ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 715 ความลับของจุดจบเทพปีศาจ
บทที่ 715 ความลับของจุดจบเทพปีศาจ
ไหมอเวจีในเวลานี้ได้กลับคืนสู่วัยหนุ่มสาว มันมีรูปลักษณ์ราวกับสตรีที่งดงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ไม่แก่โทรมและดวงตาดุดันเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เมื่อถูกดวงตาดั่งอัญมณีสีดำจ้องมองมาอย่างใจจดใจจ่อแล้ว มู่หนานจือก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางจึงขมวดคิ้วและหลบอยู่ที่ด้านหลังสวี่ชีอัน
มันคงไม่สามารถมองเห็นตัวตนของหนานจือได้กระมัง ไม่สมเหตุสมผลเลย สร้อยข้อมือที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบให้สามารถปกปิดลมหายใจได้ แม้แต่โหรก็ยังมองไม่ออก…สวี่ชีอันขมวดคิ้วพลางออกแรงบีบเจิ้นกั๋วเจี้ยนที่อยู่ในมือเล็กน้อย
ได้ไหมอเวจีมาอยู่ในมือแล้ว ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากต่อสู้กับสัตว์ประหลาดระดับบรรลุธรรม
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าหลิงอวิ้นของเทพดอกไม้นั้นมีพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งมากต่อระบบผู้บำเพ็ญกายเนื้อ
ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะควบคุมเจดีย์พุทธะ นำมู่หนานจือและจิ้งจอกขาวน้อยเก็บเข้าไปในนั้น ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างใหญ่ของไหมอเวจีสั่นเทา ดูเหมือนแสงอันรุ่งโรจน์ในดวงตาอัญมณีสีดำค่อยๆ พังลงทีละชั้น เช่นเดียวกับรูม่านตาของมนุษย์ที่หดตัวอย่างรุนแรง
ใบหน้าอันงดงามของนางแสดงความตื่นเต้นและประหลาดใจสุดขีดพลางกรีดร้องดังลั่น “กานมู่ เป็นลมหายใจของกานมู่”
เมื่อเห็นไหมอเวจีปั่นป่วนขึ้นมากะทันหัน แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณของการโจมตี สวี่ชีอันจึงหยุดการกระทำของตนเองและมองไปที่อ้อมแขนของมู่หนานจือ “มันพูดอะไร?”
ไป๋จีกล่าวเสียงหวาน “มันบอกว่าท่อนไม้น่ากิน”
? เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในจิตใจของสวี่ชีอันและมู่หนานจือพร้อมๆ กัน สวี่ชีอันคิดในใจว่า ผีที่เป็นตัวละครในอุดมคติของโลกอื่นเป็นผีแบบใดกัน
ส่วนมู่หนานจือก็คิดในใจว่า ข้ากลายเป็นท่อนไม้ตั้งแต่เมื่อใดกัน และยังเป็นของน่ากินอีกด้วย
สวี่ชีอันขมวดคิ้วเล็กน้อยและสั่งการว่า “ไป๋จี ถามมันสิว่าท่อนไม้น่ากินหมายความว่าอะไร”
ไป๋จีส่งเสียงแหลมแปลกประหลาด
ไหมอเวจีได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวอธิบายว่า “กานมู่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ต้นไม้เทพอมตะ มันเติบโตบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินจิ่วโจว มีความสูงเป็นพันจั้งพุ่งตรงไปบนท้องฟ้า น้ำของมันเปรียบเสมือนเลือดที่สามารถกลั่นยาอมตะได้ หากคนธรรมดาบริโภคเข้าไปก็จะยืดอายุได้ถึงแปดร้อยปี ส่วนบนของมันทอดยาวเหยียดออกไปสิบลี้ มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะอาศัยอยู่บนนั้น บรรพบุรุษของข้าเองก็อาศัยอยู่บนต้นไม้อมตะ บริโภคกิ่งและใบของมันเป็นอาหาร”
หลังจากไป๋จีแปลแล้ว สวี่ชีอันก็อดที่จะหันไปมองมู่หนานจือไม่ได้ เขาคิดในใจว่า เจ้าเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดไม่ใช่รึ ทำไมถึงได้เกี่ยวข้องกับต้นไม้เทพอมตะได้
ไหมอเวจีกล่าวต่อไปว่า “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเคยติดตามบรรพบุรุษไปสักการะต้นไม้เทพอมตะ บำเพ็ญเพียรอยู่บนส่วนยอดของมันนับร้อยปี ใบไม้ที่หวานอร่อยนั้น จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังจำได้ดี ต่อจากนั้น เมื่อยุคปีศาจสิ้นสุดลง ในฐานะที่ต้นไม้เทพอมตะเป็นเทพปีศาจโดยกำเนิด มันจึงเหี่ยวเฉาไปในมหันตภัยนั้นเช่นกัน”
ในขณะที่กล่าว มันก็แสดงความคะนึงถึงและหลงใหลออกมา
ทันทีที่ไป๋จีแปลเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็ร้อนใจจนอดที่จะถามไม่ได้
“รีบถามมันเร็วเข้า เทพปีศาจสิ้นชีพได้อย่างไร ต้นไม้เทพอมตะและน้าของเจ้ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
ไป๋จีตีความตามความเป็นจริง “เทพปีศาจสิ้นชีพได้อย่างไร?”
