ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 722 ฟ้าเปลี่ยนไป (2)
บทที่ 722 ฟ้าเปลี่ยนไป (2)
อานุภาพค่ายกลกระบี่ของสวี่ผิงเฟิงถูกยับยั้งและใช้การไม่ได้
ร่างธรรมของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่นำพาให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นอย่างเด่นชัด
ร่างธรรมที่อยู่ทางด้านซ้ายมีความสูงถึงหกจั้ง ร่างราวกับถูกหล่อขึ้นจากทองคำ มีกล้ามเนื้อเป็นมัด แขนสิบสองคู่กางออกเป็นรูปพัดอยู่ที่ด้านหลัง พร้อมกับวงแหวนไฟที่ลุกโชนอยู่ด้านหลังศีรษะ
มันดูเหมือนเป็นกายจำแลงของเปลวไฟที่ทรงพลัง ทันทีที่ปรากฏตัวออกมา อุณหภูมิบนบรรยากาศก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับเข้าสู่กลางฤดูร้อนที่ร้อนระอุ กล้ามเนื้อที่บีบตัวขยายใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับคลื่นความร้อนที่สาดไปทั่วทิศทาง
ทางด้านขวาเป็นร่างธรรมสีทองอร่ามที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ก้มศีรษะ หลุบตาต่ำลงและประสานทั้งสองมือเข้าด้วยกัน มันเป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์ของภูเขา บรรยากาศรอบๆ ราวกับถูกแช่แข็งและไม่มีลมแม้แต่น้อย
‘ครืน ครืน’…
เสียงคลื่นดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ คลื่นสีดำลวงตาพุ่งสูงขึ้นไปเป็นร้อยจั้ง ราวกับกำแพงยักษ์ขนาดมหึมาที่เชื่อมต่อกับท้องฟ้า
เมื่อเทียบกันแล้ว ท่านโหราจารย์ในชุดขาวราวกับหิมะเป็นเหมือนมดตัวเล็กๆ เท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน เขาที่อยู่บนศีรษะของไป๋ตี้ก็เกิดรอยแตกดัง ‘แครก’ ลูกไฟฟ้าสถิตทรงกลมคุโชนอยู่ระหว่างเขาทั้งสองข้างและกำลังสะสมพลังอย่างต่อเนื่อง
ท่านโหราจารย์ใช้กลอุบายเก่าอีกครั้ง เหยียดมือขวาไปที่ด้านหลัง สอดเข้าไปในคลื่นยักษ์สีดำและค่อยๆ ดึงกระบี่ยาวสีดำออกมา
จู่ๆ สวี่ผิงเฟิงก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะไปโผล่ที่ด้านข้างโหราจารย์ด้วยวิชา ‘หายตัว’ เขาเคลื่อนไหวแบบเดียวกับท่านโหราจารย์ทุกประการ นั่นคือสอดมือขวาเข้าไปในคลื่นยักษ์สีดำและดึงกระบี่ยาวสีดำออกมา
อาจารย์และลูกศิษย์ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ชักดาบออกมาพร้อมกันและพยายามตวัดดาบฟาดฟันอย่างพร้อมเพรียงกัน
‘ตูม!’
ที่เหนือทะเลเมฆ เสียงระเบิดของคลื่นโหมกระหน่ำดังก้องไปทั่วผืนฟ้า
หลังจากกระบี่ของท่านโหราจารย์ถูกสกัดกั้น สวี่ผิงเฟิงก็ไม่ได้ต่อสู้และใช้วิชาหายตัวถอยกลับออกมาทันที
ร่างของเขาหายไปในพริบตา ก่อนจะปรากฏอยู่บนเมฆที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง แต่สวี่ผิงเฟิงถอยกลับไม่สำเร็จ ท่านโหราจารย์ยังคงอยู่ข้างเขา ราวกับเมื่อครู่เขาเพิ่งใช้วิชาหายตัวไปพร้อมกับท่านโหราจารย์
ท่านโหราจารย์ที่มีผมและเคราสีขาวยื่นมือออกไปจับคอของสวี่ผิงเฟิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
‘หึ่ง!’
