ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 720 ชื่อของรุ่นที่หนึ่ง
บทที่ 720 ชื่อของรุ่นที่หนึ่ง
สายตาของท่านโหราจารย์ราบเรียบ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“อาจารย์จะทำตามความปรารถนาของเจ้า”
ร่างของเขาอันตรธานไปในชั่วพริบตา เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็นั่งอยู่ตรงข้ามสวี่ผิงเฟิงข้างกระดานหมากรุก
ชุดขาวเผชิญกับชุดขาว
สวี่ผิงเฟิงหยิบหมากดำตัวหนึ่งขึ้นพร้อมเอ่ย
“ท่านเคยพูดว่า โลกคือหมากรุก ผู้คนเสมือนเบี้ย เมื่ออยู่ในโลกนี้ ทุกคนต่างก็เป็นตัวหมาก พวกเหนือระดับก็ไม่ยกเว้น ยามที่ข้าถามท่านว่า อาจารย์ก็เป็นหมากใช่หรือไม่ คำตอบของท่านคือ…ไม่ใช่!”
‘ตุ้บ!’ ตัวหมากวางลง สวี่ผิงเฟิงมองท่านโหราจารย์ที่อยู่ตรงข้ามพร้อมเอ่ยเสียงแผ่ว
“ตอนนั้นข้านึกไม่ถึง เวลาผ่านไปนานหลายปี เมื่อนึกย้อนอดีตถึงรู้ความหมายลึกซึ้งในคำพูดของท่าน ท่านโหราจารย์ ท่านเป็นคนเฝ้าประตูสินะ”
สายตาของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่อยู่ไม่ไกลทอดมองท่านโหราจารย์
ท่านโหราจารย์หยิบหมากขาวขึ้น น้ำเสียงทรงพลังแต่ราบเรียบ
“ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหกของข้า เจ้ามีพรสวรรค์ที่สุด ทว่าคนฉลาดชอบคิดมากเกินไป เทียบกับคนโง่จิตใจไม่ว้าวุ่นไม่ติด ด้วยบุคลิกของเจ้า เจ้ายังห่างชั้นจากคนเฝ้าประตูมาก เป็นโหรขั้นหนึ่งให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
‘ตุ้บ’ เมื่อหมากขาววางลง หมากดำในกระดานหมากรุกก็ระเบิดเป็นผุยผง
สวี่ผิงเฟิงที่อยากพูดเรื่องของคนเฝ้าประตูอีกก็พูดไม่ออก เขาหยิบหมากดำขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยพร้อมเอ่ย
“ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า มองเห็นอนาคตได้ แม้ตอนนั้นท่านจะเห็นชะตาประเทศของต้าฟ่งล่มสลาย ทว่าท่านกลับมิอาจหยุดยั้งได้ ความขัดแย้งระหว่างปีศาจตอนใต้กับสำนักพุทธ ความขัดแย้งระหว่างต้าฟ่งกับคนเถื่อนทางเหนือและสำนักพ่อมด และความปรารถนาที่เผ่าพันธุ์กู่จะฟื้นฟูรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ…สิ่งเหล่านี้ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ แนวโน้มสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นอกจากนี้ ผู้ที่รู้ความลับของสวรรค์จะต้องถูกความลับของสวรรค์พันธนาการ”
‘ตุ้บ’ หมากดำวางลง หมากขาวกลายเป็นผุยผง
โหรขั้นหนึ่งมีได้เพียงหนึ่งคน ในกระดานหมากรุกก็มีเบี้ยเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น
ท่านโหราจารย์หยิบหมากขาวขึ้นพร้อมหัวเราะ
“ตอนนั้นข้าเตรียมรับมือ น่าเสียดายที่พลังของวิชาดวงดาราผันเปลี่ยนปกปิดความลับของสวรรค์ได้ชั่วคราว ทำให้เจ้ากับเฒ่าเทียนกู่ประสบความสำเร็จ ทว่าเจ้าคิดว่าหญิงสาวในตอนนั้นหลบหนีจากอวิ๋นโจวมาถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่นได้อย่างไร”
‘ตุ้บ!’ หมากขาววางลง หมากดำกลายเป็นผุยผง
สีหน้าของสวี่ผิงเฟิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะบ่นพึมพำ
“ท่านรู้ทั้งรู้ว่าข้าดักซุ่มอยู่ที่อวิ๋นโจว เพราะเหตุใดจึงไม่เคยลงมือตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา”
ท่านโหราจารย์ปรายตามองเขา แล้วเหยียดยิ้ม
“ข้าพูดเจ้าก็เชื่องั้นหรือ หากข้ารู้ เจ้ายังจะทำสำเร็จอยู่หรือ”
สวี่ผิงเฟิงทอดถอนใจ
