ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 725 ลูกศิษย์ธรรมดาสามัญ
บทที่ 725 ลูกศิษย์ธรรมดาสามัญ
เหนือเศียรของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มีร่างธรรมมัญชุศรีที่นั่งขัดสมาธิพนมมืออยู่
ทว่าร่างธรรมระดับเพชรไม่อาจรวมร่างได้เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาการบาดเจ็บนั้นไม่ได้อยู่แค่บนร่างกาย แต่ยังเจ็บลึกถึงแหล่งกำเนิด ตอนนี้จึงบังเกิดได้แค่ร่างธรรมร่างเดียว
เทพเจ้าหยางของนักบวชเต๋าเฮยเหลียนแบ่งร่างออกเป็นสี่ร่างอีกครั้ง ขณะนี้จึงปรากฏร่างธรรมทั้งสี่แห่งลัทธิเต๋าอย่าง ‘ดิน น้ำ ลม ไฟ’ ขึ้นมา
ค่ายกลทรงกลมปรากฏขึ้นใต้เท้าของสวี่ผิงเฟิง นี่คือแผ่นค่ายกลที่จะควบคุมได้เมื่ออยู่ขั้นสามขึ้นไป และเป็นค่ายกลที่ควบรวมขึ้นมาหลังจากผสานของวิเศษอย่าง ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ จนสมบูรณ์แล้ว
ในวงการปรมาจารย์ค่ายกล สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ค่ายกลแม่’
เมื่อมี ‘ค่ายกลแม่’ เป็นรากฐาน ก็จะสามารถแสดงค่ายกลทั้งหมดออกมาได้ ทั้งหยินหยางห้าธาตุ ดินน้ำลมไฟและสายฟ้า รวมถึงค่ายกลเล็กๆ สามร้อยหกสิบแบบที่ขยายจากค่ายกลใหญ่สิบเอ็ดชนิดด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่อาศัยค่ายกลแม่เพื่อแสดงผลออกมาได้ตามใจนึก
ไป๋ตี้เสียเขาไป แม้ว่าจะยังสามารถอัญเชิญสายฟ้าและวิญญาณน้ำได้ แต่พลังก็ลดลงเป็นอย่างมาก โชคดีที่มันเป็นบุตรหลานของเทพมาร กายเนื้อจึงยังอยู่ยงคงกระพัน
“ไป!”
ร่างจริงนักบวชเต๋าเฮยเหลียนยืนนิ่งไม่ขยับแล้วควบคุมร่างธรรมทั้งสี่ให้พุ่งไปยังท่านโหราจารย์จาก ‘ซ้ายขวาหน้าหลัง’ ทั้งสี่ทิศทาง
ร่างธรรม ‘ลม’ ที่ราวกับกำเนิดขึ้นจากสายลมมีความเร็วมากที่สุด เพียงชั่วลมหายใจก็พุ่งมาอยู่ข้างกายท่านโหราจารย์แล้วกวัดแกว่งใบมีดลมสายแล้วสายเล่าออกมา
ร่างธรรมเปลวไฟกลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งมายังด้านหน้าของท่านโหราจารย์ และคิดจะแผดเผาจนตัวตายไปพร้อมกัน
