ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 718 พี่สะใภ้ใหญ่ที่อัปลักษณ์ที่สุด
บทที่ 718 พี่สะใภ้ใหญ่ที่อัปลักษณ์ที่สุด
‘แก๊ง แก๊ง แก๊ง…’
ในห้องโอสถบนชั้นเจ็ดของสำนักโหราจารย์ ซ่งชิงถกแขนเสื้อขึ้น มือถือค้อนสีม่วงทองขนาดใหญ่อันหนึ่งและคีมเหล็กที่มีสีเดียวกัน เขายืนหล่อหลอมเหล็กกล้าอยู่หน้าทั่งเหล็ก
เสื้อสีขาวบนตัวแปดเปื้อนไปด้วยขี้เถ้าสีดำ เหงื่อเม็ดใหญ่ย้อยลงบนหน้าผาก ประกอบกับรอยคล้ำสีดำเข้มใต้ดวงตาแล้ว ราวกับจะตายอย่างฉับพลันได้ตลอดเวลา
หลังจากหล่อหลอมสารที่ไม่บริสุทธิ์ออกมาแล้ว ซ่งชิงก็นำตะปูสีทองเข้มออกมาตัวหนึ่ง วางมันลงบนตัวอ่อนเหล็กแล้วใช้ค้อนใหญ่ตอกหัวตะปูอย่างแรง
ท่ามกลางเสียงดังแสบแก้วหู ตะปูสีทองเข้มเจาะทะลุตัวอ่อนเหล็ก
“เทียบไม่ได้เลย เทียบไม่ได้โดยสิ้นเชิง…”
ซ่งชิงส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ตะปูตอกวิญญาณหลอมมาจากวัสดุอะไรกันแน่ โลกนี้มีธาตุโลหะนี้จริงๆ หรือ”
ตะปูตอกวิญญาณในมือของเขาคือตะปูที่ซุนเสวียนจีนำกลับมา ซึ่งได้รับการไหว้วานจากสวี่หนิงเยี่ยนผู้วิเศษด้านการเล่นแร่แปรธาตุให้นำตะปูตอกวิญญาณมามอบให้ซ่งชิง
คุณชายสวี่สมกับเป็นผู้วิเศษที่ยอมอุทิศทุกอย่างให้กับวิชาเล่นแร่แปรธาตุเสียจริง นำอาวุธเทพสำคัญเช่นนี้มอบให้สำนักโหราจารย์ทำการศึกษา ช่างเป็นคนที่รู้ใจซ่งชิงเสียจริง
ข้อเสนอที่คุณชายสวี่มอบตะปูตอกวิญญาณให้นั้นมีแค่อย่างเดียว นั่นก็คือหวังว่าบรรดานักเล่นแร่แปรธาตุจะสามารถเลียนแบบตะปูตอกวิญญาณได้
บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุตื้นตันใจจะแย่อยู่แล้ว
คุณชายสวี่ไม่เพียงแต่มอบอาวุธเทพเท่านั้น ยังมอบภารกิจใหญ่ให้พวกเขาด้วย
ขณะนั้นเอง โหรอาภรณ์ขาวเดินเข้าห้องโอสถอย่างรวดเร็ว และกล่าวเสียงสูง
“ศิษย์พี่ซ่ง ท่านอาจารย์โหราจารย์ให้ท่านนำกล่องใบนี้ไปส่งที่หอใต้ดิน มอบมันให้กับศิษย์พี่จง”
‘ท่านอาจารย์โหราจารย์…’ ซ่งชิงรับกล่องไม้มาด้วยความงุนงง และถามขึ้นมา
“คือสิ่งใดกัน”
โหรอาภรณ์ขาวผู้นั้นส่ายหน้า “ท่านอาจารย์โหราจารย์บอกว่า ศิษย์พี่จงเปิดได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
ซ่งชิงเป็นศิษย์ที่มีข้อคิดเห็นส่วนตัว (พฤติกรรมขัดแย้ง) พอได้ยินก็ลงมือเปิดกล่องทันที แต่ไม่สามารถเปิดได้
“เอาเถอะ!”