“ปรมาจารย์ลิขิตฟ้ามักจะเพ้อไปเรื่อย ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว ยามตัดสินใจออกจากเมืองหลวงในตอนนั้นและสนับสนุนสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีก่อน เมื่อกลายเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าสำเร็จ ข้าก็เริ่มเตรียมการ ท่านอาจารย์รู้หรือไม่ว่าหมากที่ข้าวางไว้ตั้งแต่แรกคือตัวไหน”
ท่านโหราจารย์ส่ายหน้าเล็กน้อย
“เฉินกุ้ยเฟยอย่างไรล่ะ! ” สวี่ผิงเฟิงวางลง ทำเอาหมากขาวกลายเป็นผุยผง แต่สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยมีความสุข แล้วเอ่ยอย่างหดหู่
“พูดถึงข้ากับเว่ยเยวียนก็เห็นใจคนชะตากรรมเดียวกัน บิดาของเฉินกุ้ยเฟยเป็นเจ้ากรมกรมการคลัง เคยมีบุญคุณสนับสนุนข้า สมัยวัยรุ่น ข้าทั้งสองก็ตกลงปลงใจใช้ชีวิตด้วยกันเอาเอง น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่แน่นอน ยามที่หยวนจิ่งคัดเลือกสาวงาม นางก็เข้าวังแล้ว ในตอนนั้นก็ใช้นางเผยความลับ ทำให้เว่ยเยวียนกับหยวนจิ่งจักรพรรดิและขุนนางผิดใจกัน บีบให้เขาล้มเลิกตบะ ข่าวคราวทั้งหมดในวังหลายปีมานี้ก็ได้มาจากนางทั้งนั้น ทว่าหลังก่อจลาจลขึ้น หมากตัวนี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว”
เฉินกุ้ยเฟยเป็นคนส่วนน้อยในวังที่จำเขาได้ ทว่าเฉินกุ้ยเฟยไม่รู้แผนการก่อกบฏของสวี่ผิงเฟิง
ตอนนี้ทั้งสองมีจุดยืนตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
“จริงด้วย ข้าก็รู้สถานะของจักรพรรดิหยวนจิ่งและตัวตนของเจินเต๋อจากการติดตามเบาะแสผ่านนาง นี่จึงเป็นผลปลุกปั่นให้หยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมและทำลายชะตาประเทศต้าฟ่งเองตามมาทีหลัง”
ท่านโหราจารย์หยิบหมากขาวขึ้นและวางลง แล้วเอ่ยท่ามกลางเสียงระเบิดของหมากดำ
“อาจารย์ยังต้องขอบคุณพ่อลูกเช่นพวกเจ้ามากที่ช่วยข้ากำจัดเนื้อร้ายเช่นเจินเต๋อ มิเช่นนั้นข้าคงทำอะไรเจินเต๋อไม่ได้จริงๆ”
สวี่ผิงเฟิงไม่ได้หยิบหมากดำ ก้มหน้ามองหมากขาวในกระดานหมากรุกพร้อมเอ่ย
“ท่านโหราจารย์ จากการตรวจสอบและวิเคราะห์ประวัติการก่อจลาจลของอู่จงตอนนั้นอย่างต่อเนื่องในหลายปีมานี้ มีอยู่สองเรื่องที่ข้านึกไม่ถึงมาโดยตลอด การก่อจลาจลของจักรพรรดิอู่จงในตอนนั้นค่อนข้างเร่งรีบ ต่างจากอวิ๋นโจวในปัจจุบันที่มีทุกอย่างพร้อม ทว่าอาจารย์ปู่กลับรีบรับมือ ราวกับไม่ได้คาดการณ์ว่าท่านจะก่อกบฏ ข้าไม่รู้ว่าเขาจงใจเมินเฉยหรือไม่ หากไม่ใช่นั่นก็น่าสนใจ อาจารย์ปู่ในฐานะปรมาจารย์ลิขิตฟ้าจะถูกท่านหลอกตบตาได้อย่างไร ไม่ว่าจะปิดกั้นความลับของสวรรค์ของโหรก็ดีหรือดาวหมีใหญ่หันเหก็ช่าง ต่างปิดกั้นได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งและสิ่งหนึ่งเท่านั้น ทว่าปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเห็นอนาคตได้ แม้จะปิดกั้นได้ชั่วเวลาหนึ่ง แต่ก็ปิดกั้นตลอดไปไม่ได้ ท่านโหราจารย์ ท่านทำได้อย่างไรกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ แสงประหลาดก็ฉายอยู่ในดวงตาของสวี่ผิงเฟิง
“เพราะท่านคือคนเฝ้าประตู นี่จึงเป็นเหตุให้ท่านสังหารอาจารย์ได้จริงๆ”
ท่านโหราจารย์มองเขาอย่างลุ่มลึก
“หากท่านเป็นคนเฝ้าประตู แล้วรุ่นที่หนึ่งล่ะ”
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลังของท่านโหราจารย์ อสูรยักษ์เขากวางเกล็ดสีขาว ปากจระเข้แผงคอราชสีห์ตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
…
‘ตึง! ตึง! ตึง!’