ร่างธรรมที่มีจิตวิญญาณแห่งน้ำสีนิลพิสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ ก็ระเบิดจนกลายเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากไหลหลากมายังทางด้านขวาของท่านโหราจารย์พร้อมเสียงดังสะเทือน
ร่างกายของร่างธรรม ‘ดิน’ นั้นทั้งบึกบึนและเงอะงะ จึงเชื่องช้าที่สุด มันพุ่งเข้ามาหาท่านโหราจารย์ราวกับวัวกระทิง หากตอนนี้อยู่บนพื้น ย่อมมีเสียงอึกทึกโครมครามดังก้องอยู่ในหูเป็นแน่
ท่านโหราจารย์ยื่นฝ่ามือไปทางด้านซ้ายเป็นอันดับแรก โล่กำบังหกเหลี่ยมผุดขึ้นมาจนเกิดเสียงดังปึงปัง…ดาบสายลมฟาดฟันโดนโล่กำบังจนเกิดเสียงกระหึ่ม จากนั้นก็กระจายกลายเป็นลมคลั่ง
จากนั้น เขาก็เคลื่อนตัวไปทางขวาหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือเข้าไปในแม่น้ำสีดำที่ไหลเชี่ยวกรากแล้วดึงดาบยาวสีดำสนิทเล่มหนึ่งออกมา
หลังจากดึงดาบออกมา ร่างธรรม ‘น้ำ’ ก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อได้ จึงพังทลายลงไป ขณะเดียวกัน ท่านโหราจารย์ก็ก้าวยาวไปข้างหน้าแล้วฟัดร่างธรรมเปลวเพลิงไปหนึ่งดาบ
ไอน้ำระเหยขึ้นพร้อมเสียง ‘ฉ่า ฉ่า’ เปลวไฟถูกจิตวิญญาณน้ำดับลงแล้ว
ท่านโหราจารย์หยิบประกายไฟขึ้นมากำไว้ในมือแล้วป่าเบาๆ
‘ฟู่ว!’
เขาเป่าออกมาเป็นลิ้นเปลวเพลิงยาวหลายสิบจั้ง และกลืนกินร่างธรรม ‘ดิน’ ที่พุ่งเข้ามาลงไปจนหมด
เปลวไฟดับลง ร่างธรรม ‘ดิน’ กลายเป็นเศษขี้เถ้าลอยล่องออกไป
สุดท้าย ท่านโหราจารย์ก็รวบรวมขี้เถ้าสีดำแล้วจับไว้แน่น ก่อนจะ ‘หลอม’ กำแพงดินสีดำสูงหลายสิบจั้งออกมา จากนั้นจึงสลายร่างธรรม ‘ลม’ ได้
การกระทำชุดนี้ใช้เวลาไม่ถึงสองวินาที โดยใช้น้ำพิชิตไฟ ใช้ไฟพิชิตดิน ใช้ดินพิชิตลม แล้วทำลายร่างธรรมสี่ธาตุของลัทธิเต๋าลงได้
ในฐานะโหรขั้นหนึ่ง นี่เป็นแค่วิธีการธรรมดาทั่วๆ ไป มีเพียงจอมยุทธ์เท่านั้นจึงจะวู่วามใช้วิธีแข็งชนแข็ง
นักบวชเต๋าเฮยเหลียนสะอึกออกมาคำหนึ่งราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างหนักหน่วง
ท่านโหราจารย์ขมวดคิ้วและก้มหน้ามองมือขวา ไม่รู้ว่ามันเปื้อนสีดำตั้งแต่เมื่อใด พลังอันต่ำทรามได้เข้ารุกรานร่างกายของเขาแล้ว
“ฮึ!”