ซ่งชิงพยักหน้า เขาอุ้มกล่องไม้ที่กว้างครึ่งฉื่อ ยาวหนึ่งฉื่อเดินออกจากห้องโอสถ เดินตามบันไดจนมาถึงห้องโถงใหญ่ตรงชั้นหนึ่ง เดินผ่านประตูเหล็กด้านหลังห้องโถงเข้าสู่ชั้นใต้ดิน
เสียงฝีเท้าดังสะท้อนในชั้นใต้ดินอันเงียบสงบ ตะเกียงน้ำมันแต่ละตัวสาดส่องทุกอย่างจนกลายเป็นสีส้มที่ดูอบอุ่นและชุ่มชื้น
ซ่งชิงสูดดมกลิ่นอับจางๆ กลางอากาศ โหรอาภรณ์ขาวของสำนักโหราจารย์ส่วนมากอยู่ข้างนอก บ้างก็เป็นทหาร บ้างก็ออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เวลาในการเปิดประตูให้จงหลีได้สูดอากาศนั้นน้อยลง
หลังเดินผ่านทางเดินสลัวๆ ที่ยาวมาก ซ่งชิงก็หยุดลงตรงหน้าประตูห้องขังแห่งหนึ่ง และมองผ่านหน้าต่างระบายลมเข้าไปด้านใน
จงหลีนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมอย่างเงียบๆ
“ศิษย์น้องจง!”
ซ่งชิงผลักประตูเดินมาตรงหน้านางและนั่งขัดสมาธิลงเช่นกัน “ท่านอาจารย์โหราจารย์ให้ข้านำมาให้เจ้า”
จงหลีลืมตาขึ้นและรับกล่องไม้มา พริบตาที่มันตกอยู่ในมือ สลักก็เปิดออกเอง
พอเปิดฝากล่อง ภายในกล่องที่หุ้มด้วยผ้าแพรสีเหลืองมีค้อนไม้ขนาดยาวครึ่งแขนวางอยู่อันหนึ่ง
ค้อนไม้มีสีน้ำตาลอ่อน ด้ามค้อนเคลือบน้ำมันเป็นเงา หัวค้อนกับด้ามมีลวดลายค่ายกลแกะสลักอยู่อย่างละเอียด
จงหลีอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเงยหน้ามองซ่งชิง
ซ่งชิงก้มหน้าลงพอดี ศิษย์พี่ศิษย์น้องสบตากันและกล่าวออกมาพร้อมกัน
“ค้อนก่อกวนชะตากรรม!”
ซ่งชิงเข้าใจในทันที เขากล่าวขึ้นมา “มิน่าเล่าท่านอาจารย์โหราจารย์ถึงบอกว่าให้เจ้าเป็นคนเปิดกล่อง ของสัปปะรังเคเช่นนี้นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นไม่มีใครสามารถใช้ได้”
ตามที่ท่านอาจารย์โหราจารย์บอก ค้อนก่อกวนชะตาเป็นค้อนที่เขาสร้างขึ้นตามลักษณะนิสัยในตอนหนุ่ม
ถือค้อนนี้เคาะศีรษะคนอื่นสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบชะตากรรมได้ แต่รูปแบบชะตากรรมจะดีหรือร้ายนั้นไม่สามารถควบคุมได้ อีกอย่าง คนที่ถือค้อนอันนี้กับคนที่ถูกเคาะจะถูกเปลี่ยนชะตากรรมพร้อมกัน
มนุษย์แบ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ ทุกๆ วิชาชีพล้วนมีชะตากรรม
พอเปลี่ยนแปลงรูปแบบชะตากรรมจะถูกอาญาสวรรค์ อายุขัยลดลงครึ่งหนึ่ง