อำเภอซงซาน เสียงกลองประหนึ่งฟ้าร้อง
ทหารอาสาวิ่งไปที่หัวเมืองขนถังน้ำมันตะเกียง ท่อนซุง และหีบบรรจุปืนใหญ่รวมถึงหน้าไม้
มือปืนใหญ่ปรับองศาการยิงอย่างรวดเร็ว มือธนูถือซองหน้าไม้แต่ละถุงไว้ข้างเท้า ทหารอารักขาทั้งหมดระดมพล ต่างเตรียมการกันอย่างเป็นระเบียบ
ทั้งหมดนี้ถูกตราตรึงอยู่ในสัญชาตญาณของเหล่าทหารมานานภายใต้การฝึกอบรมของสวี่เอ้อร์หลาง แม้จะเป็นทหารอาสาก็ได้รับการฝึกฝนอย่างดี
อย่างไรเสียในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเขาต้องฝึกฝนทุกวันครั้งแล้วครั้งเล่า ขนกองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ป้องกันเมืองขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง
เหมียวโหย่วฟางยืนอยู่บนเชิงเทิน สายตาทอดมองไปไกลก็เห็นกองทัพอันคับคั่งเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ จากป่ารกร้างที่อยู่ไกลออกไป
ด้านหน้าสุดของกองทัพเป็นรถประหลาดทั้งหมดหกคัน แต่ละคันสูงสองจั้ง ผิวนอกปกคลุมด้วยแผ่นเหล็กราวกับโล่ยักษ์ ทุกคันต่างขับเคลื่อนด้วยทหารอาสาสิบกว่าคน
เหมียวโหย่วฟางไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ทว่าความรู้สึกในการต่อสู้ที่ปลูกฝังในช่วงเวลานี้ ทำให้เขารับรู้ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่กองทัพศัตรูสร้างออกมาใช้ป้องกันปืนใหญ่ระดมยิงมาจากบนกำแพงเมือง
“หน้าไม้! ”
ยามที่กองทัพศัตรูเคลื่อนมาถึงรัศมีการยิงของหน้าไม้ เหมียวโหย่วฟางก็ตะโกน คลื่นเสียงดังสนั่น
‘ปังๆๆ!’
หน้าไม้ประหนึ่งหอกยาวพุ่งออกไป แล้วเจาะเข้าไปในโล่ยักษ์ได้อย่างง่ายดายท่ามกลางเสียงยิง
ทว่าหน้าไม้ที่เลื่องลือด้านพลังทะลวงก็มิอาจทำลายโล่ยักษ์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพได้
เหมียวโหย่วฟางไม่ย่อท้อ หลังจากกองทัพศัตรูเข้ามาถึงรัศมีปืนใหญ่ มือใหญ่ก็โบกลง
“ยิง!”
