ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 713 แผนอันยอดเยี่ยมของหยางเชียนฮ่วน
บทที่ 713 แผนอันยอดเยี่ยมของหยางเชียนฮ่วน
หลังจากสองศิษย์พี่ศิษย์น้องเดินไปพลางพูดคุยไปพลางจนผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็เลี้ยวออกจากเส้นทางแคบเปล่าเปลี่ยวเข้าสู่ถนนหลวง
ถนนหลวงคึกคักขึ้นมาทันที ไม่ใช่ความคึกคักตามปกติทั่วไป แต่ทั้งสองข้างทางของถนนหลวงมีผู้ลี้ภัยมารวมกันจำนวนมาก
พวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บ้างก็พยายามขุดรากต้นไม้ใบหญ้า บ้างก็นั่งเหม่อลอย บ้างก็นอนหายใจรวยรินอยู่บนกองหญ้าแห้ง
ท่ามกลางฝูงชนยังมีกระโจมโกโรโกโสอยู่เป็นหลังๆ
‘สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองมาก พวกเขามารวมตัวอยู่ที่นี่ทำไม ทั้งยังไม่มีของกินด้วย…’ ฉู่ไฉ่เวยเห็นแล้วก็ฉงน
ขณะที่นางละสายตาไปมองหยางเชียนฮ่วนที่อยู่ด้านหน้านั้น ก็เห็นว่าเขาสวมหมวกคลุมใบหนึ่งแล้ว ผ้าที่ย้อยลงมาคลุมไม่ใช่ผ้าบางๆ แต่กลับเป็นผ้าฝ้ายหนาๆ จอมยุทธ์ระดับเหนือมนุษย์ยังมองผ้าฝ้ายชนิดนั้นไม่ทะลุเลย
“ท่านแม่ ข้าหิวจัง…”
เด็กชายอายุราวๆ หกเจ็ดขวบที่อยู่ริมถนนม้วนตัวอยู่ในอ้อมกอดของมารดา
ทั้งสองแม่ลูกผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาก็สกปรกมอมแมม ผอมจนเหลือแต่กระดูก
“ทนอีกสักพัก ทนอีกสักพักก็ไม่หิวแล้ว”
แม่ที่ยังสาวกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมกอด ขณะที่ตัวสั่นเทิ้มท่ามกลางลมหนาวนั้น นางก็พูดไปด้วย “รอเจ้าหลับแล้วก็ไม่หิวแล้ว…”
แม่ยังสาวมีรอยฟกช้ำหลายแห่งบนใบหน้า บริเวณข้อมีมือมีเลือดสีแดงเข้ม ริมฝีปากซีดขาวราวกับได้รับบาดเจ็บ
แววตาของฉู่ไฉ่เวยสะท้อนภาพสีหน้าจนใจและไร้ความรู้สึกของหญิงสาว และสะท้อนภาพการเฝ้าปรารถนาอาหารและความหวาดกลัวต่อความหิวโหยของเด็กชาย
นางก้าวไปย่อตัวลงตรงหน้าสองแม่ลูกอย่างช้าๆ และหยิบหมั่นโถวสองลูกที่ห่อด้วยกระดาษไขวัวออกจากถุงหนังกวางที่ห้อยอยู่บนเอว
ชั่วพริบตาเดียว ดวงตาที่มีเส้นเลือดแดงก่ำแต่ละคู่ก็มองเข้ามา มันเปล่งแสงที่ยากจะอธิบายออกมาได้ น่ากลัวจนดูเหมือนไม่ใช่แววตาของมนุษย์
หญิงสาวรับหมั่นโถวและเขย่าลูกน้อยที่นอนสะลึมสะลืออยู่ จากนั้นก็พูดเร่งเร้า
“รีบกิน รีบกิน…”
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่นางยัดหมั่นโถวเข้าปาก ก็หยิบหินที่ฝนจนแหลมคมที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา นางใช้สายตาดุร้ายกวาดมองผู้ลี้ภัยรอบด้านที่กลืนน้ำลายด้วยความกระหายอยากจะลอง
ในระหว่างนั้นนางก็เร่งให้ลูกชายรีบกินอยู่ไม่หยุด
ฉู่ไฉ่เวยเห็นเด็กชายสำลักจนตาขาวมองบน นางก็รีบหยิบถุงน้ำยื่นไปให้และกล่าวเบาๆ
“ค่อยๆ ดื่มน้ำหน่อย”
ขณะที่เด็กชายดื่มน้ำนั้น ฉู่ไฉ่เวยก็มองหญิงสาวและถามขึ้นมา
“พวกเจ้ามารวมตัวอยู่ที่นี่ทำไม”
จากสิ่งที่นางได้เห็นและได้ยินมา การดำรงชีวิตของผู้ลี้ภัยมีสามรูปแบบ รูปแบบแรกคือกลายเป็นพลพรรคของโจร ปล้นสะดมบ้านประชาชนคนอื่นๆ เหมือนกับตั๊กแตนผ่านแดน และประชาชนที่ถูกปล้นสะดมก็กลายเป็นผู้ลี้ภัย มีขนาดมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกรูปแบบคือติดอยู่นอกเมือง อาศัยการบริจาคทานจากราชสำนักในการประทังชีพ หรือหาของที่กินได้ตามทุ่งกว้างและป่าเขา
อีกรูปแบบคือสมัครเป็นทหาร กลายเป็นทหารบ้าน
สถานการณ์แบบสุดท้ายนี้มีคนเลือกน้อยสุด ประการแรกคือเสบียงของราชสำนักมีจำกัด เลี้ยงดูทหารบ้านมากเกินไปไม่ได้ ประหารที่สองคือชิงโจวกำลังทำสงครามอยู่ กลายเป็นทหารบ้านแล้วจะถูกส่งไปทำศึกที่ชิงโจวอย่างรวดเร็ว
และผู้ลี้ภัยที่รวมตัวกันที่นี่ ข้างหน้าก็ไม่ติดหมู่บ้านข้างหลังก็ไม่ติดกับร้านค้า นั่งรอความตายท่ามกลางลมหนาวหรือ
หญิงสาวกัดหมั่นโถวไปสองคำก็ไม่กินต่อแล้ว นางกำมันไว้ในมือและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“ห่างออกไปด้านหน้าหกลี้มีเขาอยู่ลูกหนึ่ง บนภูเขามีจอมโจรภูเขา พวกเขามักจะออกไปปล้นสะดมสิ่งของอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ปล้นกลับมาได้ก็ให้คนมาส่งของกินให้จำนวนหนึ่ง”
หญิงสาวเห็นลูกน้อยกินหมั่นโถวหมดแล้ว ก็ยื่นชิ้นที่อยู่บนมือให้
“กินเถอะ…”
นางมองฉู่ไฉ่เวยอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วกล่าววิงวอนเบาๆ
“แม่นาง ท่านพาลูกของข้าไปได้หรือไม่”
ฉู่ไฉ่เวยอึ้งไปทันที นางย่อมไม่สามารถพาเด็กคนหนึ่งไปด้วยได้ เจ้าเด็กนี่ดูๆ แล้วมีอายุพอๆ กับสวี่หลิงอิน แต่ผอมแห้ง ขี้ขลาดและอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเลี้ยงสวี่หลิงอินง่ายกว่า
อีกอย่างนางเป็นคนที่ถูกสำนักโหราจารย์ขับไล่ด้วย ออกมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปทั่วทิศ ไหนเลยเด็กที่ร่างกายอ่อนแอจะทนลำบากกับการวิ่งเต้นไปทั่วได้
ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ พลันได้ยินเสียงวิงวอนของหญิงสาว
“ข้าใกล้จะปกป้องเขาไม่ไหวแล้ว สายตาที่คนเหล่านั้นมองดูเขาดูแปลกขึ้นทุกวัน เมื่อคืนมีคนแอบเอาลูกข้าไปเงียบๆ ยังดีที่ข้าตื่นขึ้นมาทัน จึงสู้ตายกับพวกเขา…”
ฉู่ไฉ่เวยเข้าใจในทันทีว่ารอยฟกช้ำบนใบหน้ากับรอยเลือดสีแดงเข้มบนมือข้อมือของนางเกิดขึ้นได้อย่างไร
ชั่วขณะนี้ ฉู่ไฉ่เวยเกือบหายใจไม่ออก
นางลุกขึ้นมองไปทางถนนหลวงด้านหน้า เห็นกองทหารม้าห้อตะบึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว หัวหน้าเป็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งที่สวมกระโปรงสีดำ ตาโตคิ้วเข้ม บุคลิกห้าวหาญ
“ฮือฮา…”
บรรดาผู้ลี้ภัยที่ซบเซามี ‘ชีวิตชีวา’ ขึ้นมาในพริบตา ครู่เดียวก็ลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินไปใกล้กองทหารม้า
‘ป้าบ!’
หญิงสาวกระโปรงดำหวดแส้ม้าบีบให้ผู้ลี้ภัยที่กรูเข้ามาให้ถอยออกไป และประณามเสียงดัง
“เข้าแถวดีๆ ใครกล้าพุ่งเข้ามา แม่จะฟาดให้ตายเลย”
บรรดาผู้ลี้ภัยไปเข้าแถวอย่างสงบ ดูเหมือนจะหวาดกลัวนางมาก
บรรดาทหารม้าพลิกตัวลงจากม้า ในมือแต่ละคนต่างก็ถือถุงผ้าหนึ่งใบ ในถุงผ้ามีหมั่นโถวบรรจุอยู่ และแจกให้คนละลูก
ขณะที่ผู้ลี้ภัยแต่ละคนรับของกินไปแล้ว ถุงผ้าก็ว่างเปล่าไปด้วย
หญิงสาวกระโปรงดำนั่งอยู่หลังม้า นางสังเกตดูหยางเชียนฮ่วนกับฉู่ไฉ่เวยก่อนกล่าว
“ดูจากการแต่งตัวของพวกเจ้าไม่เหมือนประชาชนผู้ประสบภัย เป็นคนที่ไหนล่ะ”
ขณะที่ฉู่ไฉ่เวยกำลังจะพูด ก็เห็นหยางเชียนฮ่วนลอยขึ้นกลางอากาศ เขาหันหลังกับฝูงชน และค่อยๆ กล่าวออกมา
“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา หากฟ้าไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”
บรรดาฝูงชนรวมถึงผู้ลี้ภัย ณ ที่แห่งนั้นต่างก็ตกตะลึงปากอ้าตาค้างด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง
หญิงสาวกระโปรงดำมีสีหน้าหวาดกลัว ไม่กล้าบุ่มบ่าม นางจึงกล่าวเสียงทุ้ม
“ท่านมาที่นี่มีเป้าหมายอันใด”
นางแอบกุมดาบไว้แน่น
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ทางการยังเคยส่งทหารไปโจมตีภูเขาเพื่อทำลายรังของพวกเขา
แม้จะบอกว่าถูกโจมตีจนร่นถอยออกไปในตอนท้าย แต่คุณชายหลี่คาดการณ์อย่างมั่นใจว่าทางการจะไม่รามือเพียงเท่านี้ ในช่วงจังหวะที่สำคัญเช่นนี้พลันมีบุคคลลึกลับที่มีตบะไม่ธรรมดาผู้หนึ่งโผล่ออกมา มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นยอดฝีมือที่ราชสำนักส่งมา
หยางเชียนฮ่วนกล่าวอย่างช้าๆ
“ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนหลี่หลิงซู่สหายของข้า พวกท่านเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”
…
พระอาทิตย์ที่ดูอบอุ่นลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่กลับไม่ให้ความอบอุ่นใดๆ เลย ค่ายภูเขาที่ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการถูกโจมตีนี้มีควันลอยอ้อยอิ่ง
ชายสวมชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ ขาดๆ คนหนึ่งหิ้วตะกร้าไม้ไผ่เดินมาถึงป้อมที่อยู่ตรงปากทางเข้าค่ายภูเขา และตะโกนออกมา
“ลงมากินข้าวได้แล้ว”
“รับทราบ…”
บนป้อมสังเกตการณ์ คนที่รับผิดชอบสังเกตดูสถานการณ์ตอบรับไปทีหนึ่ง จู่ๆ เขาก็กล่าวด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ หัวหน้าที่สี่กลับมาแล้ว ทำไมถึงพาคนกลับมาเยอะขนาดนั้น”
หญิงสาวกระโปรงดำฟาดแส้เร่งม้าเร็วมาถึงด้านนอกค่ายภูเขา และทำสัญลักษณ์ที่แสดงว่า ‘กลับมาอย่างปลอดภัย’ ให้กับผู้พิทักษ์บนป้อมสังเกตการณ์
ประตูค่ายค่อยๆ เปิดออก
“หัวหน้าที่สี่ ทำไมท่านถึงพาผู้ลี้ภัยที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้นกลับมาด้วย
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งก้าวไปจูงม้าอย่างกระตือรือร้น ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็มองหญิงสาวกระโปรงเหลืองที่อยู่ด้านหลังไม่หยุด
ดวงตาขนาดใหญ่ ใบหน้ารูปไข่ที่ดูผอมเล็กน้อย องคาพยพทั้งห้าที่ประณีตละเอียดอ่อน เป็นสาวงามที่พบเจอได้ยากเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวกระโปรงดำกล่าวเรียบๆ
“คนเหล่านี้ไม่ใช่คนของพวกเรา จัดการที่พักอย่างง่ายๆ ให้ไปก่อนเถอะ”
หลังจากอธิบายอย่างเรียบง่ายไปประโยคหนึ่งแล้ว นางก็พลิกตัวลงจากม้าและพาฉู่ไฉ่เวยเดินไปด้านใน
ตลอดทางที่เดินขึ้นด้านบน ผ่านบ้านไม้และบ้านดินแต่ละหลังที่ดูโกโรโกโส พอพวกเขามาถึงเป้าหมายก็ยังเป็นบ้านดินอยู่ แต่ด้านนอกมีรั้วเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชั้น
หญิงสาวกระโปรงดำตะโกนเสียงดัง
“คุณชายหลี่ ออกมาหน่อย มีคนมาหาท่าน”
ชั่วขณะหนึ่ง มีคนสามคนเดินออกมาจากในบ้าน คนที่อยู่ตรงกลางรูปงามไร้ที่ติ ดูสง่างามภูมิฐาน เป็นคุณชายผู้งดงามในโลกมนุษย์ผู้หนึ่ง
ทางด้านขวาเป็นหญิงสาวงดงามที่สวมกระโปรงสีขาว ดูสุภาพงดงาม ทางด้านซ้ายเป็นหญิงสาวชุดม่วง มีผิวขาวบริสุทธิ์ ดวงตาสดใส
ล้วนเป็นหญิงสาวที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากหญิงสาวกระโปรงขาวกับหญิงสาวชุดม่วงมองเห็นฉู่ไฉ่เวยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาดูระแวดระวังขึ้นมา
“แม่นางไฉ่เวย!”
หลี่หลิงซู่ที่ได้ติดต่อกับหยางเชียนฮ่วนตั้งนานแล้วไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เขามองซ้ายแลขวาก่อนกล่าว
“พี่หยางล่ะ”
ขณะนั้นเอง เสียงของหยางเชียนฮ่วนที่ดูราวกับเป็นเสียงท่องก็ดังมาจากกระเบื้องมุงหลังคา
“หากฟ้าไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”
ฝูงชนหันไปมอง บนกระเบื้องสีดำมีชายชุดขาวยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ชายเสื้อโบกสะบัดตามลม
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวกระโปรงขาวกับหญิงสาวชุดม่วงที่ไม่รู้เบื้องหลังเกิดความเคารพนับถือ คิดว่าเป็นยอดฝีมือที่มาจากภายนอก
แม้แต่หญิงสาวกระโปรงดำที่เคยได้ยินบทกลอนสองประโยคนี้มาก่อน ก็ยังคงมีสีหน้าตกตะลึง
หลี่หลิงซู่พูดกับหญิงสาวทั้งสาม
“ข้าแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักสักหน่อย ท่านนี้คือหยางเชียนฮ่วนจากสำนักโหราจารย์ พวกเราเรียกศิษย์พี่หยางก็พอ เขาเป็นศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์”
จากนั้นก็แนะนำหญิงสาวทั้งสาม
หญิงสาวกระโปรงขาวชื่อ ‘จ้าวซู่ซู่’ บิดาเป็นนายอำเภอ หญิงสาวชุดม่วงชื่อ ‘อวี้หานซิ่ว’ บิดาเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลยุทธภพบางแห่งในพื้นที่ หญิงสาวกระโปรงดำชื่อ ‘หลานหลาน’ เล่าเรียนมาจากสำนักพลิกเมฆาในเซียงโจว มีตบะระดับหลอมวิญญาณ
“ซู่ซู่เชี่ยวชาญวิชาคำนวณ สามารถช่วยข้าทำบัญชีดูแลครอบครัวได้ ควบคุมค่าใช้จ่ายของทั้งค่าย แต่ก่อนซิ่วเอ๋อร์ช่วยพ่อของนางฝึกฝนอยู่บ่อยๆ ควบคุมคนจำนวนมากในสำนัก ระเบียบในค่ายล้วนอาศัยนางทั้งหมด หลานเอ๋อร์มีตบะสูงสุด รับผิดชอบติดตามข้าออกไปปล้นเจ้าบ้าน”
หลี่หลิงซู่กล่าว “เมี่ยวเจินพูดถูก ข้าไม่ใช่คนที่สามารถนำทหารออกศึกได้ นางสอนข้าก็เรียนรู้ไม่ได้ ดีที่บุพเพสันนิวาสแห่งรักที่ข้ารู้จักมีคนมากความสามารถมากมาย”
หยางเชียนฮ่วนอัดอั้นมาครึ่งค่อนวัน ก็พ่นออกมาประโยคหนึ่ง
“สมกับเป็นเจ้าจริงๆ!”
หลี่หลิงซู่โบกไม้โบกมือเชิญหยางเชียนฮ่วนกับฉู่ไฉ่เวยเข้าไปดื่มชาในบ้าน และกล่าวขึ้นมา
“ทำไมพวกเจ้าถึงมาที่นี่ได้ มีเรื่องสำคัญต้องจัดการหรือ”
หยางเชียนฮ่วนที่สวมหมวกคลุมนั่งหันหลังให้กับผู้คนอย่างเงียบกริบ
ฉู่ไฉ่เวยกล่าว
“เพื่อที่จะให้ตนเองมีหน้ามีตากว่าสวี่ชีอัน ศิษย์พี่หยางวางแผนจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของสำนักโหราจารย์ ทำให้ศิษย์พี่ซ่งไม่พอใจจึงร้องเรียนเขา ดังนั้นพวกเราจึงถูกอาจารย์โหราจารย์ขับไล่ออกมา”
หลี่หลิงซู่อัดอั้นมาครึ่งค่อนวัน ก็พ่นออกมาประโยคหนึ่ง
“สมกับเป็นเจ้าจริงๆ!”
“เช่นนั้นเหตุใดแม่นางไฉ่เวยถึงออกมาด้วยล่ะ เหตุใดเจ้าต้องเข้าร่วมด้วย”
ฉู่ไฉ่เวยกล่าวด้วยความลำบากใจ
“รับของกินของคนอื่น ทำธุระแทนคนอื่น ศิษย์พี่หยางเลี้ยงข้าวข้าน่ะสิ”
‘สมกับเป็นเจ้าจริงๆ…’ หลี่หลิงซู่แขวะอยู่ในใจ
ขณะนี้ หยางเชียนฮ่วนกล่าวออกมา
“ข้าพากลุ่มผู้ลี้ภัยที่พบเจอระหว่างทางกลับมาด้วยแล้ว วางแผนจะรวบรวมผู้ลี้ภัย ครอบครองภูเขาเป็นราชาเหมือนกับเจ้า ทางด้านเสบียงนั้นข้าจะจัดการเอง แต่พวกเขาต้องซุกหัวนอนอยู่ในค่ายของพี่หลี่ชั่วคราว”
หยางเชียนฮ่วนกับฉู่ไฉ่เวยพาประชาชนผู้ประสบภัยเหล่านั้นมาด้วยกัน
หลี่หลิงซู่มองจ้าวซู่ซู่ที่ดูแลค่าใช้จ่ายทีหนึ่ง พอเห็นนางพยักหน้าก็กล่าวตอบรับทันที
“คุยกันได้ คุยกันได้ ด้วยหนังสือเคลื่อนย้ายที่ลึกลับของพี่หยาง ปล้นคลังเสบียงของคนรวยที่ไม่มีความเมตตาเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”
หยางเชียนฮ่วนส่ายหน้า
ข้าไม่ปล้นสะดม อยากได้เสบียงก็ไปซื้อโดยตรง”
จ้าวซู่ซู่ได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
“ศิษย์พี่หยาง นี่ไม่ค่าใช้จ่ายน้อยๆ เลยนะ ตอนนี้เสบียงขึ้นราคา…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินฉู่ไฉ่เวยพูดขึ้นมา
“ตอนที่พวกเราออกจากสำนักโหราจารย์นั้น อาจารย์โหราจารย์ได้ให้เงินพวกเราคนละห้าหมื่นตำลึง”
หลี่หลิงซู่ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง “ห้าหมื่นตำลึงเงินหรือ ท่านโหราจารย์ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง…”
ฉู่ไฉ่เวยส่ายหน้า
“เป็นตำลึงทอง”
‘ฆ่าคนชิงทรัพย์เถอะ…’ หลี่หลิงซู่พูดในใจ
หยางเชียนฮ่วนกล่าวเสียงทุ้ม
“เป้าหมายของข้าในครั้งนี้ นอกจากทนความยากลำบากของประชาชนไม่ได้จนต้องยื่นมือเข้าช่วยแล้ว เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือหวังจะรวบรวมจนกลายเป็นกลุ่มอิทธิพล และกลายเป็นกองทัพใหญ่ที่ไม่อาจดูแคลนได้”
“จากนั้นก็ไปทำสงครามที่ชิงโจวหรือ ดูท่าพี่หยางจะเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับข้า” หลี่หลิงซู่ทอดถอนใจกล่าว
‘…’ หยางเชียนฮ่วนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว
“นี่ย่อมเป็นหนึ่งในเป้าหมาย นอกจากนี้ ที่จริงนี่คือแผนการที่คิดออกมาเพื่อยับยั้งสวี่ชีอัน”
แม้ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่สามารถใช้วิธีการนี้ยับยั้งสวี่ชีอันได้ แต่พอหลี่หลิงซู่ได้ยินคำว่า ‘ยับยั้งสวี่ชีอัน’ ทั้งห้าคำนี้ ในใจก็รู้สึกเป็นสุข จึงรีบถามขึ้นมา
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”
หยางเชียนฮ่วนกล่าวเรียบๆ
“สวี่ชีอันเจ้าสุนัขชั่วผู้นี้อาศัยการประจบประแจงประชาจนเป็นจุดสนใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าข้าจะตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน ช่างทำให้รู้สึกท้อแท้ใจเสียจริง”
‘คู่คิดรู้ใจของเขาแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ช่างทำให้รู้สึกท้อแท้ใจเสียจริง…’ หลี่หลิงซู่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก “เฮ้อ พี่หยางเข้าใจข้าเสียจริง”
หยางเชียนฮ่วนยังคงมีน้ำเสียงสงบ เพราะมีความมั่นใจ
“แต่ช่วงนี้จู่ๆ ข้าก็มีแผนการอันยอดเยี่ยมแผนหนึ่ง เพียงแค่สำเร็จก็ทำให้ชื่อทั้งสามคำของหยางเชียนฮ่วนปิดทับชื่อของสวี่ชีอันได้”
………………………………………