ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 710 จุดประสงค์ของไป๋ตี้
บทที่ 710 จุดประสงค์ของไป๋ตี้
หมายเลขเจ็ด ‘จะเกิดเรื่องอะไรกับพระพุทธเจ้าได้ คงไม่มีทางโผล่ออกมาสู้กับเจ้าหรอกกระมัง’
‘คิดจะเปลี่ยนเรื่องหรือ? วิธีการนี้ไม่ได้เรื่องเลย…’ หลี่หลิงซู่ยิ้มเยาะอย่างดูแคลนอยู่ในใจ เขาไม่ตกหลุมพรางนี้แน่ จากนั้นก็ส่งข้อความไปว่า
‘พวกเรามาคุยกันเรื่องงานแต่งของเจ้ากับองค์หญิงหลินอันต่อดีกว่า ข้าเคยพบองค์หญิงหลินอันมาก่อนนะ แหมๆ เป็นผู้ที่ชวนให้ตะลึงเสียจริง งามกว่าเมี่ยวเจินกับองค์หญิงฮว๋ายชิ่งรวมกันตั้งสามส่วนเชียวล่ะ’
เพื่อล้างแค้นให้กับความอับอายในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เจี้ยนโจว เทพบุตรจึงไม่ลังเลเลยที่จะล่มจมไปพร้อมๆ กับสวี่ชีอัน
สมาชิกในพรรคฟ้าดินไม่สนใจข้อมูล ‘เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า’ อันดับแรกเป็นเพราะนี่เป็นเรื่องของผู้อยู่เหนือระดับ ห่างไกลจากพวกเขาเกินไป อีกอย่าง เป้าหมายที่สวี่ชีอันคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุยก็ชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรด้วย
เห็นได้ชัดเลยว่าต้องการใช้หัวเรื่องพระพุทธเจ้ามาทำให้เรื่องการอภิเษกสมรสไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป
หมายเลขสาม ‘ครั้งก่อนข้าบอกไปแล้วว่าที่ไปซินเจียงตอนใต้ก็เพื่อปลดผนึกให้เสินซู พวกเจ้าไม่แปลกใจเลยหรือว่าเสินซูกับเผ่าพันธุ์ปีศาจมีความเกี่ยวพันกันอย่างไร แล้วเหตุใดสำนักพุทธจึงต้องผนึกเสินซูด้วย?’
‘พูดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาก็ไร้ความหมาย…’ หลี่หลิงซู่แสยะยิ้ม ขณะที่กำลังจะลากกันลงโคลนตม เขาก็เห็นศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความมาเสียก่อน
‘เรื่องของเสินซู สามารถบอกให้รู้ทั่วกันได้หรือ? เปิดเผยให้พวกเรารู้ได้ด้วยหรือ?’
‘หมายความว่าอย่างไร? ศิษย์น้องเหมือนจะให้ความสำคัญกับเสินซูคนนี้มาก…’ หลี่หลิงซู่นิ่งไป
หมายเลขสี่ ‘ความจริงข้าอยากจะถามตั้งแต่ครั้งก่อน ที่เจ้าบอกว่าต่อสู้กับอาซูหลัวและปลดผนึกเสินซูนั่นแล้ว’
พวกเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของเสินซู สวี่ชีอันได้สารภาพกับสมาชิกในหนังสือปฐพีตั้งนานแล้วว่าสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอนั้นเข้ามาอยู่ในร่างกายของตนเอง
ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ถามก็เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของสวี่ชีอันและความลับของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เว้นเสียแต่จะเกี่ยวข้องตัวเองหรือตนมีส่วนร่วมด้วย พวกเขาก็ยากจะเอ่ยถามเรื่องที่เป็นความลับใหญ่หลวงออกมาแบบโต้งๆ ได้
สมาชิกพรรคฟ้าดินยังพอมีสติปัญญาในเรื่องแบบนี้อยู่
หมายเลขสาม ‘ก่อนหน้านี้ข้าต้องแก้ไขเรื่องเรื่องหนึ่งเสียก่อน สิ่งที่ลี่น่าพูดในตอนนั้น ที่บอกว่าในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีเคยมีครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ปรากฏตัวขึ้น คนผู้นั้นไม่ใช่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางผู้เป็นเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ แต่เป็นเสินซู’
จนกระทั่งถึงเวลานี้ เขาก็จำเนื้อหาของเรื่องราวในครั้งนั้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์หมดแล้ว
ลี่น่าพูดแค่ว่าในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีครั้งนั้นมีครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ปรากฏตัวออกมา ซึ่งตนเองและสมาชิกคนอื่นๆ ดันคิดไปเองว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคือครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ผู้นั้น
หมายเลขหนึ่ง ‘สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ เสินซูผู้นั้น ที่แท้ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ก็คือเขา?’
ฮว๋ายชิ่งที่แต่ไหนแต่ไรชอบเฝ้าหน้าจอก็ยังกระโดดออกมาร่วมวงอย่างอดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ภายในใจของสมาชิกคนอื่นๆ ล้วนได้รับผลกระทบหนักมากแค่ไหน
หลังผ่านไปสิบวินาที เหิงหย่วนก็เอ่ยทอดถอนใจออกมา
‘ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ที่แท้ก็อยู่ใกล้กับข้าถึงขนาดนี้’
เพราะเรื่องของศิษย์น้องเหิงฮุ่ย เขาจึงเข้าไปพัวพันกับคดีนี้และเกือบถูกแขนขวาของเสินซูสังหารเอา
หมายเลขสอง ‘ลี่น่าหลอกข้า’
หลังผ่านความตกตะลึงไป หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งข้อความระบายออกมาโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่านางเป็นเหมือนกับสวี่ชีอันที่คิดไปเองว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคือครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์
หมายเลขสี่ ‘ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ที่ปรากฏตัวในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีคือเสินซู เขาถูกสำนักพุทธผนึกเอาไว้ แต่เขาก็เป็นคนของสำนักพุทธ ทว่ากลับต่อสู้ให้กับของอาณาจักรหมื่นปีศาจในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี จิ๊ๆ เรื่องที่อยู่เบื้องหลังนี้แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว…’
ฉู่หยวนเจิ่นใช้เวลาเพื่อย่อยข้อมูลนี้พอสมควร จากนั้นก็เริ่มเขียนข้อความยาวเหยียด ดังนั้นจึงเป็นคนสุดท้ายที่ส่งข้อความมา
หมายเลขเจ็ด ‘ขอถาม เสินซูคือผู้ใดหรือ? บนโลกนี้มีตัวตนเช่นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ด้วยหรือ? มิใช่บอกว่าขั้นสุดของจอมยุทธ์คือขั้นหนึ่งหรอกหรือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยมีเทพยุทธ์ปรากฏออกมาเลย’
เนื่องจากหลี่หลิงซู่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาครึ่งปี จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเมื่อก่อนนัก
ตอนที่เขาได้รับชิ้นส่วนหมายเลขเจ็ด หมายเลขสามและหมายเลขเก้าล้วนยังอยู่ในการดูแลของนักบวชเต๋าจินเหลียน
ไม่มีใครสนใจหลี่หลิงซู่ ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความต่อ
‘แต่เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับพระพุทธเจ้า?’
องค์หญิงใหญ่จับประเด็นสำคัญได้ดียิ่ง นางไม่ได้ตกใจเรื่องข่าวคราวของครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์จนลืมหัวข้อสนทนาไป
หมายเลขสาม ‘ในสงครามครั้งแรกเริ่มเพื่อช่วยเผ่าพันธุ์ปีศาจฟื้นฟูอาณาจักรนั้น ชิ้นส่วนร่างกายของเสินซูก็ลงมือด้วยเช่นกัน เพราะการเพ่งเล็งของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน เสินซูจึงตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง หลังจากพวกเราทำให้เขายอมจำนนได้อย่างยากเย็น เขาก็บอกมาว่าจำเรื่องเมื่อก่อนและตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้แล้ว’
สวี่ชีอันส่งข้อความนี้เสร็จ ก็ตั้งใจเว้นระยะ
หมายเลขสอง ‘ตัวตนที่แท้จริงของเขา? รีบพูดเร็วเข้า เจ้าจะอมพะนำอะไรกัน’
หลี่เมี่ยวเจินที่รออยู่หลายนาทีก็ไม่ได้รับข้อมูลต่อเริ่มโมโหแล้ว
สมาชิกคนอื่นไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจล้วนพากันก่นด่าสวี่ชีอัน
หมายเลขสาม ‘เขาบอกว่า เขาจำได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร เขาคือ…พระพุทธเจ้า!’
กลุ่มสนทนาในหนังสือปฐพีตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที
สวี่ชีอันอาบแดดไปพลางหยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่มอึกๆ และรอคอยอย่างอดทน
พอดีกับที่ในเวลานี้มู่หนานจือก็ตกได้ปลาตัวใหญ่ เทพดอกไม้ดึงคันเบ็ดอย่างดีอกดีใจ ร่างกายท่อนบนเอนตัวไปข้างหน้ายกใหญ่จนสวี่ชีอันกังวลว่าตัวนางจะถ่วงน้ำหนักจนตกน้ำตกท่า
“ไป๋จี มาช่วยเร็ว!”
มู่หนานจือเอ่ยเรียก
ไป๋จีที่ว่ายอยู่รอบเรือรับคำแล้วดำลงไปในน้ำเพื่อช่วยมู่หนานจือจับปลา
ผิวน้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรงราวกับว่าไป๋จีกำลังต่อสู้ดุเดือดกับปลาใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำ
ผ่านไปพักหนึ่งไป๋จีก็โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ อุ้งเท้าขวาของมันยกขึ้นมาปิดแก้มแล้วร้องไห้จ้า
“มันตบข้า…”
มู่หนานจือแค้นนักที่หลอมเหล็กแต่เหล็กดันไม่กลายเป็นเหล็กกล้า
“เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เจ้าเป็นผู้อาวุโสในอาณาจักรหมื่นปีศาจนะ”
หลังจากฉุดดึงอยู่พักหนึ่งปลาใหญ่ก็หลุดจากเบ็ดไปได้สำเร็จ มู่หนานจือทั้งโมโหทั้งผิดหวัง จากนั้นก็เริ่มตกปลารอบที่สองด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
กระทั่งในตอนนี้ สวี่ชีอันก็ได้รับความรู้สึกใจสั่นไหว ในที่สุดก็มีคนส่งข้อความมาแล้ว
หมายเลขสอง ‘เมื่อกี้หนังสือปฐพีของข้าตกลงพื้น…’
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ ทั้งร่างก็ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจนทำให้นางเสียความสามารถในการคิดคำนวณไป ลืมสิ้นแม้กระทั่งการหายใจ
หมายเลขสี่ ‘เหลือเชื่อนัก เหลือเชื่อจริงๆ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเสียใจแล้วสิที่ได้ฟังข่าวนี้ของเจ้า’
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความมาเป็นคนที่สอง
หมายเลขเจ็ด ‘ข้านี่ขนลุกเลย’
หลี่หลิงซู่ยอมรับเลยว่าข้อมูลที่สวี่ชีอันโยนลงมานี้เพียงพอจะสะเทือนฟ้าดินได้แล้ว อย่าว่าแต่เรื่องงานอภิเษกขององค์หญิงหลินอันกับสวี่ชีอันเลย ต่อให้เป็นเรื่องประเภทที่องค์จักรพรรดิแต่งงานกับสวี่ชีอันก็ยังสามารถถูกเปลี่ยนเรื่องได้ง่ายๆ
หมายเลขหก ‘นี่คือเรื่องจริงหรือ…’
ไต้ซือเหิงหย่วนไม่ได้เอ่ยระบายอารมณ์ออกมา แต่ถามกลับ
สวี่ชีอันถอนหายใจราวกับมองเห็นแววตาทึมทื่อและสีหน้าซีดขาวในตอนนี้ของไต้ซือเหิงหย่วนอย่างไรอย่างนั้น
หมายเลขสาม ‘จริงแท้แน่นอน อีกอย่าง เรื่องนี้ดีที่สุดก็ควรเก็บเป็นความลับไว้ อย่าได้แพร่งพรายออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีภัยถึงตัว’
เขาไม่ได้มีหน้าที่รักษาความลับให้กับพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงเผยแพร่มันให้กับแวดวงที่เชื่อถือได้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับผู้อยู่เหนือระดับ จึงต้องเอ่ยเตือนสมาชิกในพรรคฟ้าดินสักหน่อย
หมายเลขหก ‘ขอบคุณใต้เท้าสวี่ยิ่งนักที่แจ้ง ขอบคุณมาก…’
หมายเลขสี่ ‘ขอบคุณมากที่แบ่งปันข่าวนี้’
ข้อมูลนี้น่าสะพรึงเกินไป ระดับความน่ากลัวมีสูงมาก ไม่ว่าค่าตอบแทนใดๆ ก็ไม่อาจซื้อข่าวนี้ได้ มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินทอง แต่เป็นปัญหาเรื่องสถานะ
ปุถุชนธรรมดาจะมีคุณสมบัติรับรู้เรื่องของเทพเซียนได้อย่างไร
หมายเลขหนึ่ง ‘ฆ้องเงินสวี่คิดว่าความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้เป็นอย่างไร’
คำพูดของฮว๋ายชิ่งทำให้สมาชิกของพรรคฟ้าดินสงบลง แล้วรวบรวมสมาธิจดจ้องไปยังหน้ากระจกของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจทำให้พวกเขาละสายตาออกไปได้
ทำไมพระพุทธเจ้าถึงกลายเป็น ‘เสินซู’ เขาถูกใครผนึกไว้ ความจริงเบื้องหลังการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีเป็นอย่างไรกันแน่!