‘ตูม!’ ปืนใหญ่พลันถอยหลัง เปลวไฟพ่นออกมาจากปากกระบอก กระสุนแต่ละลูกถูกยิงออกไป แล้วกระทบลงบนโล่ยักษ์ราวกับอุกกาบาต ปล่อยลูกไฟขยายตัวออกไป
โล่ยักษ์ระเบิดออกท่ามกลางปืนใหญ่ เศษไม้และแผ่นเหล็กอันร้อนผ่าวกระเด็นไปทั่วสารทิศ
ทว่ามันกลับสกัดแรงระเบิดส่วนหนึ่งของทหารอารักขาเอาไว้ได้ ลดจำนวนผู้เสียหายของกองทัพกบฏ
หลังจากจ่ายค่าตอบแทนที่ทำลายโล่ยักษ์ทั้งหกคันและปืนใหญ่สามลำ ในที่สุดกองทัพกบฏก็เคลื่อนแนวทหารเข้ามาถึงรัศมีการยิงปืนใหญ่ของตนเอง
‘ตูมๆๆ’
ปืนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน บนกำแพงเมืองและป่ารกร้างต่างระเบิดเป็นลูกไฟอย่างต่อเนื่อง ควันหนาพุ่งโขมง
กองทัพกบฏเปิดฉากบุกโจมตีท่ามกลางเสียงแตรสัญญาณ คับคั่งประหนึ่งฝูงมด พลังประหนึ่งสายรุ้ง
เผ่าอั้นกู่ราวกับปีศาจร้าย สังหารกองทัพศัตรูที่บุกเมืองเป็นฝูงมดทีละคน แล้วผู้ควบคุมศพของเผ่าซือกู่ก็เปลี่ยนศพของกองทัพศัตรูให้กลายเป็น ‘กองกำลังพันธมิตร’
พลรบของเผ่าลี่กู่พละกำลังน่าเกรงขาม รับผิดชอบทิ้งท่อนซุงและกลิ้งหินลงไป
พวกเขาร่วมมือกันอย่างรู้ใจหาใดเทียบภายใต้การบัญชาจากสวี่เอ้อร์หลาง
“ระวัง! ”
เหมียวโหย่วฟางที่อยู่ไม่ไกลจากสวี่เอ้อร์หลางพลันกระโดดเข้าใส่เขา
ทันใดนั้นสวี่เอ้อร์หลางก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตูม’ เชิงเทินระเบิดออก หน้าไม้ประหนึ่งหอกยาวแทงทะลุเชิงเทินและระเบิดในตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่
‘หน้าไม้ธรรมดามิอาจกลืนพลังปราณได้ นี่เป็นสิ่งที่ยอดฝีมือขว้างออกมา…’ เหมียวโหย่วฟางประกายความคิด พุ่งไปข้างกำแพงเมืองและมองกราดลงมาก็มองเห็นทั้งคนแปลกหน้าและคุ้นเคยท่ามกลางฝูงชนที่วุ่นวาย
จัวเฮ่าหราน!
ในมือของเขาถือศีรษะของพลรบฝ่ายอั้นกู่ อีกมือหนึ่งถือหอกยาวกำลังแสยะยิ้มมองมาบนกำแพงเมือง
“ขวางเขาไว้!”
สวี่ซินเหนียนโบกธงคำสั่งอย่างใจเย็น
ภายในเมือง กองทัพสัตว์บินกว่าสามร้อยตัวพุ่งเข้ามา กรงเล็บเกี่ยวถังน้ำมันตะเกียง เหล่าอัศวินแบกธนูพร้อมถือลูกธนูที่หัวลูกศรห่อผ้าดินสำลีไว้ในมือ
นี่ทำให้กองทัพสัตว์บินทั้งสามร้อยราวกับเครื่องบินทิ้งระเบิด
กองทัพสัตว์บินเป็นกองกำลังไพ่ใบเอก แทบจะคงกระพันและชนะสิบทิศในสนามรบ แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ หากไม่ได้ฝึกฝน ‘วิถีธนู’ ก็มิอาจข่มขู่กองทัพสัตว์บินด้วยธนูได้
หากเหินฟ้าไล่ฆ่า ความเร็วในการเหาะเหินของจอมยุทธ์ขั้นสี่เทียบกับสัตว์บินไม่ได้อยู่แล้ว
ในเวลานี้เอง เสียงร้องกังวานก็ดังไปทั่วขอบฟ้า
ฝูงนกยักษ์สีแดงกระพือปีกมาจากขอบฟ้า ส่งเสียงเจื้อยแจ้วจำนวนกว่าห้าร้อยตัว
โดยมีผู้นำเป็นนกยักษ์ปีกยาวสามจั้ง ร่างกายใหญ่ยักษ์ ปราศจากทหารม้าบนร่างของมัน
ม่านตาของสวี่เอ้อร์หลางพลันหดตัว
…
มณฑลฟู่!