ไหมอเวจีแสดงท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อย ราวกับแม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่เรื่องราวในตอนนั้นก็ยังคงทำให้มันหวาดกลัว “มีวันหนึ่ง จู่ๆ เทพปีศาจก็คลุ้มคลั่งและลงมือสังหารกันเอง ความวุ่นวายครั้งนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก แผ่นดินจิ่วโจวถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง แผ่นดินในยุคสมัยโบราณกว้างใหญ่กว่าตอนนี้หลายเท่านัก เทพปีศาจที่แข็งแกร่งเหมือนเทพกู่นั้นก็มีน้อยมาก แต่พวกเขาทั้งหมดก็ตายท่ามกลางความวุ่นวายนั้น หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะมีเพียงเทพกู่เท่านั้นที่รอดตาย ลูกหลานเทพปีศาจของพวกเราก็ได้รับผลกระทบและตายในความวุ่นวายครั้งนั้นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน”
ที่แท้ฉากที่ข้าเห็นเทพปีศาจล้มตายในตอนนั้น ไม่ใช่มีคนลงมือสังหารเทพปีศาจ แต่เป็นการฆ่ากันเองของเทพปีศาจงั้นรึ?
เทพกู่ยังดำรงอยู่ได้ เพราะอยู่ในขั้นเหนือกว่า ความจริงในกลุ่มเทพปีศาจก็ไม่ได้ขาดแคลนการมีอยู่ของระดับนี้ ข้าสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ แต่ทำไมจู่ๆ เทพปีศาจถึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้?
ในสมองของสวี่ชีอันส่งเสียงดัง ‘หึ่ง หึ่ง’ เขาทั้งย่อยข้อมูลและกระจายความคิดในเวลาเดียวกันเพื่อเริ่มการวิเคราะห์
“คลุ้มคลั่งได้อย่างไร?” สวี่ชีอันกล่าวแล้วก็หันไปมองไป๋จี
“ทำไมถึงบ้าคลั่งขึ้นมาล่ะ” ไป๋จีใช้ภาษาปีศาจถามด้วยความสงสัย
“ข้าไม่รู้ เพียงแค่คลุ้มคลั่งขึ้นมากะทันหันโดยไม่มีเหตุผล บรรพบุรุษของข้าก็คลุ้มคลั่งและกระโดดเข้าร่วมสงครามโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด” ไหมอเวจีส่ายศีรษะ
เวลานี้ ในที่สุดสวี่ชีอันก็วิเคราะห์เบาะแสบางอย่างออกและถามว่า “เจ้าบอกว่าจู่ๆ เหล่าเทพปีศาจก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา เช่นนั้นทำไมพวกเจ้าที่มีสายเลือดของเทพปีศาจกลับไม่คลุ้มคลั่งเล่า? พวกเจ้าหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร?”
ไหมอเวจีมองไปที่ไป๋จี หลังจากฟังเสียงของเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจบแล้ว มันก็ตอบกลับว่า “ในตอนแรก พวกเราผู้สืบสายเลือดแห่งเทพปีศาจไม่รู้สาเหตุของความวุ่นวาย แต่เมื่อยุคเทพปีศาจสิ้นสุดลง โลกสงบสุข เหล่าทายาทของเทพปีศาจก็พยายามค้นหาความจริง จนถึงขนาดละทิ้งความแค้นในอดีตและหารือร่วมกัน ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่ สาเหตุที่เทพปีศาจเกิดอาการคลุ้มคลั่ง อาจจะเป็นเพราะพวกเขาเป็นเทพปีศาจโดยกำเนิดจากสวรรค์ แต่ผู้สืบสายเลือดอย่างพวกเรากำเนิดขึ้นมาหลังจากนั้น แม้ว่าจะสืบสายเลือดจากเทพปีศาจ แต่ก็ไม่ได้เพียบพร้อมไปด้วยหลิงอวิ้นของเทพปีศาจ”
มันหันไปมองมู่หนานจือและกล่าวอีกว่า “อย่างเช่นต้นไม้เทพอมตะ รากของพระองค์สามารถปลูกต้นไม้เทพที่มีสรรพคุณทางยาได้ แต่ต้นไม้เทพเหล่านั้นมีอายุขัยที่จำกัด ไม่สามารถฟื้นจากความตายได้ เพราะพวกมันไม่มีหลิงอวิ้นของต้นไม้อมตะ บรรพบุรุษของข้าเคยบอกว่า ต้นไม้อมตะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตายได้ ดูเหมือนตอนนี้บรรพบุรุษจะไม่ได้โกหกข้า ถึงแม้ตอนนั้นต้นไม้เทพอมตะจะเหี่ยวเฉาลงท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ตอนนี้พระองค์ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว”
ไป๋จีกล่าวขัดจังหวะเสียงแหลม “เจ้าหยุดสักครู่ เนื้อหามากมายเช่นนั้น ประเดี๋ยวข้าจะลืมเสียหมด”
ไป๋จีรีบแปลคำพูดของไหมอเวจีอย่างรวดเร็ว มู่หนานจือที่ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน
นางรู้ว่าตนเองเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิด ในยุคสมัยต้าโจว จักรพรรดิหลงใหลในเทพดอกไม้มาก จึงส่งกองกำลังทหารออกไปจับเทพดอกไม้กลับวัง แต่เทพดอกไม้จุดไฟเผาตัวเอง ยอมตายดีกว่ายอมจำนน
แต่นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเทพดอกไม้ในอดีตนั้นจะยังมีตัวตนอีกชั้นหนึ่ง
ข้าก็นึกสงสัยว่าลักษณะพิเศษของเทพดอกไม้กับหลิงอวิ้นที่ไม่ธรรมดาของนางนั้นมีความเหนือกว่าปีศาจอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเทพปีศาจกลับชาติมาเกิดในสมัยโบราณกาล เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว นับว่าไขข้อข้องใจของข้าไปอีกข้อหนึ่ง…สวี่ชีอันหันไปมองไป๋จี “ถามมัน ต้นกำเนิดความคลุ้มคลั่งของเทพปีศาจคืออะไร?”
ไหมอเวจีส่ายศีรษะเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ แต่ว่ามีคนหนึ่งที่อาจจะรู้ หลังจากนั้นหลายปี เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็ผุดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์ ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาคนแรกสามารถเทียบได้กับเทพกู่และมังกรที่ยังดำรงอยู่ เขาขับไล่พวกเราทั้งหมดออกไปจากแผ่นดินจิ่วโจว ข้าไม่อยากเดินทางไกล จึงอาศัยอยู่บนเกาะลูกนี้เรื่อยมา วันเดือนหมุนเวียนสับเปลี่ยน ไม่สามารถนับกาลเวลาได้อีกต่อไป”
“พวกเจ้ากินมารดาของปรมาจารย์เต๋าใช่หรือไม่” สวี่ชีอันพูดแขวะ
“พวกเจ้ากลืนมารดาของปรมาจารย์เต๋าลงไปหรือไม่” จิ้งจอกตัวน้อยแปลคำพูด
“เฮ้ ประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องแปล” สวี่ชีอันโบกมือปฏิเสธ
“อาจมีใครกินมารดาของเขาไปกระมัง แต่ข้าคิดว่าคนคนนั้นจะต้องรู้ความลับที่เทพปีศาจเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างแน่นอน เขากลัวว่าทายาทของเทพปีศาจแห่งจิ่วโจวจะส่งผลกระทบต่อเขา เขาจึงไล่พวกเราออกมา” ไหมอเวจีกล่าว
“ขอบคุณท่านอาวุโสมากที่ทำให้กระจ่าง”
สวี่ชีอันยกกำปั้นขึ้นมาแสดงความขอบคุณมัน
เขาพอใจกับการตระเวนเกาะครั้งนี้มาก อย่างแรกคือการได้รับไหมอเวจี ซึ่งมันเข้าใกล้การชุบชีวิตเว่ยเยวียนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง อย่างที่สองคือการได้รู้ความจริงบางส่วนเกี่ยวกับการสูญสิ้นของเทพปีศาจ ถือว่ามันได้ไขข้อสงสัยของเขาไปอีกข้อ
อย่างสุดท้ายคือการได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของมู่หนานจือ
“คำถามสองข้อสุดท้าย!” สวี่ชีอันกล่าว
“มีวิธีการใดที่สามารถแย่งชิงหลิงอวิ้นของต้นไม้อมตะไปได้หรือไม่?”
สีหน้าของมู่หนานจือเปลี่ยนไปทันที นางหันไปมองสวี่ชีอันด้วยแววตาที่ซับซ้อนอย่างมาก แต่สิ่งที่แปลกคือ นางไม่ก้าวถอยห่างจากเขาแม้แต่ก้าวเดียว
ไหมอเวจีจ้องมองทั้งสองคนอย่าพิจารณาและกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการดูดหลิงอวิ้นของนาง ก็ต้องกินนางเข้าไป”
สวี่ชีอันหันไปมองนางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะได้ปกป้องไม่ให้ใครกินเจ้า”
มู่หนานจือมองเขาตาค้อน
ไหมอเวจีกล่าวว่า “แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางฉกชิงหลิงอวิ้นของต้นไม้อมตะไปได้อย่างสมบูรณ์ จะกินนางก็ดีหรือฉกชิงไปด้วยวิธีการบางอย่างก็ดี ก็ได้ไปเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในตอนนั้นที่พึ่งพาพระองค์ในการบำเพ็ญเพียรและมีชีวิตรอดต่อไป หลิงอวิ้นของเทพปีศาจเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ บุคคลอื่นไม่มีทางพรากมันไปได้ มิเช่นนั้น ต้นไม้อมตะก็คงถูกเทพปีศาจองค์อื่นๆ แบ่งกันกินและดับสลายไปนานแล้ว”
“น้าของข้าอ่อนแอเช่นนี้ ก่อนหน้านี้คงถูกรังแกทุกวันเลยใช่หรือไม่” ไป๋จีแกล้งมู่หนานจือที่ฟังภาษาปีศาจไม่รู้เรื่องโดยการรีบสอบถามเรื่องนินทา
“ต้นไม้อมตะมิได้อ่อนแอ ท่านเป็นหนึ่งในสามของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณ แต่ข้าไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ของนาง” ไหมอเวจีส่ายศีรษะ
“เจ้าถามอะไร?” สวี่ชีอันกล่าว
ไป๋จีตอบกลับเสียงหวาน “ข้าถามว่าน้าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในสมัยโบราณใช่หรือไม่ มันตอบว่าใช่”
มู่หนานจือลูบศีรษะมันอย่างมีความสุข
“ไป๋ตี้อะไรรึ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เกือบลืมไปแล้ว ไป๋ตี้เป็นชื่อที่ชาวอวิ๋นโจวตั้งให้กับทายาทเทพปีศาจองค์นั้น…สวี่ชีอันอธิบายรูปร่างลักษณะของไป๋ตี้ให้ไป๋จีแปล
“คือ…” ไหมอเวจีขมวดคิ้วแน่น
“เผ่าของพวกมันเรียกว่า ‘กิเลน’ ถ้าจำไม่ผิด หลังจากยุคปีศาจสิ้นสุดลง เผ่ากิเลนก็ถูกทายาทเทพปีศาจที่ชื่อว่า ‘ต้าฮวง’ กลืนหายไป” ไป๋จีแปลไปพร้อมๆ กัน
สันหลังของสวี่ชีอันเย็นวูบ “ต้าฮวงรึ?”
ไหมอเวจีอธิบายว่า “ต้าฮวงเป็นเทพปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวท่านหนึ่ง พระองค์และทายาทล้วนถูกเรียกว่าเผ่าต้าฮวง ต้าฮวงในยุคแรกเริ่มสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการเอาชนะเทพกู่ พลังแห่งพรสวรรค์ของสายเลือดนี้น่ากลัวมาก พวกเขาสามารถกลืนกินแก่นโลหิตและพรสวรรค์ของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลเพื่อเปลี่ยนให้เป็นของตนเอง ต้าฮวงทยอยกลืนกินต้นไม้เทพศักดิ์สิทธิ์ติดต่อกันสามต้น ถึงแม้จะไม่มีทางฉกชิงหลิงอวิ้นไปได้ แต่ก็ได้รับประโยชน์ไปมากมาย อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ตกอยู่ในเหตุการณ์วุ่นวายของเทพปีศาจเช่นกัน หลังจากยุคเทพปีศาจดับสูญลงไม่นาน เผ่ากิเลนก็เกิดความขัดแย้งกับ ‘ต้าฮวง’ และถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้น อืม พวกเจ้าก็สามารถเรียกทายาทท่านนั้นว่า ‘ต้าฮวง’ ได้เช่นเดียวกัน ชื่อทายาทเทพปีศาจของพวกเราล้วนถูกตั้งตามบรรพบุรุษปีศาจทั้งนั้น ถ้าเจอต้าฮวงล่ะก็ ต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากล่ะ”
มันดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย ในขณะที่พูดก็ลูบสัมผัสผิวที่เนียนนุ่มของตนเองไปด้วย
ตัวตนที่แท้จริงของไป๋ตี้คือเผ่า ‘ต้าฮวง’ งั้นรึ? เผ่าของไป๋ตี้ทั้งหมดถูกทายาทของ ‘ต้าฮวง’ กลืนกิน ต้าฮวงนั่นปลอมตัวเป็นไป๋ตี้ทำไมกัน…สวี่ชีอันกล่าวว่า “ข้าไม่มีคำถามแล้ว”
ไหมอเวจีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ออกไปจากพื้นที่ของข้าเถอะ สามพันปีหลังจากนี้ หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ลองมาที่นี่อีกสักครั้ง ข้าจะใช้ไหมอเวจีแลกกับแก่นโลหิตของเจ้าอีก”
อายุขัยของข้าคงไม่ยืนยาวไปกว่าอายุของนักปราชญ์กระมัง…สวี่ชีอันยกกำปั้นขึ้นมาเคารพ ส่วนในใจกลับกล่าวว่า เจ้ารอรุ่นลูกหลานของข้าเถอะ
เขาควบคุมเจดีย์พุทธะ พาไป๋จีและมู่หนานจือขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นลำแสงและหายไปในท้องฟ้า
…
ชิงโจว
ในห้องพิจารณาคดี ณ ที่ว่าการมณฑล
หยางกงนั่งอยู่ที่โต๊ะและฟังการวิเคราะห์ของหลี่มู่ไป๋
“แนวรบที่ตงหลิงพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ กองทัพของเราถอนออกจากชายแดนตงหลิงแล้ว กองทัพสามหมื่นนาย พวกเราสูญเสียไปหกในสิบส่วน ตอนนี้พักอยู่ที่มณฑลฟู่กัวและกำลังจัดหากองกำลังในพื้นที่มาสนับสนุนกองกำลังของเรา ทางด้านหว่านจวิ้น เพราะมีกองทัพอสูรเหินเวหาของฝ่ายซินกู่ พวกเราจึงไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป ทหารกองหนุนที่ส่งไปร่วมมือกับทหารป้องกันเมือง ตีขนาบประสานกันทั้งภายในและภายนอก ต่อสู้ในสงครามอันงดงามหลายครั้ง กบฏอวิ๋นโจวทุกฝ่ายต่างก็บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก”
“สำหรับตอนนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร สถานการณ์เดียวที่น่ากังวลคือที่อำเภอซงซาน…”
หยางกงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าสถานการณ์สู้รบที่อำเภอซงซานนั้นรุนแรงมาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุห้าหมื่นราย อย่างไรก็ตาม กองทัพเผ่ากู่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่นั่น กองทหารรักษาการณ์ก็แข็งแกร่งมาก”
หลี่มู่ไป๋ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ปัญหาเรื่องกำลังพล แต่เป็นปัญหาเรื่องเสบียงอาหาร ตามข้อมูลที่เอ้อร์หลางส่งมา เหล่าทหารรักษาการณ์เริ่มกินรากไม้เป็นอาหารแล้ว”
หยางกงขมวดคิ้วแน่น “แม้ว่าชิงโจวจะขาดแคลนพืชผล แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เพียงพอต่อความต้องการของอำเภอซงซาน นอกจากนี้ อำเภอซงซานยังอุดมสมบูรณ์ เสบียงสำรองในคลังก็เพียงพอ อย่าว่าแต่หนึ่งเดือนสั้นๆ เลย ต่อให้สามเดือนก็ยังเพียงพอ แล้วปัญหาเรื่องเสบียงจะเริ่มจากที่ใด”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการท่านหนึ่งกล่าวแทนหลี่มู่ไป๋ว่า “คะ คนเผ่ากู่นั่นกินจุมาก พวกเขาหนึ่งคนสามารถกินอาหารของคนธรรมดายี่สิบคนได้ นี่เป็นแค่การประมาณอย่างคร่าวๆ เท่านั้น นอกจากนี้ สัตว์บินยังไม่บริโภคสิ่งที่ไม่ใช่เนื้อ พวกมันจึงหากินในอำเภอซงซานโดยตรงอย่างชื่นมื่น”
“ใต้เท้าสวี่บอกว่า มีทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากหยางกงก่อน”
หยางกงเข้าใจแล้ว
แผนการนี้มีชื่อเรียกว่า กินคน!
สำหรับสัตว์บิน มันสามารถบริโภคเนื้อได้โดยไม่สนประเภท สัตว์ก็กินได้ คนก็กินได้
นายทหารฝ่ายเสนาธิการที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกกล่าวหยั่งเชิงว่า “แล้วถ้าเป็นศพของกบฏ…”
หยางกงกล่าวเสียงหนักแน่น “ไม่ได้!”
นายทหารฝ่ายเสนาธิการอีกท่านถอนหายใจ “หยางกง ตอนนี้สถานการณ์จวนตัวแล้ว ถึงแม้แผนนี้จะเป็นการละเมิดสามัญสำนึก แต่อำเภอซงซานหมดสิ้นทั้งกระสุนปืนและเสบียงอาหาร สัตว์บินเป็นสัตว์ร้ายที่กินคนเป็นเดิมทีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราปล่อยให้กองทหารรักษาการณ์กินคน”
“อย่าให้สามัญสำนึกอันน้อยนิดมาทำให้เราพ่ายแพ้และสูญเสียทุกสิ่ง สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือ เราแลกชีวิตเหล่าทหารหาญมามากเท่าใดแล้ว”
หลี่มู่ไป๋ตบโต๊ะและมองไปที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการท่านนั้น พลางกล่าวว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ค่อยหารือกันภายหลัง”
จากนั้นเขาก็มองไปที่หยางกง “อีกหนึ่งเดือนจะเป็นเทศกาลไหว้วสันต์แล้ว”
สีหน้าอันตึงเครียดของนายทหารฝ่ายเสนาธิการทุกท่านรวมทั้งหยางกงก็ผ่อนคลายลงในทันที
ใช่แล้ว เทศกาลไหว้วสันต์
ทนความเจ็บปวดอีกหนึ่งเดือน ภาระหน้าที่ของชิงโจวก็จะเสร็จสิ้นแล้ว
นอกจากนี้ สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน กบฏอวิ๋นโจวต้องการพิชิตชิงโจวภายในหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระเหมือนกับการเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อน
นายทหารฝ่ายเสนาธิการท่านนึ่งลูบเคราและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กองทัพอวิ๋นโจวเดือดดาลราวกับคลื่นโหมซัดสาด ข้ายังคิดว่าพวกเขามีผู้แข็งแกร่งมากเท่าใด แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร”
…………………………………………