กล่าวอีกนัยก็คือ ค้อนสัปปะรังเคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้รูปแบบชะตากรรมเปลี่ยนแปลงอย่างไม่อาจคาดเดาได้ อีกทั้งยังทำให้อายุขัยลดลงครึ่งหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้นด้วย
แต่ว่าจงหลีคือข้อยกเว้น เพราะรูปแบบชะตากรรมของจงหลีในตอนนี้ตกเป็นของ ‘อาญาสวรรค์’ ค้อนก่อกวนชะตากรรมไม่อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบชะตากรรมที่โชคร้ายนี้ได้ ดังนั้นนางสามารถหลีกเลี่ยงผลแทรกซ้อนได้เสียด้วยซ้ำ
“ท่านอาจารย์โหราจารย์ให้ของสิ่งนี้แก่เจ้าทำไม”
ซ่งชิงมีสีหน้างงงวย “แม้ตอนนี้เจ้าจะเป็นนักพยากรณ์ ต้องประสบกับเคราะห์หามยามร้ายต่างๆ ค้อนก่อกวนชะตากรรมยังไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรได้ แต่หากเจ้าใช้มันเปลี่ยนรูปแบบชะตากรรมของคนอื่นตามอำเภอใจ เคราะห์ของเจ้าคงจะหนักหนากว่าเดิม”
จงหลีส่ายหน้าและเก็บค้อนอย่างเงียบๆ
“เฮ้อ วันเวลาที่ฉู่ไฉ่เวยไม่อยู่สำนักโหราจารย์ รู้สึกว่าทั่วทั้งหอดูดาวสงบเงียบขึ้นมา ศิษย์น้องจง ศิษย์พี่ต้องกลับไปหลอมอาวุธแล้ว ขอตัวก่อน” ซ่งชิงลุกขึ้นผลักประตูเดินออกไป
…
โพ้นทะเลที่อยู่ไกลแสนไกล
ไป๋ตี้ที่มีจมูกเป็นวัว ปากเป็นจระเข้ แผงคอเป็นสิงโต และลำตัวมีเกล็ดสีขาวราวกับหยก วิ่งห้อตะบึงตามผิวทะเลด้วยกีบเท้าทั้งสี่อย่างรวดเร็ว
คลื่นยักษ์กว้างสุดลูกหูลูกตา แหงนหน้ามองคือท้องฟ้า นอกจากท้องฟ้าแล้วก็เป็นผืนน้ำเวิ้งว้างไร้ขอบเขต
บนท้องมหาสมุทรที่ยากจะแยกแยะทิศทางได้ ไป๋ตี้กลับหาพื้นที่เป้าหมายเจออย่างแม่นยำ
มันก้มหน้าจ้องมองผิวทะเลใต้กีบเท้า ดวงตาสีครามเข้มเปล่งแสงสลัวๆ ลึกล้ำราวกับน้ำวน
กระแสน้ำวนปรากฏขึ้นบนผิวทะเล มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นน้ำวนยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบเมตร ฟองสีขาวพวยพุ่ง
ไป๋ตี๋พุ่งดิ่งลงในน้ำวน ประเดี๋ยวเดียวปากก็คาบหอกโค้งยาวที่ดูคล้ายกระดูก คล้ายหิน คล้ายทอง และคล้ายหยกพุ่งออกจากน้ำวน
กีบเท้าทั้งสี่ห้อตะบึงหายไปจากขอบฟ้าราวกับม้าพันธุ์ดี
น้ำวนค่อยๆ สงบลง ผืนน้ำเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาฟื้นคืนสู่สภาพปกติ
…
เมืองตงหลิง
เมืองเวิ่งสร้างอยู่ด้านบนสุดของเมือง สวี่ผิงเฟิงยืนอยู่บนยอดของเมืองเวิ่ง อาภรณ์สีขาวโบกสะบัด ท่าทางราวกับเซียนที่ถูกลงโทษให้มาจุติในโลกมนุษย์