จีเสวียนยืนอยู่บนกำแพงเมืองที่ทรุดลงครึ่งหนึ่ง ทอดมองซุนเสวียนจีที่ยืนทะนงอยู่บนฟ้า แล้วหัวเราะเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ในสายตาของข้า กำแพงเมืองต่างกับกระดาษไหว้เจ้าอย่างไร ซุนเสวียนจี ตอนนี้กองทัพของข้าบุกเข้าเมืองจนเต็มเมืองไปหมดแล้ว เจ้าอยากให้มณฑลฟู่ปกคลุมไปด้วยแรงระเบิดหรือไม่”
ซุนเสวียนจีมองเขาอย่างเยือกเย็น
จีเสวียนเยาะเย้ย แล้วหันสายตาไปในเมือง ประชาชนปิดประตูไม่ออกมา ทหารสองกองทัพเปิดสงครามกลางถนนอยู่ในเมือง
“ใจอ่อนเป็นหญิงสาวเลย! ”
เขาส่ายหน้าพร้อมเอ่ยประเมิน
ซุนเสวียนจียังคงไม่เอื้อนเอ่ย
จีเสวียนดึงมีดพกออกมา ส่งเสียงชิชะพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เพราะความใจอ่อนเป็นหญิงสาวของเจ้า ทำให้ตงหลิงเสียเมืองไป หากข้าเป็นเจ้า ต่อให้สังหารศัตรูไปหนึ่งพันสูญเสียฝั่งตนไปแปดร้อย ต่อให้ประชาชนในเมืองจะล้มตายด้วยปืนใหญ่จนหมด ก็ต้องทำลายกองกำลังติดอาวุธของศัตรูให้จนได้ อ๊ะ ลืมบอกเจ้าไป ประชาชนในตงหลิงที่เจ้าอดทนไม่ยอมฆ่าถูกข้ากลั่นเป็นยาโลหิตไปแล้ว เปลืองเวลานานครึ่งเดือน โชคดีที่เจ้าไม่สังเกตเห็น มิเช่นนั้นความพยายามสุดท้ายของข้าคงล้มเหลว”
เขาเอ่ยพลางหยิบกล่องไม้ออกมา แล้วเปิดออกดัง ‘ผลัวะ’ ปราณชีวิตอันหนาแน่นส่องประกายแสงสีแดงตามออกมา
จีเสวียนหยิบยาโลหิตและกลืนลงท้อง ปราณของเขาพลันพุ่งขึ้นสูง แล้วยกระดับขึ้นหนึ่งขั้นในพริบตา
ระดับของขั้นสามเสริมสร้างพลังปราณและเลือดลมผ่านการกินยาโลหิตได้ ทว่ามากที่สุดทำได้เพียงยกระดับถึงขั้นสามเท่านั้น หลังจากนั้นผลของยาโลหิตก็จะมีไม่มากแล้ว
“ในเมื่อเจ้าไม่กล้าเอาพิมเสนไปแลกเกลือ ข้าก็ขี้คร้านจะฆ่าเจ้า ไสหัวกลับสำนักโหราจารย์ไปเสีย ชิงโจวจะเสียเมืองภายในสามวัน”
ขณะที่จีเสวียนเอ่ยคำพูดนี้ก็สงบจิตสงบใจ ราวกับกำลังสาธยายความจริง
บนผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา ไป๋จีนั่งยองด้วยความสง่า ตาซ้ายเอ่อล้นไปด้วยลำแสง
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่ท้ายเรือ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิงมีเวลาว่างมาพบข้าได้อย่างไร”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางน้ำเสียงนุ่มนวล
“ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณมาที่ซินเจียงตอนใต้ บอกว่ากำลังมองหาเจ้า เมื่อไม่พบเจ้าก็มาถามหาจากข้า”
ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณหรือ อีเอ๋อร์ปู้หรืออูต๋าเป๋าถ่า ฮึ มาหาข้าหรือ ข้าว่ารนหาที่ตายมากกว่า! สวี่ชีอันทั้งสับสนและขบขัน
“เขาบอกว่ามาส่งหินตีฆ้อง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวเสริม
“หือ” สวี่ชีอันส่งเสียงฉงน ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
เขาคิดว่าตนคงหูฝาดไป เพราะหินตีฆ้องเป็นหนึ่งในวัสดุทำธงกวักวิญญาณ สำนักพ่อมดจะมอบหินตีฆ้องให้เขางั้นหรือ
นี่เหมือนกับอยู่ๆ สวี่ผิงเฟิงก็มาพูดต่อหน้าเขาว่า
เจ้าลูกชาย ทั้งหมดที่พ่อทำก็เพื่อเจ้า!