แม้จะดูถูกว่าตนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาและไม่สมควรรู้ข้อมูลเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้มีพลังดึงดูดอย่างมากทีเดียว ไม่มีใครสามารถอดกลั้นความอยากรู้ของตนได้
ในเมื่อสวี่ชีอันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และรู้ความจริงเบื้องหลังแล้ว เช่นนั้นก็พวกเขาก็ย่อมยินดีที่จะ ‘ฟังไว้แบบไม่เสียเงิน’
‘นี่ก็คือผลประโยชน์ของสมาชิกพรรคฟ้าดินนั่นเอง…’ หลี่หลิงซู่ทอดถอนใจอย่างจริงจัง
หมายเลขสาม ‘เรื่องนี้พูดแล้วยาว อันดับแรกต้องพูดตั้งแต่เรื่องตัวตนของกายเนื้อของเสินซู…‘
เขาใช้เวลาพักหนึ่งเพื่ออธิบายกระบวนการเปลี่ยนจากราชันอสูรมาเป็นพระพุทธเจ้าของเสินซูอย่างละเอียด และบอกถึงการคาดเดาสองอย่างของตนกับคนในพรรคฟ้าดิน
เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะฟังการวิเคราะห์ของสมาชิกพรรคฟ้าดินด้วย
หลักๆ ก็คือฟังความคิดของฮว๋ายชิ่งและฉู่หยวนเจิ่น ส่วนผู้มีปัญญาเฉียบแหลมจากนิกายสวรรค์ก็เป็นตัวเลือกที่ยอมรับได้เช่นกัน
หมายเลขสี่ ‘เจ้าได้แสดงความเป็นไปได้ทั้งหมดออกมาแล้ว แต่ขาดเพียงแค่การยืนยัน ถ้าหากเจ้ามีวิธีการติดต่ออาซูหลัวหรือตู้เอ้อร์ และสามารถส่งข้อความไปให้ส่วนตัวได้ เช่นนั้นก็ลองถามพวกเขาดูได้’
หมายเลขหนึ่ง ‘พวกเขาอาจจะสืบหาความจริงไม่ได้ก็ได้ ระดับที่เกี่ยวข้องเกรงว่าจะเกินขีดจำกัดที่ขั้นสองคนหนึ่งจะไปสัมผัสได้แล้ว หากยังฝืนตรวจสอบต่อไป คงเป็นอันตรายถึงชีวิต’
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความต่อ ‘มีแต่ผู้อยู่เหนือระดับเท่านั้นที่จะสามารถสยบควบคุมผู้อยู่เหนือระดับได้ ถ้าหากเป็นความเป็นไปได้แบบที่หนึ่ง เช่นนั้นคิดคำนวณแค่ผู้อยู่เหนือระดับจากอดีตถึงปัจจุบันก็คงจะคาดเดาได้บางส่วนแล้ว’
หมายเลขหนึ่ง ‘ปรมาจารย์เต๋าใช่หรือไม่ ปรมาจารย์เต๋าคือผู้ที่ลึกลับมากที่สุดในบรรดาผู้อยู่เหนือระดับ’
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เต๋า หลี่หลิงซู่และหลี่เมี่ยวเจินก็ตื่นตัวขึ้นมา
หลี่หลิงซู่ส่งข้อความแย้งว่า
‘ปรมาจารย์เต๋ามีเหตุผลอะไรที่ต้องไปแย่งชิงตำแหน่งของพระพุทธเจ้าด้วย ตั้งแต่ที่เขาสำเร็จมรรคาเต๋าก็ไร้ซึ่งศัตรูผู้ต่อต้านแล้ว หากคิดจะทำอะไรจริงๆ ก็ลงมือทำตรงๆ ได้ จะโชคชะตาก็ดี หรือการก่อตั้งความศรัทธาก็ช่าง ล้วนแต่ลึกล้ำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้านัก’
ไม่มีใครเอ่ยแย้งไปพักหนึ่ง
เทพบุตรกล่าวได้ถูกต้อง ปรมาจารย์เต๋าสำเร็จมรรคาเร็วยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า นิกายสวรรค์ ปฐพี และมนุษย์ที่เขาสร้างขึ้นมาก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่า