ค่ายกลวงกลมที่โคจรอยู่ใต้เท้าของสวี่ผิงเฟิงมีตัวอักษร ‘น้ำ สายธาร ดิน’ สว่างขึ้น ที่เบื้องหน้าของเขาปรากฏสิ่งกีดขวางที่มีชั้นในเป็นสีเหลืองอมเทา ชั้นนอกเป็นสีดำสนิทและมีประกายไฟเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นผิว
ในเวลาเดียวกัน มีลำแสงพุ่งออกมาจากกระเป๋าผ้าแพรที่อยู่ตรงเอวของเขา พวกมันคือวงแหวนเจ็ดชั้น แบ่งเป็นระฆังสำริด เกราะคันฉ่องทองเหลือง โล่เหล็กดำ เปลวเพลิงลุกโชน…
อาวุธเวทมนตร์ป้องกันร่างระดับสูงสุดทั้งหมดแปดชิ้น
ตูม…ระฆังสำริดระเบิดออก
ตูม…เกราะคันฉ่องระเบิดออก
ตูม…โล่เหล็กดำระเบิดออก
ตูม…วงแหวนเจ็ดชั้นระเบิดออก
มือของท่านโหราจารย์ราวกับเป็นอาวุธเทพที่มีอานุภาพเกรียงไกรบนโลก ทำลายอาวุธเวทมนตร์สูงสุดของคนชั่วจนหมดสิ้น
สวี่ผิงเฟิงไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาใช้อาวุธเวทมนตร์ต้านทานท่านโหราจารย์บนอากาศและขึ้นไปเหยียบมัน
ในแสงอันรุ่งโรจน์ของค่ายกลส่งตัว พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ขวางอยู่ที่เบื้องหน้าสวี่ผิงเฟิงและกำหมัดแน่น ตั้งแต่ไหล่ ข้อศอกไปจนถึงแผ่นหลัง กล้ามเนื้อทุกส่วนเต็มไปด้วยพลังเทพที่พลุ่งพล่าน
ในเวลาเดียวกัน ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อยู่ทางด้านซ้ายของเศียรพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็ประสานมือเข้าด้วยกันและปั้นตราธรรมอย่างรวดเร็ว
รอยยับระหว่างช่องว่างถูกทำให้แบนลงในทันที ก่อนจะเข้าสู่สภาวะแช่แข็ง
‘ปัง!’
กำปั้นสีทองกระแทกลงบนสิ่งกีดขวางที่มีรูปหกเหลี่ยมชิ้นต่อชิ้นเป็นส่วนประกอบ กำปั้นของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ที่สิ่งกีดขวางด้านหน้าโดยทั่ว ทำให้ปราการนี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง ‘หึ่ง หึ่ง’
‘จื่อ จื่อ จื่อ’ ในที่สุดลูกไฟฟ้าสถิตทรงกลมที่อยู่ระหว่างเขาของไป๋ตี้ก็ถูกยิงออกไป
ทะเลเมฆสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประกายไฟอันหนาแน่นหายวับไปในพริบตา แล้วสายฟ้าแลบเร็วเพียงใดกัน?
วิชาส่งตัวไม่สามารถใช้การได้ และท่านโหราจารย์ที่อยู่ในสถานะล่าถอยก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหลีกเลี่ยง เขากดมือทั้งสองข้างลงไปอย่างแม่นยำเพื่อปิดลูกไฟฟ้าสถิตไว้ใต้ฝ่ามือ
ท่านโหราจารย์ที่ต้านลูกไฟฟ้าสถิตยังคงล่าถอย
ไป๋ตี้และพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ฉวยโอกาสนี้เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน พยายามที่จะจัดการกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้าท่านนี้ด้วยความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่แข็งแกร่งเพื่อขยายความได้เปรียบ
ค่ายกลใต้ฝ่าเท้าของสวี่ผิงเฟิงเปิดออกและปกคลุมท่านโหราจารย์ไว้ภายใน
การจองจำ จู่โจมหรือรบกวน…ปกติแล้วค่ายกลเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรท่านโหราจารย์ได้ แต่เมื่อซ้อนทับกับการโจมตีของลูกไฟฟ้าสถิตในตอนนี้มันกลับมีผลอย่างน่าอัศจรรย์
ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่ปรากฏตัวที่ด้านข้างของท่านโหราจารย์ คนหนึ่งอยู่ทางด้านซ้ายและอีกคนอยู่ทางด้านขวา
ไป๋ตี้เปิดปากแยกเขี้ยวราวกับจะกลืนกินท่านโหราจารย์ ส่วนเจียหลัวซู่บิดเอว เหวี่ยงแขนระเบิดพลังจากกล้ามเนื้อทุกส่วนด้วยพละกำลังที่พลุ่งพล่าน
ในขณะนั้น ดวงตาของท่านโหราจารย์สว่างเป็นประกายระยิบระยับ
‘ปัง!’ เขาใช้กำลังทำลายลูกไฟฟ้าสถิต มือขวาฝ่าควันระเบิดกระแทกลงที่เอวอย่างแรง
‘ตูม! ตูม!’