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเจ้าตกลง ข้าก็จะบอกตำแหน่งของเจ้าให้เขารู้ เรื่องทางโลกรุมเร้าข้า ไม่มีเวลาคุยเล่นกับเจ้า”
“ตกลง! ”
สวี่ชีอันพยักหน้า
แกะน้อยก้าวไปติดกับเอง เขาจะไม่ตกลงได้อย่างไร
“องค์หญิงอย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน” สวี่ชีอันรีบเรียกจิ้งจอกเก้าหางก่อนที่นางจะไป
จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียง ‘หือ’ “มีอะไร!”
“แต่ก่อนท่านน่าจะเคยเห็นตัวไหมอเวจีสินะ”
“แน่นอน มิเช่นนั้นจะบอกที่อยู่ของไหมอเวจีกับเจ้าได้อย่างไร”
“เช่นนั้นท่านก็รู้สาเหตุที่เทพมารตายอยู่แล้วใช่หรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้าช้าๆ
“เหตุใดท่านถึงไม่บอกข้า”
“ก็เจ้าไม่ได้ถาม” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มกริ่ม
“ข้ารู้ความลับมากมาย เช่นความลับที่ว่าข้ายังเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ก็ไม่ได้บอกเจ้าหรือ”
หญิงสาวพรหมจรรย์อะไร ป้าพรหมจรรย์เสียไม่ว่า…สวี่ชีอันวิจารณ์อยู่ในใจ ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง แล้วเอ่ยเสียงขรึม
“เช่นนั้นข้าขอถามว่า ท่านรู้จักเทพมารเช่น ‘ต้าฮวง’ หรือไม่”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่เคยได้ยิน”
สวี่ชีอันบอกลักษณะเฉพาะของเผ่า ‘ต้าฮวง’ กับนางพร้อมกับเอ่ยต่อ
“ตัวไหมอเวจีบอกข้าว่า ไป๋ตี้ก็เป็นเผ่ากิเลน หลังจากยุคเทพมารสิ้นสุดลงก็ถูก ‘ต้าฮวง’ กลืนกินจนหมดสิ้น เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”
ลำแสงที่ตาซ้ายของไป๋จีสั่นไหวอย่างรุนแรง ผ่านไปพักใหญ่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็เอ่ยเสียงแผ่ว
“ข้าออกทะเลตามหาเผ่าเดียวกันสามเดือนเต็มๆ ไม่เพียงหาเผ่าเดียวกันไม่พบ แม้แต่ทายาทของเทพมารก็ไม่เจอ แต่ระหว่างกลับแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวก็พบมันเข้า”
บรรยากาศเงียบฉับพลัน
เวรเอ๊ย…สวี่ชีอันระเบิดคำหยาบอยู่ในใจ เขานึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือทายาทเทพมารส่วนใหญ่ถูกไป๋ตี้ ไม่สิ ต้าฮวงนั่นกลืนกินไปแล้ว
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตกสู่ความเงียบอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านางก็นึกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่เคยสังเกตก่อนหน้านี้
“เช่นนั้นเหตุใดมันถึงไม่กินข้า”
ปีศาจผมสีเงินไม่อธิบาย
สวี่ชีอันสูดหายใจลึก ทำให้ตนใจเย็นลง แล้วเอ่ยวิเคราะห์
“อาจจะมีผลแทรกซ้อนตามมา หมู่นี้เขาอาจจะต้องทำเรื่องสำคัญบางอย่าง ไม่อยากมีปัญหาใหม่เข้ามาแทรก”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยเสียงขรึม
“ยามที่พบมัน จะต้องระวังตัวให้ดี”
ขนาดตัวนางเองก็ไม่กลัว ตนก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ยังมีชิ้นส่วนของเสินซูอยู่ข้างกาย หากต้าฮวงนั่นกล้ามาก็ไม่แน่ว่าใครจะฆ่าใคร
