเจนว่าผู้ที่ร้องขอความช่วยเหลือคือใคร และผู้ที่หลับใหลเป็นใคร จึงจะไขความจริงให้กระจ่างได้ แต่นี่ก็อันตรายเกินไปสำหรับพวกเรา”
แววตาตู้เอ้อร์เป็นประกายวูบหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า
“ความหมายของท่านคือ…”
อาซูหลัวสารภาพว่า
“สามารถใช้ประโยชน์จากปีศาจทักษิณ หากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางต้องการต่อต้านสำนักพุทธ จะต้องกลับมายึดศีรษะของเสินซูคืนอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะเป็นโอกาสของพวกเรา”
ภายใต้สถานการณ์ปกติซึ่งมีกว่างเสียนนั่งรักษาการณ์อรัญตา พวกเขาย่อมไม่มีทางตรวจสอบสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน
ตู้เอ้อร์ถอนหายใจทีหนึ่ง
“ระยะนี้มิอาจเคลื่อนไหวอะไรได้ พระโพธิสัตว์กว่างเสียนน่าจะเริ่มสงสัยในตัวข้าแล้ว”
…
ชิงโจว
ในกระโจมทหาร เมื่อสวี่ผิงเฟิงเห็นร่างของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพระโพธิสัตว์หลิวหลีอันตรธานไป พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่จึงเก็บขันทอง
เขายกถ้วยขึ้นซดชาท้องถิ่นซึ่งมีรสฝาดเล็กน้อยอึกหนึ่ง
“การฟื้นฟูอาณาจักรของปีศาจทักษิณเป็นหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่พอจะบันทึกลงในประวัติศาสตร์ได้จริงๆ”
เขาซึ่งสวมชุดขาวราวหิมะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลประหนึ่งสนทนากับสหายเก่า “เหตุใดพระโพธิสัตว์กว่างเสียนไม่มุ่งหน้าไปซินเจียงตอนใต้ด้วยตัวเองเล่า แม้จะบอกว่าเป็นการป้องกันมิให้จิ้งจอกเก้าหางฉวยโอกาสโจมตีอรัญตา ทว่าเรื่องนี้จัดการง่ายนัก”
เขาวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า
“ก่อนอื่นเลยข้าต้องส่งอาวุธเวทมนตร์กี่ชิ้นจึงจะสำเร็จ ทั้งที่มีวิธีรับมือแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงไม่ใช้เล่า มิใช่ว่ากว่างเสียนอกจากอรัญตาแล้วรึ”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พนมมือนั่งขัดสมาธิพร้อมหลับตาเงียบ
สวี่ผิงเฟิงถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า
“ท่านได้ทำเรื่องสำคัญที่จะจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ก็จริงอยู่ แต่ว่านะ แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ท้ายที่สุดแล้วตำราประวัติศาสตร์จะเขียนอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคนรุ่นหลังมีท่าทีอย่างไรด้วย
“หากชื่อเสียงของท่านดีเกินไป จะไม่แสดงว่าท่านได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงไว้ใช่ไหม”
…
สำนักอวิ๋นลู่
เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วยืนอยู่ขอบหน้าผา มือไพล่หลังพลางมองไปทางทิศใต้แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า
“ฤดูเหมันต์ปีหย่งซิ่งที่หนึ่ง ปีศาจทักษิณฟื้นคืน ร่วมมือทางความมั่นคง ขับไล่สำนักพุทธ และสร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจขึ้นอีกครั้ง”
โต๊ะยาวด้านหลังปรากฏขึ้นกลางอากาศ กระดาษถูกกางออก พู่กันกระโดดลงแท่นฝนหมึกและแตะน้ำหมึกด้วยตนเอง ก่อน ‘ถูไถ’ เขียนลงบนกระดาษ
น้ำหมึกแห้งสนิทในพริบตา
“คนละหนึ่งชุด!” เมื่อจ้าวโส่วโบกมือ แผ่นกระดาษและโต๊ะยาวก็หายไป
ในสำนักศึกษา เสียงอ่านตำราดังกึกก้อง ในห้องเรียนแต่ละห้อง อาจารย์และศิษย์แต่ละคนต่างได้รับตัวอักษรศิลป์อันล้ำค่าของจ้าวโส่วกันโดยพร้อมเพรียง
เสียงของจ้าวโส่วสะท้อนก้องอยู่ข้างหู
“ใช้เนื้อหาในกระดาษเป็นหัวข้อ แต่ละคนเขียนวิทยานิพนธ์หนึ่งแผ่น โดยนักเรียนส่งให้อาจารย์ที่เกี่ยวข้องตรวจทาน ส่วนอาจารย์ส่งให้ข้าตรวจสอบ”
เรื่องสำคัญใดกันถึงทำให้จ้าวสำนักตั้งประเด็นด้วยตนเองเพื่อสอบปัญญาชนทั้งสำนักศึกษา… ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรืออาจารย์ต่างหยิบและคลี่เนื้อหาในกระดาษด้วยความตื่นตระหนกระคนประหลาดใจ
เมื่อเพ่งมอง ทุกคนในที่นั้นก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