ในมือเขาหิ้วสุราอยู่หนึ่งกา สายตาทอดมองไปทางทิศเหนือ
…
ค่ายทหารในอวิ๋นโจว
เกวียนที่ลำเลียงสัมภาระเข้าๆ ออกๆ ในค่ายทหาร พลทหารระดับต่ำเข้าเวรและลาดตระเวนซ้ำๆ รอกรีธาทัพออกรบอยู่ตลอดเวลา
เทียบกับกองทัพอวิ๋นโจวที่ทำศึกอยู่ในสามแนวรบแล้ว กองทัพกลางสามหมื่นนายมีความสมบูรณ์ที่สุด กองกำลังทหารได้พักฟื้นและเตรียมพร้อมออกรบอยู่ตลอดเวลา
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนค่ายทหารไม่เคยเคลื่อนทัพเลย
ขณะนี้ เมื่อฤดูหนาวค่อยๆ สิ้นสุดลง พลทหารระดับต่ำยังดีหน่อย ความรอบรู้มีจำกัด แต่นายทหารระดับกลางและระดับสูงไม่สามารถนั่งนิ่งได้
พวกเขาสังเกตได้ว่า เมื่อย่างเข้าใกล้ฤดูใบไม้ผลิ สถานการณ์ได้เปรียบและเสียเปรียบระหว่างฝ่ายตนเองกับต้าฟ่งจะค่อยๆ เลวร้ายขึ้น
ดังนั้นเสียงออกรบมีมากขึ้นทุกวัน และดังขึ้นเรื่อยๆ
จนมาถึงวันนี้ นายทหารระดับกลางและระดับสูงสิบกว่าคนคุกเข่าอยู่หน้ากระโจมของผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อ ‘ขู่เข็ญและบีบบังคับ’ ให้ชีก่วงป๋อเคลื่อนทัพ
ในนั้นมีจัวเฮ่าหรานที่ถูกลดขั้นจากผู้บัญชาการซ้ายเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพจู่โจมด้วย
“แม่ทัพใหญ่ ไม่อาจยืดเยื้อได้อีกแล้ว หากไม่ใช้ประโยชน์จากฤดูหนาวนี้ยึดชิงโจว กองทัพเราอยากจะบุกถึงเมืองหลวงหลังเทศกาลไหว้วสันต์นั้น เป็นเรื่องยากราวกับการขึ้นสวรรค์”
จัวเฮ่าหรานที่ตาซ้ายเป็นสีขาวเทา ไม่อาจมองเห็นได้อีก ส่งเสียงคำรามออกมา
“ข้าน้อยขอยอมตาย แต่ขอแม่ทัพใหญ่ได้โปรดให้ข้าได้ตายในสนามรบ ท่านแม่ทัพโปรดเคลื่อนทัพเถิด”
นายทหารชั้นสูงที่อยู่บริเวณรอบๆ พากันคล้อยตามไปด้วย ถึงพวกเขาจะดูถูกแม่ทัพพ่ายศึกอย่างจัวเฮ่าหรานผู้นี้ แต่เวลานี้พวกเขามีจุดยืนเดียวกัน
หลังจากเอะอะกันสักพัก ในขณะที่บรรดานายทหารชั้นสูงกำลังจะกลับเพราะคิดว่าเปล่าประโยชน์นั้น กระโจมทหารก็เปิดออก
ชีก่วงป๋อสวมเครื่องแบบทหารทั้งตัว มือข้างหนึ่งกุมด้ามกระบี่ แววตาดูนิ่งสงบ สีหน้าเฉยชา หลังกวาดสายตามองดูบรรดานายทหารชั้นสูงทีหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างใด แต่กลับกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“สามารถทนมาถึงตอนนี้ได้ ยังนับว่ามีความอดทนอยู่บ้าง”
จัวเฮ่าหรานที่มีตาข้างเดียวกล่าวอย่างงงงัน
“แม่ทัพใหญ่?”
ชีก่วงป๋อกล่าวเสียงทุ้ม
“จัวเฮ่าหราน เจ้าฝังกองกำลังทหารหกพันนายทั้งเป็นในอำเภอซงซาน เดิมทีควรจะลงโทษตามกฎทหาร ข้าเสียดายความสามารถจึงละเว้นชีวิตเจ้า ตอนนี้ข้าขอถามเจ้า อยากทำคุณไถ่ถอนโทษหรือไม่”
จัวเฮ่าหรานกล่าวเสียงดัง
“หากสามารถล้างความอัปยศอดสูได้ แม้ตายก็ไม่เสียดาย”
ชีก่วงป๋อโยนสาส์นสั่งการที่ประทับตราผู้บัญชาการทหารสูงสุดและกล่าวเรียบๆ
“นำกองกำลังทหารเกรียงไกรทัพซ้ายแปดพันนายไปสนับสนุนกองทัพคชสารมังกร ทองทัพแรดขาว และกองทัพทลายค่ายกลที่อำเภอซงซาน”
จัวเฮ่าหรานแสดงสีหน้าดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
ชีก่วงป๋อไม่มองเขาอีก แต่กลับละสายตาไปมองนายทหารชั้นสูงผู้หนึ่งที่อยู่ทางขวา
“เหวินเซวียน นำกองทัพปืนใหญ่หกร้อยนาย ทหารราบสามพันนาย ตะลุยแนวรบข้าศึกไปสนับสนุนกองทัพเกราะทมิฬและอสรพิษหยกที่ตงหลิง ขณะเดียวกันนำสาส์นลายมือข้าไปให้จีเสวียนด้วย”
เขาโยนสาส์นที่ประทับตราผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดออกไปหนึ่งฉบับเช่นกัน
“จ้าวปิ่ง เจ้านำทหารม้าเบาสามพันนายไปตัดสายเสบียงของอำเภอซงซาน ภารกิจต้องเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน”
“…”
จากนั้นก็มีคำสั่งถ่ายทอดลงไปคำสั่งแล้วคำสั่งเล่า ไม่นาน นายทหารชั้นสูงนอกกระโจมก็ถูกส่งออกไปครึ่งหนึ่ง ชีก่วงป๋อกวาดสายตามองคนที่เหลือแล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ถอนทัพ ตามข้าไปยึดอำเภอหว่าน”
…
อำเภอซงซาน
ภายในเมืองเวิ่งที่อยู่ด้านบนสุดของเมือง มีน้ำเสียงคุมแค้นของเหมียวโหย่วฟางดังเข้ามา
“เดินหมากแล้วไม่อาจเปลี่ยนใจได้ โม่ซาง ข้าสอนหมากล้อมที่เรียนรู้ได้แค่ปัญญาชนในที่ราบกลางเท่านั้นให้กับเจ้า เจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ ฮึ! ชาวหมานอี๋ก็คือชาวหมานอี๋”
จากนั้นเป็นเสียงของโม่ซาง
“นี่เป็นการละเล่นที่นิยมของคนที่ราบกลางหรือ ก็ไม่ยากเท่าใดนี่ หรือข้าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ปัญญาชนในตำนาน”
เหมียวโหย่วฟางพูดหัวเราะเยาะ
“เจ้ารู้อะไร นี่เรียกว่ามหามรรคที่ง่ายที่สุด ยิ่งง่ายความรู้ก็ยิ่งลึกล้ำ เจ้าดูสิ หมากห้าเม็ดของเราข้าสามารถวางแนวนอน แนวตั้ง แนวทแยงได้ ทั้งยังวางไว้ทั้งสองข้างก่อนแล้วค่อยวางตรงกลางก็ได้ วิธีการเล่นพลิกเปลี่ยนร้อยแปดพันเก้า จังหวะก้าวยากจะคาดเดา”
โม่ซางซึ่งสวมชุดเกราะเบาเรียบร้อยแล้วเกาหัว
“แม้เจ้าจะพูดได้มีเหตุผล แต่ข้ายังคิดว่ามันง่ายมาก ข้าเป็นเมล็ดพันธุ์ปัญญาชนอย่างที่คิดไว้จริงๆ รอเสร็จศึกข้าจะอยู่สอบจอหงวนในที่ราบกลางของพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยกลับไป พ่อของข้าจะต้องดีใจอย่างแน่นอน”