เมื่อบอกลาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง สวี่ชีอันก็เพิ่มความเร็วของเรือเล็ก
ไม่นานนักก็มองเห็นแนวชายฝั่ง
ขณะเดียวกันกับที่มองเห็นแนวชายฝั่ง สวี่ชีอันก็เห็นเงาดำในชุดคลุมยาวของพ่อมดและสวมผ้าคลุมศีรษะเหาะเหินมา
ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณหยุดอยู่ไม่ไกล ไม่ได้มาด้วยร่างแท้ ทว่าเป็นเสื้อคลุมว่างเปล่ารูปร่างมนุษย์
“สวี่ชีอัน! ”
เสียงกังวานแผ่วเบาดังมาจากในเสื้อคลุม
“เจ้านั่นเอง อีเอ๋อร์ปู้! ”
ได้รู้จักกันตอนสังหารอ๋องสยบแดนเหนือ สวี่ชีอันระบุตัวตนของอีกฝ่ายผ่านเสียงได้ทันที
มีสิ่งหนึ่งลอยออกมาจากเสื้อคลุม แล้วกระทบกับหัวเรือดัง ‘แกร๊ง’
มันคือหินแร่สีดำอ่อน ผิวนอกปกคลุมด้วยรูคล้ายรังผึ้ง ส่งเสียงคร่ำครวญแผ่วเบาออกมาท่ามกลางลมทะเล
“สำนักพ่อมดเช่นพวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
สวี่ชีอันก้มหน้าปรายตามอง มั่นใจว่าเป็นหินตีฆ้องของแท้
“หึ เจ้าไปถามพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เองได้”
อีเอ๋อร์ปู้น้ำเสียงเหยียดหยาม เพราะร่างแท้ไม่อยู่ จึงไม่กลัวแม้แต่น้อย
“เพราะสำนักพ่อมดไม่อยากเห็นสำนักพุทธยึดครองที่ราบกลาง นี่จะทำให้พระพุทธเจ้าได้ประโยชน์และกดขี่พ่อมด” สวี่ชีอันคาดเดา
อีเอ๋อร์ปู้ทำเสียงฮึดฮัด ถือว่ายอมรับโดยปริยาย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดสำนักพ่อมดจึงไม่เคลื่อนกำลัง ตรงไปตรงมาและผูกมิตรกับต้าฟ่งก็สิ้นเรื่อง พวกเราจะต่อสู้กับสำนักพุทธไปด้วยกัน” สวี่ชีอันโน้มน้าวอย่างจริงใจ
อีเอ๋อร์ปู้เย้ยหยันแสดงจุดยืนชัดเจน
“เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณพวกเจ้า”
สวี่ชีอันเก็บหินตีฆ้องขึ้นมา กลัวว่าอีเอ๋อร์ปู้จะหนีไปโดยพลัน ยามที่ก้มลงก็ไม่ลืมถาม
“จริงสิ เจ้าตรัสรู้นานเท่าไรแล้ว”
อีเอ๋อร์ปู้เอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณตรัสรู้ตั้งแต่สมัยต้าโจวแล้ว”
หลายร้อยปีนี้ยังไม่ก้าวเข้าสู่ขั้นสองเสียที ไร้ประโยชน์นัก! สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นเจ้าจะต้องรู้จักท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งแน่นอน”
จะพบคนระดับสูงจากสำนักพ่อมดไม่ใช่เรื่องง่าย จะไม่ใช้โอกาสสืบข่าวท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็เสียดายแย่
น้ำเสียงของอีเอ๋อร์ปู้เย็นลง
“เจ้าถามหาเขาไปทำไม ก็แค่คนทรยศคนหนึ่ง ต่างพรรคพวกต่างจิตใจ คนทรยศนั่นก็เป็นคนที่ราบกลาง ยามที่ท่องฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือได้ไปเยือนสำนักพ่อมด พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่จึงรับเป็นลูกศิษย์ในภายหลัง”
นี่ทำให้สวี่ชีอันตกตะลึง “ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเป็นคนที่ราบกลางหรือ”
อีเอ๋อร์ปู้ส่งเสียง ‘อืม’
“ชื่อจากที่ราบกลางเหมือนจะชื่อว่า…ไฉ่ซินเจว่!”
………………………………………
[1] หมากัดกับหมา ปากจะมีแต่ขน หมายถึง คนชั่วทำร้ายกันเองจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย