ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 709 กลุ่มสนทนาพรรคฟ้าดิน
บทที่ 709 กลุ่มสนทนาพรรคฟ้าดิน
สัตว์ประหลาดอาชาเทพหิมะขาวปรากฏขึ้นกลางทะเลเมฆา แล้วก้าวเท้าเดินไปยังภูเขาเซียนซาน
มันดูราวกับเป็นสัตว์เทพแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่กำลังเยื้องย่างลงสู่แดนดินทีละก้าวๆ
เมฆหมอกสีขาวลอยขึ้นจากใต้กีบเท้าและคอยพยุงให้มันก้าวลงบนความว่างเปล่า
‘หวึ่ง!’
ทันใดนั้นอากาศก็พลันสั่นสะเทือน คลื่นซัดโหมขึ้นมาเหนือผิวน้ำ จากนั้นระลอกคลื่นก็แผ่กระจายลงด้านล่างแล้วก่อตัวเป็นปราการรูปทรงชามหนึ่งใบ ก่อนจะเข้าครอบคลุมภูเขาเซียนซานที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไว้ภายใน
“ค่ายกลพิทักษ์สิงขร…” ไป๋ตี้รู้ว่าตนมีสถานะสูงส่ง จึงไปกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์สิงขรของนิกายสวรรค์ขึ้นมา
ตอนนี้เอง ค่ายกลก็แยกออกเป็นช่องว่าง จากนั้นเสียงอันเฉื่อยชาไม่แยแสก็ดังขึ้นพร้อมกัน
“ผู้มาจากแดนไกลล้วนเป็นแขก เชิญสหายเต๋า”
ศีรษะที่มีเขางอกขึ้นมาผงกเบาๆ ไป๋ตี้ก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศ
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง มันก็มาอยู่ที่วังเซียนอันสูงตระหง่านบนยอดเขาเซียนซานแล้ว
เสาต้นหนารองรับหลังคาทรงโค้งที่สูงถึงร้อยจั้ง ตัวเสาสลักด้วยลวดลายต่างๆ เช่น เมฆา เปลวเพลิง และวายุ ลักษณะโดยรวมคือความโอ่อ่าตระการตา ปะปนมากับความเยือกเย็นและอ้างว้าง
เพราะวังเซียนนั้นว่างเปล่า ไม่มีของตกแต่งใดๆ อยู่
ที่ปลายสุดของต้นเสา บนฐานอันสูงใหญ่นั้นมีแท่นดอกบัวส่องแสงเก้าสีเปล่งประกายอยู่ กลีบดอกบัวหมุนวนช้าๆ บนนั้นมีนักพรตชราผู้มีผมและเคราสีขาวตนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
เขาหลับตาและก้มศีรษะลงเล็กน้อย ราวกับกำลังงีบหลับ
นักพรตชรามีบุคลิกและลักษณะภายนอกดูธรรมดาสามัญ แต่ในสายตาของไป๋ตี้ นักพรตชรานั้นสถิตอยู่ระหว่างความเป็นจริงและภาพลวงตา ราวกับเป็นเพียงภาพฉายจากประวัติศาสตร์เท่านั้น
“เจ้าเรียกข้าว่าไป๋ตี้ได้ ประชาชนในอวิ๋นโจวล้วนแต่เรียกข้าเช่นนี้”
ไป๋ตี้เอ่ยภาษามนุษย์ออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“มายังนิกายสวรรค์ด้วยเหตุอันใด”
องค์เทพไร้ซึ่งพิธีรีตอง เขาพูดจาตรงเข้าประเด็นทันที มิได้อารมณ์แปรปรวนเนื่องด้วยผู้มาเยือนเป็นสายเลือดเทพมารแต่อย่างใด
ไป๋ตี้ยืนอยู่กลางห้องโถงและมองไปยังองค์เทพ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ปรมาจารย์เต๋าในปีนั้นได้ขับไล่สายเลือดเทพมารออกไปจากดินแดนจิ่วโจว เจ้าคงรู้เรื่องนี้”
“มิได้สนใจ” องค์เทพตอบกลับดังนี้
ไป๋ตี้ไม่สนใจท่าทีขององค์เทพแล้วเอ่ยพูดต่อว่า
“ท่าทางของเจ้าทำให้ข้านึกถึงเขาในตอนนั้น”
มันเอ่ยต่อ
“ข้าเคยไปพบเทพเจ้ากู่ที่ซินเจียงตอนใต้ เทพเจ้ากู่บอกกับข้าว่า ปรมาจารย์เต๋าอาจจะดับสูญไปแล้ว การที่สามารถทำให้เทพเจ้ากู่พิเคราะห์ออกมาได้เช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่ปรมาจารย์เต๋าจะดับสูญก็มีอยู่มาก แต่ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ในจิ่วโจวเวลานั้น ตัวตนที่สามารถคุกคามเขาได้ก็มีเพียงแค่เทพเจ้ากู่ที่หลับใหลอยู่เท่านั้นเอง แต่การดับสูญของปรมาจารย์เต๋าเห็นได้ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้ากู่ เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดกันถึงได้ทำให้ผู้อยู่เหนือระดับตนหนึ่งดับสูญได้?
“ผู้ที่ตอบข้าได้ ทั่วทั้งจิ่วโจวก็น่าจะมีเพียงเทพเจ้ากู่ เทพพ่อมด และพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าหากปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สิ้นชีพ เขาก็ถือว่าเป็นอีกคน แต่ผู้อยู่เหนือระดับเหล่านี้ บ้างก็ตายไป บ้างก็ถูกผนึกอยู่ และบางที เจ้าอาจให้คำตอบข้าได้”
ลมหอบหนึ่งพัดเข้าสู่ตำหนักใหญ่ ขนที่ลำคอของไป๋ตี้ขยับเบาๆ ดวงตาสีฟ้าสว่างใสของมันจ้องมองไปยังองค์เทพ
“ข้าได้ยินโหรขั้นสองแห่งอวิ๋นโจวผู้นั้นบอกว่า องค์เทพแห่งลัทธิเต๋าสามารถหายตัวไปได้อย่างไร้เหตุผล”
มันสงสัยว่าการดับสูญของปรมาจารย์เต๋าจะเป็นแบบเดียวกับการหายตัวไปของเหล่าองค์เทพ
องค์เทพนั่งขัดสมาธิก้มหน้าหลับตา ไม่ได้เอ่ยปาก แต่มีเสียงดังขึ้นมาว่า
“เกี่ยวอันใดกับข้า!”
ไป๋ตี้ไม่ได้โกรธ ราวกับคิดว่านิกายสวรรค์สมควรมีบุคลิกเช่นนี้อยู่แล้ว จึงได้เอ่ยปากถามขึ้น
“ในปีนั้นตอนนี้ข้าออกจากดินแดนจิ่วโจว นิกายของลัทธิเต๋ามีมากมาย แต่ไม่มีนิกายมนุษย์และนิกายปฐพี ได้ยินว่านี่เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นในภายหลังหรือ? นิกายสวรรค์ก็มีพลังภายในของสองนิกายนี้อยู่ ข้านึกอยากเห็นวิชาการฝึกตนของ ‘มนุษย์ ปฐพี สวรรค์’ ทั้งสามนิกายนี้นัก”
องค์เทพไม่เอ่ยปาก แต่เบื้องหน้าของไป๋ตี้กลับมีตำราสามเล่มลอยขึ้นมา เป็นตำราหน้าปกสีฟ้าซึ่งหนึ่งในนั้นเขียนว่า ‘การตัดอารมณ์ความรู้สึก’
อีกสองเล่มที่เหลือ เมื่อเทียบกับ ‘การตัดอารมณ์ความรู้สึก’ แล้ว ความหนานั้นห่างไกลกันมาก ถึงขั้นหนาไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ
วิชาภายในของนิกายมนุษย์และปฐพี นิกายสวรรค์มีเพียงอารัมภบท ย่อมไม่มีบทขั้นสูงล้ำลึกแน่นอน
ไป๋ตี้จดจ้องมองตำราของ ‘นิกายมนุษย์’ และ ‘นิกายปฐพี’
‘พรึ่บพรั่บ…’
หน้ากระดาษพลิกอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็อ่านมาถึงหน้าสุดท้าย ไป๋ตี้นิ่งเงียบ จากนั้นแววตาก็ฉายประกายสงสัย
“พลังภายในของสองนิกายนี้แตกต่างกับนิกายสวรรค์อย่างยิ่ง ทั้งยังบกพร่องอยู่มาก ในครานั้นตอนที่ปรมาจารย์เต๋าขับไล่พวกข้าออกจากดินแดนจิ่วโจว ก็ได้ตำแหน่งผู้อยู่เหนือระดับแล้ว เหตุใดยังต้องสร้างนิกายมนุษย์กับนิกายปฐพีขึ้นมาอีก”
สายตาของเขามองไปยังตำรา ‘การตัดอารมณ์ความรู้สึก’ ด้วยความสงสัย หน้ากระดาษพลิกดังพรึ่บพรั่บ ไม่นานก็พลิกอ่านจนหมดเล่ม
จากนั้นมันก็เริ่มพลิกอีกรอบ ไป๋ตี้อ่านซ้ำๆ หลายครั้งแล้วหลับตาลง
หลังจากผ่านไปนาน ดวงตาสีฟ้าสว่างใสก็เปิดออกมา ลมหายใจมหาศาลดังก้องอยู่ภายในตำหนัก
“ข้าเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าคิดว่าท่านผู้นั้นดับสูญแล้วหรือ?” องค์เทพเอ่ยปากถามอย่างหาได้ยาก
ไป๋ตี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เรื่องที่เกี่ยวข้องนั้นซับซ้อนเกินไป ข้าไม่อาจตอบได้อย่างแม่นยำ แต่จากเบาะแสในปัจจุบัน ปรมาจารย์เต๋าได้ดับสูญไปแล้วจริงๆ ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ผู้พิทักษ์ประตู ปรมาจารย์เต๋าก็ไม่ใช่ เช่นนั้นผู้พิทักษ์ประตูคือใครกันแน่…”