นักบวชเต๋าเฮยเหลียนยิ้มอย่างได้ใจ เขาสังเกตดูท่านโหราจารย์สลายวรยุทธ์วิญญาณน้ำของไป๋ตี้มาตั้งแต่ต้นและรู้ว่าเขามีนิสัยชอบหล่อหลอมวรยุทธ์ของศัตรู
ดังนั้นในร่างธรรม ‘น้ำ’ ที่ดำสนิท จึงมีพลังต่ำทรามอันดำมืดปลอมปนเข้าไปด้วยเช่นกัน
และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อท่านโหราจารย์หลอม ‘อาวุธ’ ออกมาจากพลังแห่งวิญญาณน้ำ พลังต่ำทรามจึงมีโอกาสแทรกซึมเข้าไปได้
นิกายปฐพีฝึกฝนบุญกุศล หลังจากกลายเป็นมาร พลังแห่งบุญกุศลก็กลายเป็น ‘พลังต่ำทราม’ นี่คือวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ซึ่งเหนือล้ำยิ่งกว่าร่างธรรม ‘ดินน้ำลมไฟ’ เสียอีก
ท่านโหราจารย์กำมือขวาแน่นแล้วสลัดของเหลวสีดำข้นส่วนใหญ่ออกไป ส่วนน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์มากดเอาไว้
ของเหลวไหลทะลักลงมาจากกลางอากาศ พื้นดินโชคร้ายที่สัมผัสกับมันก็กลายเป็นดินแดนรกร้างที่เพาะปลูกไม่ได้ ต้นไม้ล้วนเหี่ยวเฉา สัตว์ป่าต่างก็คลุ้มคลั่ง
แสงสีใสใต้เท้าของท่านโหราจารย์สว่างขึ้น แล้วหายตัวมายังเบื้องหน้าของเฮยเหลียนแล้วฟันฝ่ามือลงไปยังกลางศีรษะของเขา
สิ่งที่เฮยเหลียนสัมผัสได้ไม่ใช่พลังฝ่ามือ สิ่งที่เขาเห็นก็ไม่ใช่ฝ่ามือที่สับลงมาของท่านโหราจารย์ สิ่งที่เฮยเหลียนเห็นคือเจินเต๋อ คือเพื่อนร่วมนิกายปฐพีมากมายที่ตายอยู่ในมือของเขา คือผู้หญิงที่ถูกเขาขืนใจ คือชาวบ้านธรรมดาที่ตายด้วยน้ำมือเขา
ความโกรธเกรี้ยวของคนเหล่านี้รวมกันเป็นแม่น้ำแล้วกลืนกินตัวเขา
พลังแห่งเวไนยสัตว์…ความโกรธาแห่งปวงชน!
เขาสูญเสียความคิดที่จะต่อต้านไปในทันที รู้สึกได้เพียงแต่ตนนั้นชั่วช้าเลวทราม ไม่สู้ไปเป็นขนนกเสียยังดีกว่า
ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สองมือทำมุทราผนึก เบื้องหลังมีร่างธรรมมัญชุศรีนั่งก้มหน้าทำสมาธิ และเคลื่อนไหวตามมุทราของเขา
ช่องว่างระหว่างท่านโหราจารย์และเฮยเหลียนราวกับควบแน่นจนเป็นกำแพงที่ลมไม่อาจพัดเข้ามาได้ ฝ่ามือที่ตบลงมากลางศีรษะก็ถูกพลังยิ่งใหญ่ขวางเอาไว้
ขณะเดียวกันนั้น สวี่ผิงเฟิงก็ยกเท้าเหยียบลงไป ค่ายกลแม่กลายเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จู่ๆ ก็แผ่ขยายออกมาครอบคลุมเฮยเหลียนก็เข้าไปอยู่ในขอบเขตของค่ายกลด้วย
เฮยเหลียนปรากฏตัวอยู่ข้างกายสวี่ผิงเฟิงแล้วหลบเลี่ยงชะตากรรมสิ้นชีพไปได้
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สร้างผนึกอย่างรวดเร็ว แล้ว ‘แช่แข็ง’ อากาศรอบๆ ท่านโหราจารย์ ไม่ให้โอกาสเขาได้เคลื่อนย้ายไปสังหารต่ออีก
‘ซือ ซือ’ ไป๋ตี้อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดออก ลูกสายฟ้าสีขาวจรัสกำลังเดือดอยู่ในปากของมัน
ท่านโหราจารย์วางมือหนึ่งไว้บนเอวแล้วดึงออกมาอย่างแรง นั่นคือแส้ต้อนแกะของซ่าหลุนอากู่
ผลลัพธ์การกัดกร่อนของเฮยเหลียนได้หายไปแล้ว แส้สังหารเทพจึงสามารถใช้งานได้อีกครั้ง
‘พลั่ก!’