“พวกเจ้าคุยอะไรกัน” สวี่ฉือจิ้วที่กำลังกัดขนมวอวอโถวอยู่ หลังจากตรวจสอบกองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ป้องกันเมืองเสร็จ และเพิ่งเดินเข้าธรณีประตูเมืองเวิ่งก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้
เหมียวโหย่วฟางกล่าวในขณะที่ระมัดระวังไม่ให้โม่ซางแอบเปลี่ยนหมาก
“พวกเรากำลังเล่นหมากล้อม หมากคือวิถีของวิญญูชน”
สวี่เอ้อร์หลางแอบพูดในใจ ‘จอมยุทธ์หยาบคายผู้นี้เล่นหมากเป็นด้วยหรือ’ พอมองดูก็เห็นหมากขาวดำเรียงติดต่อกันสองสามเม็ด ยาวสุดก็สี่เม็ด ไม่ว่าจะดำหรือขาว พอเรียงเต็มสี่เม็ดก็ถูกตัดขาด
“เจ้า เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าหมากล้อมหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ
“หรือไม่ใช่” เหมียวโหย่วฟางถามกลับ ไม่รอให้เหมียวโหย่วฟางตอบกลับเขาก็ส่งเสียง ‘เฮอะ’ อย่างภาคภูมิใจ
“อย่าคิดว่าการเล่นหมากเป็นสิทธิพิเศษของปัญญาชนอย่างพวกเจ้า ที่จริงไม่มีอะไรยากนี่ ด้วยสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดของข้า ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาก็คลำเคล็ดลับได้แล้ว แต่ก่อนที่เล่นหมากไม่เป็น เป็นเพราะกลุ่มปัญญาชนอย่างพวกเจ้าข่มขู่ไว้”
โม่ซางก็ผสมโรงไปด้วย
“ข้าก็คิดว่ามันง่าย ใต้เท้าสวี่ ท่านคิดว่าข้าจะสอบจอหงวนเหมือนท่านได้หรือไม่ ซินเจียงตอนใต้ของพวกเรายังไม่เคยมีจอหงวนเลยนะ”
‘ข้าคิดว่าเจ้าพูดภาษากลางได้ชัดแล้ว…’ สวี่ซินเหนียนเคี้ยวขนมวอวอโถว
“พี่เหมียว วิธีการเล่นหมากของท่านใครเป็นคนสอนหรือ”
เหมียวโหย่วฟางเดินหมากอย่างรวดเร็วแล้วตอบกลับ
“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า”
สวี่ซินเหนียนอึ้งไปเลย “คนไหน”
‘คนไหน’ เหมียวโหย่วฟางก็อึ้งเช่นกัน เขาคิดอย่างละเอียดก่อนกล่าว
“คนที่อัปลักษณ์ที่สุด”
สวี่ซินเหนียนนึกอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเดาไม่ออกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ที่อัปลักษณ์ที่สุดคนนั้นคือใคร
“เจ้าบอกชื่อมาตามตรง”
“มู่หนานจือไง”
‘มู่หนานจือคือใคร ช่างเถอะ ต่อไปถ้ามีโอกาสพบเจอนาง จำไว้ต้องบอกนางว่า เหมียวโหย่วฟางบอกว่านางอัปลักษณ์…’ สวี่ซินเหนียนแอบจดจำอย่างเงียบๆ จากนั้นก็โค้งคำนับให้กับสหายร่วมศึกสองท่านที่มีสติปัญญาอันปราดเปรื่องก่อนเดินไปอ่านตำราพิชัยสงครามที่อยู่อีกด้าน
ความคิดของปัญญาชนรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ถือเป็นการปฏิบัติที่เป็นพื้นฐาน
………………………………………