ถ้าหากปรมาจารย์เต๋าจะแย่งชิงตำแหน่งของพระพุทธเจ้า เช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็จะต้องมีของที่เขาต้องการอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังการฝึกตน ตำแหน่ง ความศรัทธา หรือโชคชะตา ก็ล้วนแต่ไม่เพียงพอจะกลายมาเป็นเหตุผลทั้งนั้น
หมายเลขสี่ ‘เช่นนั้นก็คือความเป็นไปได้แบบที่สอง’
ความเป็นไปได้แบบที่สองคือเสินซูและพระพุทธเจ้าเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่เป็นคนละภาค เนื่องจากเรื่องของปีศาจทางใต้ ทั้งสองภาคนี้จึงเกิดความขัดแย้งกัน
หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าคิดว่าแบบที่สองมีความเป็นไปได้มาก แต่ข้ายังมีการคาดเดาอยู่แบบหนึ่ง หากมองจากเรื่องของการแย่งชิง ดังนั้นตัวตนผู้นั้นก็คงคิดจะมาแทนที่ และชิงความศรัทธารวมถึงโชคชะตาของพระพุทธเจ้าไป เช่นนั้นเขาก็น่าจะมีพลังด้อยกว่าพระพุทธเจ้าสิ’
ตรรกะเช่นนี้สมเหตุสมผล ปรมาจารย์เต๋า ‘มีมากกว่า’ พระพุทธเจ้า จึงไม่มีเหตุให้ต้องแย่งชิง
เช่นนั้นหากเป็นคนที่อยากจะอยู่เหนือกว่าเล่า?
ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความต่อ ‘พวกเรารู้แค่ว่าผู้อยู่เหนือระดับนั้นมีห้าตน แต่ผู้ที่อยู่เหนือกว่าขั้นหนึ่งล่ะ อย่างเช่นครึ่งก้าวสู่เหนือระดับ? พวกเราล้วนไม่รู้เลย’
นี่เป็นเพียงความคิด แต่ถ้าเจ้าจะว่าแบบนี้เช่นนั้นคดีก็ยากจะสืบต่อไปได้แล้ว…สวี่ชีอันลูบคางแล้วตัดสินใจจบการสนทนาครั้งนี้
ตอนนี้เอง ลี่น่าก็ส่งข้อความมา
หมายเลขห้า ‘สวี่หนิงเยี่ยน ตอนที่เจ้ากับองค์หญิงแต่งงานกัน พาข้ากับหลิงอินกลับเมืองหลวงด้วยสิ ข้าไม่ได้อยากดื่มสุรามงคลหรอก ข้าอยากจะไปอวยพรเจ้า’
“…” สวี่ชีอันยิ้มมุมปาก
ข้าจะเตะก้นเจ้าออกไปไกลๆ เลย…เขารีบร้อนเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและไม่ดูข้อความกระแนะกระแหนของหลี่หลิงซู่และการเยาะเย้ยของหลี่เมี่ยวเจินอีก
…
เมืองจิ้งซาน
ยอดเขาแห้งแล้งทอดยาวสลับกัน ผิวน้ำในระยะไกลทอประกายเจิดจรัสใต้แสงอาทิตย์ แต่กลับนิ่งเงียบไร้ชีวิตชีวา
การต่อสู้ที่เมืองจิ้งซานในวันนั้น ซ่าหลุนอากู่ได้ดูดซึมพลังจิตวิญญาณของพื้นที่แห่งนี้ไปหมด จนทำให้พื้นดินไม่อาจเพาะปลูกพืชพรรณ น้ำทะเลก็ไม่อาจหล่อเลี้ยงสัตว์น้ำ และภูเขาก็ไม่อาจฟื้นตัวได้อีก
สิ่งนี้ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยสิบปีจึงจะทำให้ขอบเขตหลายสิบลี้ของเมืองจิ้งซานกลับมามีปราณชีวิตอีกครั้ง
ซ่าหลุนอากู่สวมเสื้อคลุมผ้ากระสอบยืนอยู่บนยอดเขารกร้างพร้อมอุ้มลูกแกะไว้ในอ้อมแขน