แส้สะบัดอยู่กลางอากาศแล้วทำให้อากาศที่แน่นิ่งผืนนั้นกลับมา ‘มีชีวิต’
เขาไม่ได้พยายามโจมตีพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เพื่อทำลายผนึกมัญชุศรี เพราะมันจะล้มเหลวอย่างแน่นอน
ครู่ต่อมา ท่านโหราจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าไป๋ตี้ เขาปิดกั้นความลับของสวรรค์ในช่วงสั้นๆ จึงสามารถซ่อนตัวจากการรับรู้ของไป๋ตี้ได้อย่างราบรื่นและเข้าใกล้ได้สำเร็จ
ท่านโหราจารย์กดริมฝีปากบนล่างของไป๋ตี้แล้วดันมันปิดอย่างแรง
‘ตูม!’
ลูกสายฟ้าระเบิดอยู่ในปากของไป๋ตี้จนควันสีดำลอยออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของมัน สมองที่มีลวดลายเหมือนกับมันฮ่อกระเด็นออกมา ดวงตาดุร้ายสีฟ้านูนออกมาอย่างแรง
ประกายแสงในแววตาของไป๋ตี้เลือนรางจนหม่นลง ร่างกายร่วงโรยอย่างช้าๆ ผิวหนังของมันมีสายฟ้าโลดเต้นอยู่ แขนขากระตุกเกร็งและลอยตัวอยู่เหนือเมฆ สูญเสียพลังต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้เอง เหนือศีรษะของท่านโหราจารย์ก็ปรากฏเงาร่างของสวี่ผิงเฟิง
สองมือของเขากลายเป็นวงแสงแล้ว ‘ผูกมัด’ ท่านโหราจารย์ที่อยู่ด้านล่างไว้ภายใน ‘หวึ่ง’ ค่ายกลทรงกลมถูกจัดเรียงเป็นเสา ในค่ายกลทรงกลมนี้ ผสานด้วยหยินหยางห้าธาตุและลมกับสายฟ้า ล้วนแล้วแต่เน้นไปที่ด้านการโจมตีและการทำลาย
ผนึกมัญชุศรีปิดกั้นพื้นที่รอบๆ ท่านโหราจารย์อีกครั้ง ป้องกันไม่ให้เขาเคลื่อนย้ายเพื่อหลบหนี
“จงวางดาบลง!”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่ลืมที่จะแสดง ‘ศีล’ เพื่อสร้างอิทธิพลต่อท่านโหราจารย์ เพื่อทำให้เขาไม่อาจสะบัดแส้และ ‘แตกสลาย’ อยู่กลางอากาศ
ทุกคนล้วนเป็นขั้นหนึ่ง ต่อให้เป็นท่านโหราจารย์ก็ไม่อาจปิดกั้นผลกระทบจาก ‘ศีล’ ได้ทั้งหมด เพียงแต่เวลาที่ศีลคงอยู่นั้นสั้นเกินไป สั้นจนแทบจะไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ภายใต้อิทธิพลสองทาง ท่านโหราจารย์กลับไม่ได้หลบหรือสะบัดแส้สังหารเทพในมือ
เขาเพียงแต่ยกมือขึ้นตบลงไป
ภาพเบื้องหน้าของสวี่ผิงเฟิงเลือนรางริบหรี่ เห็นเพียงแต่ชาวบ้านที่อดอยากหิวโหย สองตาของพวกเขาแดงก่ำ และกำลังก่นด่าสาปแช่งเขา ขบเขี้ยวกัดฟันใส่เขา และทำท่าทางอยากจะฉีกกระดูกของเขาออก
เขาโต้กลับแล้ว โต้กลับโดยใช้โชคชะตา
ประชาชนเป็นตัวแทนของโชคชะตาแห่งภาคกลาง สถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับต้าฟ่ง ส่วนใหญ่ล้วนมีต้นเหตุมาจากสวี่ผิงเฟิงทั้งนั้น
ค่ายกลทรงกลมเหล่านั้นค่อยๆ เลือนหายไปเพราะสูญเสียการสนับสนุนจากเจ้าของ
ตอนนี้เอง พลังแห่งศีลก็หมดลง ท่านโหราจารย์ลงมือตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาสะบัดแส้สังหารเทพออกมา
‘พลั่ก!’
