ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 712 นักบวชเต๋าจินเหลียนออกจากด่านกักตน
บทที่ 712 นักบวชเต๋าจินเหลียนออกจากด่านกักตน
สวี่ชีอันยากที่จะปิดบังความผิดหวังได้
หากสวี่ฝิงเฟิงได้เห็นแผนที่ครึ่งม้วนของเผ่าซือกู่เมื่อหลายปีก่อน เช่นนั้นเกรงว่าสุสานโบราณที่กล่าวถึงคงถูกสวี่ผิงเฟิงไปเยือนตั้งนานแล้ว
ไม่ว่าเจ้าของสุสานโบราณจะเป็นใคร ซ่อนอะไรไว้ มันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจ
ไม่ถูกต้องนี่ ไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่ได้พูดแบบนี้…ประเดี๋ยวเดียวเขาก็ต้องขมวดคิ้ว และนำเจดีย์พุทธะออกมา อาศัยเจดีย์พุทธะส่งกระแสจิตให้กับไฉซิ่งเอ๋อร์
“ไฉซิ่งเอ๋อร์ เจ้าเคยบอกว่าการเปิดสุสานโบราณจำเป็นต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์ของลูกหลานตระกูลไฉ”
ผ่านไปสองสามวิไฉซิ่งเอ๋อร์ถึงส่งกระแสจิตกลับมา
“ใช่แล้ว”
“ต้องใช้ปริมาณเท่าใด” สวี่ชีอันถาม
“อันนี้…ข้าไม่รู้” ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่งกระแสจิตตอบ
เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องซักไซ้ไล่เลียงแล้ว อยากได้โลหิตบริสุทธิ์ของคนตระกูลไฉมา สำหรับคนไม่เอาไหนแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย…สวี่ชีอันกล่าว
“ผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ข้างกายหลี่หลิงซู่ ให้เขาเป็นคนดูแลเจ้า”
บทบาทของไฉซิ่งเอ๋อร์ลดลงทันที สวี่ชีอันก็ไม่สนใจที่จะขังนางไว้แล้ว ส่วนกรรมชั่วที่นางทำไว้ในก่อนหน้า ก็มอบให้หลี่หลิงซู่จัดการ
หลี่หลิงซู่เคยบอกว่า หากไฉซิ่งเอ๋อร์ทำสิบมหันตโทษที่ไม่อาจให้อภัยได้ ก็ให้เขาพากลับนิกายสวรรค์และไม่ให้ออกไปไหนอีกตลอดชีวิต
ช่วงนี้เทพบุตรค่อนข้างลิงโลดอยู่พอดี หาความยุ่งยากให้เขาสักหน่อย สวี่ชีอันซุบซิบในใจ
ไฉซิ่งเอ๋อร์อึ้งไปทันที ซาบซึ้งจนน้ำตานองหน้า
“ขอบคุณฆ้องเงินสวี่ที่ไม่เอาชีวิต ขอบคุณฆ้องเงินสวี่ที่ส่งเสริมข้ากับคุณชายหลี่
ไม่มีอะไรน่าขอบคุณหรอก อีกครึ่งชีวิตที่เหลือของเจ้าไม่เป็นอิสระแล้ว…สวี่ชีอันเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ขณะนี้เขามองเห็นเกาะที่อยู่แสนไกลผ่านนกนางนวลทะเลที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า
แน่นอนว่าย่อมควบคุมปลาในทะเลให้ไปงับเหยื่อของมู่หนานจือและสะบัดใส่ใบหน้าของไป๋จีด้วย
มองเห็นมู่หนานจือเอามือเท้าเอวอย่างภาคภูมิใจ เพราะคิดว่าตนเองพอมีฝีมือการตกปลาอยู่บ้าง มองเห็นว่าหลังจากไป๋จีถูกสะบัดใส่สองสามทีแล้วก็หวาดกลัวปลาในทะเลมาก และไม่กล้าลงทะเลไปช่วยช้อนปลาที่ติดเบ็ดอีก
ทั้งหมดนี้เป็นรสนิยมชั่วร้ายส่วนตัวของเขา กลายเป็น ‘การเสพติด’ ชนิดหนึ่ง
ขณะนี้ มู่หนานจือกำลังนอนคว่ำหน้าซักผ้าเช็ดหน้าอยู่ตรงกราบเรือ
สวี่ชีอันนำกระจกเทพฮุ่นเทียนออกจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
“ไม่เลว เจ้าใส่ใจคำพูดของข้า ไม่ได้รบกวนข้านานแล้ว”
ดวงตาข้างเดียวที่มีขนาดใหญ่ปรากฏบนผิวกระจกสำริด
ไม่ ข้าก็แค่ยุ่งเกินไป…สวี่ชีอันกล่าวอย่างคนอีคิวสูง
“เจ้าเป็นของวิเศษ ฐานะไม่ธรรมดา ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ต้องให้ความเคารพ”
กระจกเทพฮุ่นเทียนดีใจมาก “มาถูกทางแล้ว มีเรื่องอันใด”