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่คมชัด ไป๋ตี้ถูกโยนลอยออกไป เกล็ดสีขาวราวกับหิมะแตกกระจายพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เซไปด้านหลัง มีรอยแส้จางๆ ปรากฏขึ้นบนร่างสีทองอร่าม
ในมือของท่านโหราจารย์มีแส้ต้อนแกะเส้นหนึ่ง
ของวิเศษของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่ อาวุธเทพชิ้นแรกของสำนักพ่อมด มันยังมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่าแส้เฆี่ยนเทพ
ตอนที่ตัดหัวสังหารเจินเต๋อ ซ่าหลุนอากู่กำลังพนันการต่อสู้กับท่านโหราจารย์อยู่ที่หอดูดาว ทั้งสองฝ่ายใช้แผ่นความลับสวรรค์และแส้เฆี่ยนเทพมาวางเดิมพันในการพนันความเป็นและความตายของสวี่ชีอัน
“แส้หักๆ เช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ใช้เฆี่ยนคนความคิดต่ำช้าอย่างพวกเจ้าทั้งสองกลับเป็นโอกาสที่ดีนัก”
ท่านโหราจารย์หัวเราะด้วยความเย็นชาและสะบัดแส้ในมืออย่างหนักแน่น
‘ฟวับ! ฟวับ! ฟวับ!’
แส้กลายเป็นเงาพรางที่ไม่สนใจระยะทาง มันฟาดไปบนร่างของสวี่ผิงเฟิง พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และไป๋ตี้อีกครั้ง
ที่ด้านหลังของสวี่ผิงเฟิง ร่างในชุดขาวถูกดึงออกมา นั่นคือจิตเดิมของเขา
จิตเดิมของไป๋ตี้เป็นร่างสีดำที่เลือนราง ในขณะที่กำลังจะแยกออกจากร่างก็ถูกดึงกลับไปที่เดิม
มีเพียงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เท่านั้นที่สามารถต้านทานผลที่ตามมาของแส้เฆี่ยนเทพได้ และยังคงนิ่งและมั่นคงราวกับราชาแห่งปัญญาผู้ไม่หวั่นไหว
ท่านโหราจารย์ไม่สนใจไป๋ตี้และพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ เขายังคงสะบัดแส้เพื่อเฆี่ยนจิตเดิมของสวี่ผิงเฟิง
จิตเดิมที่แยกออกมาจากกายเนื้อย่อมเปราะบางอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากพ่อมดและลัทธิเต๋าแล้ว ไม่ว่าการบำเพ็ญในระบบใดก็ตาม จิตเดิมล้วนเปราะบางทั้งสิ้น
แส้กลายเป็นเงาพราง เฆี่ยนลงที่จิตเดิมของสวี่ผิงเฟิง เมื่อแส้ถูกฟาดลงไป วิญญาณทั้งสามของสวี่ผิงเฟิงก็กระจัดกระจาย
แต่ในเวลานี้ มีของเหลวที่มีเนื้อหนาแน่กลายโคลนไหลออกมาจากร่างลวงตาของโหรชุดขาว
ของเหลวเหล่านี้มีกลิ่นอายแห่งความชั่วร้าย มันปกคลุมจิตเดิมของสวี่ผิงเฟิง ห่อหุ้มและปกคลุมเขาอย่างรวดเร็ว
‘ฟวับ!’
แส้ฟาดลงบนของเหลวที่ดูเหมือนโคลน สวี่ผิงเฟิงและโคลนเหลวที่ถูกเฆี่ยนสั่นสะเทือนจนแทบจะกระจัดกระจาย
เมื่อท่านโหราจารย์หยุดเฆี่ยนแล้วก็ก้มลงไปมองแส้ในมือ
มันถูกปกคลุมไปด้วยของเหลวหนืดสีดำและสูญเสียจิตวิญญาณไป
อีกด้านหนึ่ง ของเหลวสีดำที่ปกคลุมร่างของสวี่ผิงเฟิงก็แยกตัวออกมา มันขยับขยุกขยิกจนกลายเป็นรูปร่างเหมือนมนุษย์ เขามีรูปลักษณ์ของมนุษย์ มีประสาทสัมผัสทั้งห้าและมีของเหลวข้นหนืดไหลไปทั่วร่างกาย
มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นดวงตาของมนุษย์อย่างแท้จริง
ตัวการทั้งสองที่ทำให้ต้าฟ่งตกอยู่ในความเสื่อมโทรมอย่างเช่นสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ที่นี่แล้ว
“คุณสมบัติพิเศษที่เสื่อมโทรม มุ่งควบคุมของวิเศษโดยเฉพาะ แม้แต่เจิ้นกั๋วเจี้ยนก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ท่านอาจารย์มิสู้ลองคืนแผ่นความลับสวรรค์ของท่านมาล่ะ?”
จิตเดิมของสวี่ผิงเฟิงกลับไปยังที่เดิม เขาไขว้สองมือไว้ด้านหลังพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“โอ้ ลืมไปเลยว่าแผ่นความลับสวรรค์เป็นของล้ำค่าของท่านโหราจารย์ ไม่ใช่ว่าจะใช้สุ่มสี่สุ่มห้า”
ท่านโหราจารย์คลายมือออก แส้ต้อนแกะกลายเป็นแสงสว่างและหายวับไป
จากนั้นเขาก็พลิกมือขวาออก มีของอยู่ในฝ่ามือสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นมงกุฎแบบขงจื๊อ และอีกชิ้นหนึ่งเป็นดาบสลักที่ไม่มีความหรูหรา
ท่านโหราจารย์ค่อยๆ สวมมงกุฎขงจื๊อ ถือดาบสลักและยิ้มให้ศัตรูทั้งสี่เล็กน้อย “หากข้าเชิญปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ วันนี้เจ้าจะมีความหวังที่จะมีชีวิตรอดหรือไม่?”
ดวงตาสีฟ้าของไป๋ตี้มองท่านโหราจารย์อย่างพิจารณา และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาเยือน ต้องรับการสะท้อนกลับจากสวรรค์ แม้ว่าเจ้าจะมีร่างขั้นหนึ่งก็ต้องแบกรับราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล ข้าพนันได้เลยว่าเจ้าไม่กล้า…”
ฟู่…ยังไม่ทันพูดจบ คนทั้งสามและสัตว์หนึ่งตัวก็เห็นว่ามีกระดาษในมือของท่านโหราจารย์ที่กำลังมอดไหม้เป็นเถ้าอย่างรวดเร็ว
เด็ดขาดเช่นนี้…สวี่ผิงเฟิงหดตัวลงเล็กน้อยและถอยห่างออกไปโดยใช้ค่ายกลส่งตัว ในระหว่างนั้น เขาก็ควบคุมอาวุธเวทมนตร์เพื่อปกป้องตนเองด้วย
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย การไม่เคลื่อนไหวเป็นเครื่องป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด
ในฐานะที่เฮยเหลียนอยู่ในขั้นสอง การตัดสินใจที่จะถอยจึงเด็ดเดี่ยวมากกว่าสวี่ผิงเฟิง
ไป๋ตี้ก้มโค้งตัว เอาศีรษะแตะที่เท้าหน้า พลางส่งเสียงครางต่ำในลำคอ เขาที่อยู่บนศีรษะ ข้างหนึ่งควบแน่นสายฟ้า ส่วนอีกข้างกลั่นแสงสีดำ
ท่านโหราจารย์หัวเราะเยาะและกล่าวว่า “ข้าแค่ขู่พวกเจ้า!”
ในขณะที่คนทั้งสามและสัตว์หนึ่งตัวตกตะลึงและเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ดีดมงกุฎและตะโกนว่า “อัญเชิญปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์!”
เหนือทะเลเมฆและภายใต้ท้องฟ้า ดวงตาที่ไม่แยแสคู่หนึ่งค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ
………………………………………………………