มันเก็บความคิดเอาไว้แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ ข้าจะไม่เปิดเผยออกไป”
องค์เทพนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบ ไม่ตอบรับ
ไป๋ตี้หันหลังกลายเป็นแสงสีขาวแล้วหายวับไปจากตำหนักใหญ่
…
เรือหนึ่งลำลอยล่องไปตามแม่น้ำ
แสงแดดบนผิวน้ำส่องประกายระยิบระยับ มู่หนานจือที่สวมหมวกคลุมหน้าและใส่ชุดประโปรงบางๆ กำลังนั่งตกปลาอยู่บนเรือลำเล็ก
ไป๋จีว่ายอยู่ในน้ำสีมรกตที่สั่นกระเพื่อมอยู่รอบๆ เรือด้วยความสนุกสนานราวกับสุนัขฮัสกี้ตัวหนึ่ง
ขาเล็กสั้นๆ ตีไปมาอย่างแข็งขันอยู่ในน้ำทะเลสีคราม
สวี่ชีอันเอนกายนอนอยู่บนเรือโดยที่ท่อนบนเปลือยเปล่า ในมือถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วอ่านดูข้อความจากสมาชิกพรรคฟ้าดิน เหมือนกับท่าทางตอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงในชาติก่อนของเขา
หลังจากผ่านการฝึกทหารมาระยะหนึ่ง กำลังคนและม้าภายใต้บัญชาของเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินก็มีพลังต่อสู้พอสมควรแล้ว ซึ่งอ่อนกว่ากองทัพที่มีระเบียบวินัยตามปกติ แต่แข็งแกร่งกว่ากองทัพยิบย่อย
โดยกองทัพของหลี่เมี่ยวเจินมีพลังแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือของฉู่หยวนเจิ่น และกองทัพของหลี่หลิงซู่อ่อนกำลังมากที่สุด
ส่วนเหิงหย่วน เนื่องจากไม่อาจโน้มน้าวใจให้ตนปล้นทรัพย์คนรวยช่วยคนจนได้ เขาจึงไม่ได้รวบรวมผู้ลี้ภัยมาจัดตั้งกองทัพ เพียงแค่ช่วยเหลือชาวบ้านที่หิวโหยและหนาวเหน็บเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
บางครั้งก็เป็นคนยึดมั่นในหลักการและดื้อด้านเกินไปนะ ไต้ซือเหิงหย่วน
สวี่ชีอันประเมินอยู่ในใจเงียบๆ
มนุษย์ไม่อาจรักษาหลักการที่แม่นยำได้ตลอดไป คนที่รู้จักปรับเปลี่ยนก็ควรจะปรับเปลี่ยนหลักการไปตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์อย่างเหมาะสมสิ
แน่นอนว่าก็จะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กำหนดและสมเหตุสมผลด้วย
หมายเลขเจ็ด ‘เมื่อวันก่อน ข้าถูกทหารหลวงล้อมไว้ แถมพวกที่มายังเป็นระดับสูงด้วย ข้าไม่อยากสู้ตายกับทหารหลวงจึงนำกำลังออกมาจากวงล้อม แต่คิดไม่ถึงว่าทหารหลวงกลุ่มนั้นจะตามข้ามาติดๆ’
หลี่หลิงซู่เอ่ยถึงปัญหาที่พบในช่วงนี้ ค่ายใหญ่ของเขาถูกทางการท้องถิ่นส่งทหารออกมาปราบ
สมัยก่อนก็เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ แต่ล้วนเป็นพวกทหารไร้สังกัดที่มีพลังต่อสู้ไม่มาก หรือไม่ก็เป็นทหารพลเรือนที่ขุนนางเล็กๆ ของท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นมา
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ครั้งนี้ผู้ที่มาอยู่ในระดับสูง ทั้งยังมีหน้าไม้และปืนใหญ่ครบครัน
หมายเลขสอง ‘เมื่อประมาณห้าวันก่อน ข้าก็ได้พบกับพวกระดับสูงจากราชสำนัก สมองของจักรพรรดิน้อยมีปัญหารึไง? พวกเราช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์และปลอบโยนผู้ลี้ภัย เขาไม่ซาบซึ้งก็แล้วไปเถอะ แต่ดันส่งทหารมาปราบพวกเราอีกหรือ?’
จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเปิดการโจมตีแรกในกลุ่มพรรคฟ้าดิน
‘ด้วยกำลังทหารมากมายขนาดนี้ จะบุกชิงโจวไม่ได้เชียวหรือ ข้าว่าเจ้าจักรพรรดิน้อยนี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าพ่อของเข้านักหรอก ล้วนแต่เป็นพวกมีตำแหน่งแต่ไร้ความสามารถ คอยดูเถอะ ข้าจะหาโอกาสแทงเขาตายในไม่ช้าก็เร็ว’
หมายเลขสี่ ‘ไม่ควรเลยๆ ถึงจะบอกว่าหย่งซิ่งไม่เห็นด้วยกับแผนการของเอ้อร์หลาง แต่เขาก็ประทับใจและรู้ถึงข้อดีของแผนการนี้แล้ว ตอนนี้มีคนมาสร้างความดีความชอบแทนเขา ปล้นชิงขุนนางในพื้นที่เพื่อปลอบโยนผู้ลี้ภัย เช่นนั้นเขาควรจะดีใจถึงจะถูก’
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้เจอกับการล้อมปราบ หลักๆ เป็นเพราะฐานที่มั่นของเขาไม่ได้อยู่เป็นหลักแหล่ง และจะนำกำลังไปปราบกองโจรในบริเวณใกล้เคียงอยู่ทุกระยะๆ ทั้งด้วยการทำลายล้างและกลืนกินพวกเขา
สู้รบไปถึงที่ไหน ก็จะพักรออยู่ที่นั่นระยะหนึ่งแล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ชิงโจว
หมายเลขหนึ่ง ‘เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตกลงทำสัญญาไว้ ดังนั้นจึงไม่สบายใจ’
ตอนนี้เอง ฮว๋ายชิ่งผู้ชาญฉลาดของพรรคฟ้าดินก็ส่งข้อความมา
‘ในเมื่อเขาไม่ได้ตอบรับ เช่นนั้นใครกันที่รวบรวมผู้ลี้ภัยเพื่อสั่งสมกำลังเอาไว้เบื้องหลังกันล่ะ? จักรพรรดิหย่งซิ่งอาจจะสงสัยว่าผู้บงการหลักที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นชินอ๋องสักคน อย่างเช่นพี่ชายของข้า เยี่ยนชินอ๋อง
‘สำหรับจักรพรรดิคนหนึ่ง พี่น้องที่ปรารถนาในบัลลังก์ก็เปรียบดั่งกบฏ’
สมาชิกพรรคฟ้าดินพลันตระหนักได้ทันที
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความว่า ‘ที่แท้ก็เช่นนี้ ข้าห่างหายจากราชสำนักไปนาน ประสาทการรับรู้เรื่องไม่ชอบมาพากลจึงช้าไป กำลังของหย่งซิ่งยังไม่เพียงพอ หากเป็นข้า คงต้องวางแผนแล้วทำให้พี่น้องที่ปรารถนาในบัลลังก์ช่วยทำให้เหล่าผู้ลี้ภัยมั่นคงขึ้น เมื่อเอาชนะสงครามที่ชิงโจวได้แล้วก็ค่อยข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน อาจจะจับกุมหรือประหาร หรือไม่ก็เปิดโปงแผนของพี่น้องผู้นั้นแก่ทุกคน
‘ถึงอย่างไรก็มีฐานะเป็นจักรพรรดิ หากต้องการต่อกรกับชินอ๋องผู้หนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องยากนัก ส่วนยอดฝีมือที่รวบรวมผู้ลี้ภัยอยู่ข้างนอกนั้น อ่า ในเมื่อเดิมทีก็เป็นคนในราชสำนัก เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาในการเรียกตัว แม้ว่าจะมีคนสองคนที่จิตใจทะเยอทะยาน แต่ก็สามารถดับลงได้ ทว่าหากรบแพ้ทัพกบฏ ทุกอย่างล้วนกลายเป็นว่างเปล่า เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้ลี้ภัยอีกต่อไป’
ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความวิพากษ์วิจารณ์ ‘หย่งซิ่งเดิมทีก็เป็นจักรพรรดิผู้ป้องกันและรักษา หากว่ากันเรื่องความสามารถและกำลังแล้ว เขาไม่อาจควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ได้แน่นอน’
ฉู่หยวนเจิ่นเงียบงันไป ‘เมื่อเทียบกันแล้ว องค์ชายสี่ก็เก่งกาจกว่าจริงๆ’
เมื่อกล่าวถึงในด้านความสามารถ สติปัญญา และความกล้าหาญแล้ว เหยียนชินอ๋อง พี่ชายมารดาเดียวกันกับฮว๋ายชิ่งอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิหย่งซิ่งถึงหนึ่งขั้น
การพูดวิจารณ์จักรพรรดิในที่สาธารณะเป็นความผิดร้ายแรง
แต่ฉู่หยวนเจิ่นนั้นออกจากราชสำนักมาหลายปีแล้ว อีกทั้งคนในพรรคฟ้าดินก็เป็นกบฏ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องห้ามปรามอะไร
ถึงอย่างนั้น เรื่องการกระทำของจักรพรรดิหย่งซิ่ง เหล่าสมาชิกในพรรคฟ้าดินก็จนปัญญา
อย่างแรกนี่คือการกระทำที่จักรพรรดิคนหนึ่งก็สมควรจะกระทำอยู่แล้ว อย่างที่สอง ความกล้าและกำลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในเวลาสั้นๆ
จักรพรรดิหย่งซิ่งก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะด่าว่าอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
ตอนนี้เอง ฮว๋ายชิ่งก็ส่งข้อความมา
‘เมื่อหลายวันก่อน จักรพรรดิหย่งซิ่งได้พระราชทานสมรสให้กับหลินอันและสวี่ชีอัน’
คนในพรรคฟ้าดินพลันเงียบไป
สวี่ชีอันถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไม่มั่นจนหล่นใส่หน้า
หมายเลขสอง ‘อะไรนะ? บ้านเมืองเจียนจะย่อยยับแล้ว เจ้าจักรพรรดิน้อยนั่นยังมีแก่ใจจะห่วงเรื่องการอภิเษกของน้องสาวอีก เขาเป็นจักรพรรดิโง่เง่าจริงๆ ข้าจะแทงเขาให้ตายไปเลย!’