ระหว่างที่พูด ระลอกคลื่นที่ปรากฏบนผิวกระจกสะท้อนภาพออกมาภาพหนึ่ง นั่นคือร่องน้ำราวกับเหวลึกที่แกว่งไหวเบาๆ และเนินขาวสล้างที่ยั่วยวนผู้คน
สวี่ชีอันมองดูมู่หนานจือที่ก้มซักผ้าเช็ดหน้าอยู่ทีหนึ่งก่อนละสายตากลับมาจับจ้องกระจกเทพฮุ่นเทียน และกล่าวเหมือนกับนักเรียนดีที่ไม่เคยละสายตาไปจากกระดานดำในปีนั้น
“หมายความว่าอย่างไร”
กระจกเทพฮุ่นเทียนกล่าวเสียงทุ้ม
“ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะชอบ เสียดายที่ในนี้ไม่มีผู้ชาย มิเช่นนั้นเจ้าจะพอใจมากกว่านี้ นี่คือการตอบแทนความดีของข้า”
เจ้าน่ะสิมาถูกทาง อีกอย่างต้องให้ข้าอธิบายอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่ชอบผู้ชาย…สวี่ชีอันมองกระจกด้วยสายตาวิจารณ์ และกล่าว
“ใช้ความสามารถทำเรื่องต่ำทราม ไม่ใช่สิ่งที่ชายชาตรีพึงกระทำ อืม ต่อไปจะไม่สามารถถือเป็นตัวอย่างได้”
กระจกเทพฮุ่นเทียนกล่าวอย่างไม่พอใจ
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา ถ้าไม่มีก็ให้ข้ากลับไป อย่ารบกวนการเสวยสุขของข้า”
“ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร” สวี่ชีอันจ้องมองผิวกระจกด้วยตาทั้งคู่ที่เป็นประกายและกล่าวออกมา
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไร ข้าอยากอยู่เงียบๆ อืม คนเดียวสักครู่ ใช่สิ หากต่อไปมีพฤติกรรมเช่นนี้อีกข้าจะวิจารณ์เจ้า”
…
ท่ามกลางหุบเขาที่ว่างเปล่า เมฆที่มีแสงเรืองรองลอยเป็นเกลียวขึ้นไป เสียงสายน้ำไหลดังซ่าๆ
กระท่อมมุงจากสิบกว่าหลังตั้งอยู่ในหุบเขา นักบวชเต๋าไป๋เหลียนที่สวยสดงดงามและนุ่มนวลละมุนละไม พาบรรดาศิษย์มานั่งขัดสมาธิอยู่ริมลำธารเพื่อดูดซับพลังปราณในภูเขา
แมวสีส้มสี่ห้าตัวเล่นไล่กวดกันอยู่ในบ้านและสุมทุมพุ่มไม้
ศิษย์นิกายปฐพีย้ายมาที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว
ครึ่งปีมานี้ ภัยหนาวโหมซัดสาดในที่ราบกลาง ผู้ลี้ภัยกลายเป็นภัยพิบัติ สำหรับนิกายปฐพีที่บำเพ็ญบุญกุศลแล้ว ถือเป็นโอกาสดีที่สวรรค์มอบให้ นี่พูดแค่ในแง่ของสภาพแวดล้อมการบำเพ็ญเท่านั้น
ปัจจุบันนี้ ศิษย์นิกายปฐพีกว่าครึ่งหนึ่งวิ่งเต้นอยู่ข้างนอกเพื่อสร้างบุญกุศลสั่งสมบารมี ตบะของบรรดาศิษย์รุดหน้าอย่างก้าวกระโดด
แม้แต่นักบวชเต๋าไป๋เหลียนที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ขณะนี้ก็ย่างเข้าสู่ระดับสุดยอดของขึ้นสี่แล้ว ครึ่งปีก่อนนางอยู่ที่ระดับกลางของขั้นสี่เท่านั้น
หลังสิ้นสุดการดูดซับปราณที่จำเป็นต้องบำเพ็ญทุกวันแล้ว นักบวชเต๋าไป๋เหลียนที่นุ่มนวลละมุนละไมและดูเป็นผู้ใหญ่ก็ลืมตาขึ้นมองศิษย์ยี่สิบกว่าคน และกล่าวอย่างปลื้มปีติ
“อย่างช้าก็สองเดือน อย่างเร็วก็สิบวัน ในบรรดาพวกเจ้าก็มีคนที่ควรออกไปสร้างบุญกุศลสั่งสมบารมีแล้ว แต่ต้องจำใส่ใจอยู่เรื่องหนึ่ง การสร้างบุญกุศลสั่งสมบารมีต้องทำจากใจ ไม่ใช่เพราะทำเพราะอัตถประโยชน์หรือเพราะบำเพ็ญตบะ การสร้างกุศลกรรมเพื่อหวังกุศลกรรมนั้น จะถูกกฎแห่งกรรมสะท้อนกลับ เข้าใจหรือไม่”
บรรดาศิษย์ตอบรับเสียงดัง
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนพยักหน้า ขณะที่กำลังจะสอนต่อนั้นพลันได้ยินเสียงดัง ‘ตูม’ กระท่อมมุมจากที่อยู่ทางทิศใต้หลังหนึ่งระเบิดออกมา รัศมีแสงสวยวิจิตรตระการตาพุ่งขึ้นฟ้า
“ศิษย์พี่จินเหลียนทะลวงด่านแล้วหรือ!”