ทันใดนั้น เขาก็พลันเงยหน้ามองฟ้าเหนือทะเลเมฆหมอก
ผ่านไปพักหนึ่ง ม่านเมฆก็สลายตัวทันใดแล้วปรากฏให้เห็นศีรษะใหญ่โตมโหฬารราวกับขุนเขาออกมา
จมูกวัว ปากจระเข้ แผงคอสิงโต อีกทั้งบนหน้าผากยังมีเขาคู่หนึ่ง ดวงตาสองข้างเป็นขีดตั้งสีฟ้าใส ทั้งงดงามและแปลกประหลาด
ชั่วพริบตาที่สัตว์ประหลาดตนนี้ปรากฏตัวขึ้น ผิวน้ำที่แน่นิ่งก็เกิดคลื่นซัดโหม พลังชีวิตแห่งสายน้ำพลันรวมขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งแล้วเปล่งปราณชีวิตออกมา
มันกลายเป็นผืนทะเลที่สามารถหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตได้อีกครั้ง
“ข้าเกลียดทะเลที่แน่นิ่ง”
น้ำเสียงของไป๋ตี้ทั้งทุ้มต่ำและนิ่งสงบ ราวกับทำเรื่องเล็กน้อยไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง
“ไม่คิดเลยว่าวันนี้เวลานี้จะได้พบเห็นสายเลือดเทพมารระดับเช่นนี้ในดินแดนจิ่วโจว” ซ่าหลุนอากู่แย้มยิ้มไปถึงดวงตา
“โปรดลงมาคุยเถิด”
ศีรษะยักษ์ใหญ่หายไปแล้ว แสงสีขาวตกลงมาจากฟ้าแล้วรวมตัวกับบนอากาศเบื้องหน้าซ่าหลุนอากู่
ซ่าหลุนอากู่พินิจมองสัตว์ประหลาดตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“ไป๋ตี้!”
ดวงตาสีฟ้าของไป๋ตี้จดจ้องมองปรมาจารย์พ่อมดแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“ขั้นหนึ่งจากสายพ่อมด เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
ขณะที่เอ่ยพูด เกล็ดที่แก้มสองข้างก็เปิดออกและเผยให้เห็นเหงือกสีแดงอ่อน
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
ซ่าหลุนอากู่พยักหน้า
“สำนักพ่อมดแทรกซึมอยู่ในอวิ๋นโจวมาหลายปี เรื่องชื่อเสียงของไป๋ตี้นั้นย่อมโด่งดังดุจเสียงฟ้าคำราม”
ไป๋ตี้นิ่งเงียบแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า
“ตอนนั้นที่ข้ากลับมายังดินแดนจิ่วโจวเพื่อลองหยั่งเชิงท่าทีของปรมาจารย์เต๋า ผลกลับเหนือความคาดหมาย ในยุคสมัยโบราณกาล ปรมาจารย์เต๋าที่ขับไล่พวกเราออกไปจากจิ่วโจวกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อการหยั่งเชิงของข้าเลย ข้าเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ จึงทิ้งวิธีการเชื่อมต่อเอาไว้อวิ๋นโจว จนกระทั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน โหรคนหนึ่งที่ชื่อสวี่ผิงเฟิงก็ได้ปลดวิธีการนั้นและติดต่อข้ามาได้ จากคำของเขา ข้าจึงรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของจิ่วโจวหลังจากสิ้นปรมาจารย์เต๋า และรู้ว่าเขาได้หายตัวไปนานแล้ว”
ซ่าหลุนอากู่อดทนฟังจบก็เอ่ยถามว่า
“จุดประสงค์ที่ท่านกลับมายังดินแดนจิ่วโจวและมาพบข้าที่เมืองจิ้งซานคืออะไร?”
……………………………………………..