หลี่เมี่ยวเจินจดชื่อจักรพรรดิหย่งซิ่งลงในบัญชีผู้ที่ต้องสังหาร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสมรสพระราชทาน หลักๆ เป็นเพราะจักรพรรดิหย่งซิ่งโง่เขลาไร้ความสามารถเกินไป
หมายเลขหนึ่ง ‘นี่เป็นเรื่องดีนะ ข้ากำลังคิดว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้ควรบอกกล่าวแก่ราชครูสักหน่อย น่าเสียดายที่ช่วงก่อนหน้านี้ท่านราชครูไม่อยู่ในเมืองหลวง’
หมายเลขสอง ‘องค์หญิงใหญ่ทำได้ถูกต้องแล้ว’
เจ้ายังจะส่งคนไปบอกราชครูที่อารามรัตนะอีกหรือ? สวี่ชีอันใจตกไปที่ตาตุ่ม ในใจกล่าวว่า เมี่ยวเจินหนอเมี่ยวเจิน เจ้าไม่ต้องแทงเองหรอก เดี๋ยวราชครูก็คงทำให้แทน แต่หลินอันน้อยของข้าจะต้องเป็นอันตรายแน่
แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ลนลานอะไร เพราะราชครูที่กลับไปนั้นก็คือพี่สาวจอมเย็นชาเวอร์ชันปกติ นางเป็นท่านน้าตัวน้อยที่ใจดีแล้ว
ไม่ใช่จอมหึงโหด ไม่ใช่จอมเศร้าโศก และไม่ใช่นางมารจอมชั่วร้าย
ท่านน้าตัวน้อยผู้ใจดีไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้หรอก
หมายเลขสี่ ‘หนิงเยี่ยนจะกลายเป็นราชบุตรเขยแล้ว’
ฉู่หยวนเจิ่นอวยพรอย่างจริงจัง
เชอะ เจ้าคนไม่ได้เรื่อง ไปตายที่ไหนก็ไป…
หลี่หลิงซู่ก็อวยพรอย่างจริงจังเช่นกัน
‘ยินดีกับพี่สวี่ด้วยที่ได้เป็นราชบุตรเขย อืม ช่วงนี้ข้าบำเพ็ญธรรมด้านอารมณ์อยู่ อดไม่ได้ที่อยากจะไปขอคำชี้แนะจากราชครูที่เมืองหลวงพอดี อ่า จริงสิผู้อาวุโสสวี ฮูหยินสวีรู้เรื่องนี้หรือไม่’
เทพบุตรเริ่มประชดประชัน
เจ้านี่มันเพื่อนเลว…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก ก่อนมองไปยังมู่หนานจือที่กำลังตั้งใจตกปลาด้วยท่าทีร้อนตัว
หากเทพดอกไม้รู้เรื่องนี้เข้าคงจะวิ่งกลับเข้าไปในเจดีย์พุทธะแล้วฝึกวิชาพุทธกับภิกษุถ่าหลิงแน่ๆ
หมายเลขสอง ‘ใช่ๆ ยินดีกับฆ้องเงินสวี่ด้วย ฆ้องเงินสวี่ได้เป็นราชบุตรเขย นั่นคือความปรารถนาจากทุกผู้ทุกนาม แล้วเมื่อไหร่จะแต่งหรือ ข้าจะพาผู้อาวุโสในนิกายสวรรค์ไปดื่มสุรากินเลี้ยงด้วยตัวเองเลย’
หงส์ดรุณอารมณ์เปลี่ยนเหมือนกลับตาลปัตร ไม่ด้อยไปกว่ามังกรหลับ[1]
หลี่หลิงซู่สุมไฟ ‘ถือโอกาสสู่ขอองค์หญิงฮว๋ายชิ่งไปด้วยเลยสิ นับเป็นการอุทิศตนเพื่อต้าฟ่งและสร้างยุคสมัยอันรุ่งโรจน์งดงาม’
ถึงอย่างไรก็คุยกันในข้อความ จึงไม่กลัวว่าฮว๋ายชิ่งกับสวี่ชีอันจะตามมาสังหารได้
ได้ รอให้กลับมาที่จิ่วโจวก่อนเถอะ ข้าจะเรียกคู่รักทั้งหลายของเจ้ามารวมตัวกันเพื่อให้เจ้ามีความสุขสักหน่อย…สวี่ชีอันส่งข้อความอย่างรวดเร็ว
‘ปีศาจทางใต้ขับไล่สำนักพุทธออกไปจากซินเจียงตอนใต้แล้ว จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ได้สร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจขึ้นมาใหม่’
หมายเลขสี่ ‘ดี’
สมาชิกพรรคฟ้าดินไม่ได้มีปฏิกิริยามากมายอะไร นี่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็รู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าพรรคฟ้าดินจะช่วยปีศาจแดนใต้ฟื้นฟูอาณาจักร
หมายเลขเจ็ด ‘พี่สวี่กำลังเปลี่ยนเรื่องอยู่หรือ?’
สวี่ชีอันร้อง ‘เฮอะ’ ออกมา ในใจลอบกล่าวว่า ละครเรื่องหลักยังไม่ถึงเวลาฉายต่างหาก
หมายเลขสาม ‘การไปซินเจียงตอนใต้ครั้งนี้ ข้าได้พบเรื่องใหญ่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าด้วย’
……………………………………………..
[1] 雏凤 (หงส์ดรุณ) และ 卧龙 (มังกรหลับ) เป็นฉายาของบังทองและขงเบ้งจากวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ในที่นี้อุปมาถึงผู้มีปัญญาเฉียบแหลมอย่างหลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่