ปีศาจทักษิณพลิกฟื้นอาณาจักรแล้ว สงครามกวาดล้างปีศาจที่บันทึกในตำราประวัติศาสตร์นั่นได้ย้อนกลับมาเกิดขึ้นในวันนี้เวลานี้
อาณาจักรหมื่นปีศาจซึ่งสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ได้กลับมาจิ่วโจวอีกครั้ง
เวลานี้ บรรดาศิษย์และอาจารย์ทุกคนต่างเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อ พร้อมกับความรู้สึกของการได้ร่วมเป็นสักขีพยานในประวัติศาสตร์
ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เข้าใจเจตจำนงของเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาคุ้นเคยกับตำราประวัติศาสตร์ และเคยอ่านตำราความเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของสำนักพุทธของเหล่าบรรพชนและนักปราชญ์รุ่นก่อนหลังจากอาณาจักรหมื่นปีศาจถูกทำลายเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว รวมถึงวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ต่อโครงสร้างของแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว
อาทิ การกระทำของสำนักพุทธในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี เพื่อวางรากฐานเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการปกครองแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว
อาทิ หลังการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี เผ่าพันธุ์ปีศาจได้สูญเสียถิ่นที่อยู่และเร่ร่อนไปทั่ว เพื่อที่จะแย่งชิงดินแดนจึงมีความขัดแย้งรุนแรงกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่บ่อยครั้ง การกระทำของสำนักพุทธครั้งนี้จึงเป็นการทำร้ายชาวบ้านธรรมดาสามัญ
อาทิ…
บัดนี้ เมื่อปีศาจทักษิณฟื้นฟูอาณาจักรแล้ว การที่เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วให้พวกเขาเขียนบทความเพื่อประเมินเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องยากแก่การเข้าใจ
“การปรากฏตัวอีกครั้งของอาณาจักรหมื่นปีศาจ แสดงชัดว่าการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องการจะรวมจิ่วโจวเป็นหนึ่งนั้น หนทางยังอีกยาวไกล” ใครบางคนเอ่ยกึ่งใคร่ครวญกึ่งออกความเห็น
“แต่ไรมาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยรวมจิ่วโจวเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง คนเถื่อนทางเหนือก็มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทว่า ปีศาจทักษิณก่อตั้งอาณาจักรในเวลานี้ เพียงเพื่อเหนี่ยวรั้งสำนักพุทธให้ต้าฟ่ง…”
เนื่องจากเรื่องพันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจกับต้าฟ่ง ยากนักที่จะได้เห็นปัญญาชนแห่งสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ละทิ้ง ‘ความแตกต่างของเผ่าพันธุ์’ และมีความรู้สึกที่ดีเล็กน้อยต่อปีศาจทักษิณ
“ช้าก่อน อะไรคือ ‘ร่วมมือทางความมั่นคง’ เหตุใดท่านเจ้าสำนักไม่ได้ให้คำอธิบายเล่า”
“ข้าจำได้ว่า อืม พันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและต้าฟ่ง ได้ฆ้องเงินสวี่เป็นคนประสานให้สำเร็จ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์หยุดลงชั่วขณะ บรรดาศิษย์มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้นจึงพลันตระหนักในใจ
เป็นฆ้องเงินสวี่ที่ช่วยปีศาจทักษิณก่อตั้งอาณาจักรสินะ…
“เข้าใจแล้ว!” ศิษย์คนหนึ่งหยิบพู่กันแล้วรีบเขียนลงบนกระดาษเซวียนจื่อว่า
“ฤดูเหมันต์ปีหย่งซิ่งที่หนึ่ง สำนักพุทธฉีกพันธสัญญาแล้วหันไปช่วยกบฏอวิ๋นโจว ทำให้ที่ราบลุ่มตอนกลางตกสู่สถานการณ์คับขัน ฆ้องเงินสวี่เร่งไปยังซินเจียงตอนใต้และนำกลุ่มปีศาจต่อสู้กับสำนักพุทธ ขับไล่ชาวประจิมทิศออกจากภูเขาสือว่าน การเคลื่อนไหวนี้มีความสำคัญยิ่งในการตรึงกำลังสำนักพุทธและบรรเทาภัยทางทหารในที่ราบลุ่มตอนกลาง…”
ในห้องเรียนเงียบลงทันใด เหล่านักเรียนกางกระดาษจรดพู่กันอย่างขะมักเขม้น อาจารย์ผู้สอนเองก็นั่งบนเสื่อและจดจ่อกับการเขียนอยู่หน้าโต๊ะยาว
………………………………………………….
งดพรุ่งนี้วันนึงนะคะคนอัพไปเที่ยว