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนหันไปดูด้วยความตกใจระคนดีใจ
“อาจารย์อาจินเหลียนทะลวงด่านแล้ว”
บรรดาศิษย์มองดูด้วยความดีใจ
หันหน้ามองออกไป จะเห็นนักบวชเฒ่าผู้หนึ่งที่มีผมสีดำเต็มศีรษะกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ บนตัวมีแสงหลากสีเปล่งประกาย เป็นภาพที่สง่างามวิจิตรตระการตามาก ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมั่นคงและสงบสุข
แสงแห่งบุญกุศล
ชั่วเวลาสั้นๆ แสงสีทองก็ดับลง นักบวชเฒ่าค่อยๆ ร่วงลงมา
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนเดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าละมุนละไมเผยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่จินเหลียน ผมหงอกกลายเป็นดำ ดูท่าตบะคงเพิ่มพูนแล้ว”
ที่จริงแล้วสิ่งที่นางอยากพูดคือฟื้นฟูตบะแล้วส่วนหนึ่ง แต่เนื่องจากมีบรรดาศิษย์อยู่ข้างๆ จึงเปลี่ยนวิธีการพูด
นักบวชเต๋าจินเหลียนนั่งเงียบเป็นเวลานาน ไม่ได้ตอบกลับ
“ศิษย์พี่จินเหลียน?”
ไป๋เหลียนลองเรียกไปทีหนึ่ง
“ใช่แล้ว ข้าสำเร็จเป็นเทพเจ้าหยางเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์แล้ว”
จู่ๆ ก็มีเสียงของนักบวชเต๋าจินเหลียนดังขึ้นด้านหลัง
ไป๋เหลียนหันไปด้วยความประหลาดใจ เห็นเพียงแมวสีส้มที่งดงามและดูมีสง่าตัวหนึ่งกำลังเลียเขี้ยวเล็บอยู่ พอเห็นนางหันมามันรีบวางเขี้ยวเล็บลงทันที
“อะแฮ่ม!”
แมวสีส้มกระแอมไอแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ
“ระดับเหนือมนุษย์ช่างมหัศจรรย์เสียจริง ไม่คาดคิดว่าจะทำให้ข้าควบคุมจิตเดิมไม่ได้จนต้องมาสิงอยู่ในร่างของแมว”
บรรดาศิษย์เข้าใจในทันที
ที่แท้นักบวชเต๋าจินเหลียนเพิ่งเลื่อนสู่ระดับเหนือมนุษย์ใหม่ๆ ไม่อาจควบคุมพลังได้ ทำให้จิตเดิมออกจากร่างไปสิงอยู่ในร่างของแมว
นักบวชเต๋าจินเหลียนออกจากร่างของแมวกลับมาสู่กายเนื้อของตนและลืมตาขึ้น
“ข้าปิดด่านกักตนนานเท่าใดแล้ว” จินเหลียนถาม
“ครึ่งปีแล้ว” ไป๋เหลียนตอบ
จินเหลียนพยักหน้าช้าๆ ด้วยท่าทีสบายๆ “ช่วงนี้โลกภายนอกมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือไม่”
“ฆ้องเงินสวี่สังหารจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว”
“ฆ้องเงินสวี่สกัดกั้นกองทัพสามแสนของสำนักพ่อมดได้ด้วยดาบเล่มเดียว”
“ฆ้องเงินสวี่ก้าวสู่ระดับเหนือมนุษย์แล้ว”
“ฆ้องเงินสวี่สังหารเทพอารักษ์สองคนที่เจี้ยนโจว”
“เว่ยเยวียนตายแล้ว”
“อวิ๋นโจวก่อกบฏแล้ว”
“สำนักพุทธฉีกสัญญาพันธมิตรกับต้าฟ่ง”
“ภัยหนาวโหมซัดสาดในที่ราบกลาง ผู้ลี้ภัยกลายเป็นภัยพิบัติ กลายเป็นยุคที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟแล้ว”
บรรดาศิษย์พากันพูดไม่หยุด
“…” นักบวชเต๋าจินเหลียนฟังจนใบหน้าแข็งทื่อ เขาหันไปมองไป๋เหลียนด้วยสีหน้าซึมกะทือ และซักถามข้อสงสัย
“ข้าปิดด่านกักตนครึ่งปีจริงหรือ”
‘แน่ใจนะว่าไม่ใช่สิบปีขึ้นไป!’
…
เขตพรมแดนระหว่างเซียงโจวกับเจี้ยนโจว
หญิงสาวน่ารักที่สวมชุดกระโปรงสีเหลืองเดินอยู่บนถนนหลวงอย่างอ่อนช้อย
ฉู่ไฉ่เวยออกจากเมืองหลวงมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ได้เดือนกว่าแล้ว ลมพัดจนเอวของนางบางลง ความยากลำบากเหลาจนคางของนางแหลมขึ้น อาหารการกินง่ายๆ ทำให้อุปนิสัยประจำตัวของนางสุขุมขึ้น
เทียบกับความร่าเริงไร้เดียงสาก่อนออกจากเมืองหลวงแล้ว อุปนิสัยของฉู่ไฉ่เวยเปลี่ยนเป็นสุขุมขึ้นมาก ใบหน้าผอมลง ดวงตากลมโตกลับเป็นประกายมากขึ้น
อันดับแรก นางเดินเสาะแสวงหาอาหารชั้นเลิศของสถานที่แต่ละแห่งตาม ‘คู่มือรับประทาน’ ของสวี่ชีอัน
หลังจากนั้นก็เขียนจดหมายกลับเมืองหลวงไปบอกลี่น่ากับสวี่หลิงอินด้วยความสุขใจ
นานวันเข้า จดหมายที่นางเขียนน้อยลงทุกวัน รอยยิ้มบนใบหน้าก็น้อยลงเช่นกัน
การท่องเที่ยวหาประสบการณ์ก็เปลี่ยนจาก ‘คู่มือรับประทาน’ ไปเป็นไล่ตามภัยพิบัติ
“ศิษย์พี่หยาง ครั้งนี้พวกเราจะไปที่ไหนหรือ”
ในฐานะผู้ที่ถูกขับไล่จากสำนักโหราจารย์ ฉู่ไฉ่เวยทำได้แค่คิดตามหยางเชียนฮ่วนแล้ว
“ช่วงนี้ได้รับการติดต่อจากพี่น้องร่วมสาบาน ข้าอยากไปดูเขาสักหน่อย”
หยางเชียนฮ่วนเดินอยู่ข้างหน้าโดยทิ้งศิษย์น้องไว้ด้านหลัง
“ท่านมีพี่น้องร่วมสาบานตั้งแต่เมื่อไรกัน” ฉู่ไฉ่เวยกระพริบตาปริบๆ
“หลี่หลิงซู่ไง เทพบุตรนิกายสวรรค์หลี่หลิงซู่”
หยางเชียนฮ่วนกล่าว ”ข้าคิดแผนอันยอดเยี่ยมที่จะยับยั้งสวี่ชีอันได้แล้ว ตอนนี้ต้องไปแบ่งปันให้กับพี่น้อง ถือโอกาสดูด้วยว่าช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉู่ไฉ่เวยส่งเสียง “อ๋อ” แต่ในใจกลับนึกถึงเรื่องในก่อนหน้านั้นไม่นาน ศิษย์พี่หยางได้ยินว่าสวี่ชีอันสังหารเทพอารักษ์สำนักพุทธที่เจี้ยนโจว เขาก็อิจฉาจนต้องตีอกชกตัว และร้องไห้โหยหวนเป็นการใหญ่
หลังจากสืบดูอย่างละเอียดถึงรู้ศิษย์พี่ซุนก็ออกหน้าออกตาร่วมมือในเรื่องนี้ด้วย
ศิษย์พี่หยางตีอกชกตัวอีกครั้ง เขาชี้ฟ้าด่าด้วยความโกรธ ‘เจ้าคนพูดติดอ่างตัวเหม็นนั่นจะต้องฝืนใจอ่อนน้อมประจบสวี่ชีอันอย่างไร้ศักดิ์ศรี ถึงแลกมาด้วยโอกาสในการแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คน’
ศิษย์พี่หยางละอายต่อการกระทำของศิษย์พี่ซุนมาก
………………………………………