เขาฟาดไปบนร่างของสวี่ผิงเฟิงจนทำให้อีกฝ่ายกระเด็นออกไปราวกับเป็นกระสอบทราย
‘พลั่ก!’
ท่านโหราจารย์สะบัดแส้ครั้งที่สองออกมา แต่แส้นี้โจมตีไปที่ร่างธรรม ‘ลม’ ของเฮยเหลียน เพราะในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ร่างธรรมลมที่เก่งกาจด้านความเร็วได้เข้ามาช่วยชีวิตสวี่ผิงเฟิงไว้
ร่างธรรม ‘ลม’ แตกซ่าน เฮยเหลียนกระอักออกมาคำหนึ่งราวกับโดนโจมตีอย่างรุนแรง
“จงวางดาบลง!”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พุ่งพรวดเข้ามาและไม่ให้โอกาสท่านโหราจารย์ได้สะบัดแส้โจมตีอีก อันดับแรกเขาเคลื่อนไหว้โดยใช้ศีลมาก่อกวน หลังจากเคลื่อนตัวเข้าใกล้แล้ว กล้ามเนื้อด้านหลังก็เคลื่อนไหวอย่างแรง จีวรถูกพัดขึ้น
‘โครม!’
เขาต่อยหมัดออกมาจนเกิดเสียงดังอึกทึกสะเทือนแก้วหู
แม้ว่าจะสูญเสียร่างธรรมระดับเพชร พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็ยังคงเป็นร่างวิญญาณขั้นหนึ่ง มีพลังขั้นหนึ่ง และมีวรยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ท่านโหราจารย์และเขาปะทะฝ่ามือกัน สองฝ่ายต่างก็กระเด็นถอยหลัง
พลังฝ่ามือที่มีพลังแห่งเวไนยสัตว์ไม่อาจยับยั้งเจียหลัวซู่ได้ แต่สามารถขัดขวางกระบวนท่าต่อจากนี้ของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้ จนทำให้เขาไม่อาจใช้วรยุทธ์สลายแรงออกมา
ตอนนี้ ในบรรดาผู้อยู่เหนือสามัญกลางทะเลเมฆาทั้งห้านี้ ล้วนแต่ถือว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุดทั้งนั้น ทว่าไป๋ตี้ร่างเกร็งกระตุก ถูกสายฟ้าที่ตัวเองก่อขึ้นมาสะท้อนกลับ ร่างธรรมเฮยเหลียนก็ถูกทำลายไปติดๆ เขาก็ถูกพลังสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน
สวี่ผิงเฟิงถูกโชคชะตาสะท้อนกลับ ทั้งยังถูกแส้สังหารเทพฟาดไปหนึ่งแส้ สภาพย่ำแย่ที่สุด
อันดับแรก ท่านโหราจารย์ใช้ฐานะของโหรมาแบกรับราคาที่ต้องจ่ายให้กับการมาเยือนของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็ถูกร่างธรรมที่กลับชาติมาเกิดของมหาไวโรจนะทำให้บาดเจ็บสาหัส แม้ว่าตอนนี้จะรองรับพลังแห่งเวไนยสัตว์อยู่ ดูแล้วองอาจน่าเกรงขามเหนือใคร แต่ร่างกายของเขายังจะทนได้นานแค่ไหนนั้น ก็ไม่อาจรู้ได้
มีเพียงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ที่แม้ว่าจะสูญเสียศีรษะและบาดเจ็บสาหัสจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นเพราะเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรบของเขา สภาพของเขานับว่าดูดีที่สุด
เป็นรองเพียงผู้อยู่เหนือระดับ พลังป้องกันคือที่หนึ่ง สมญานามนั้นไม่ได้มีไว้เรียกเฉยๆ
“แค่กๆ…”
สวี่ผิงเฟิงที่มีเลือดอาบย้อมชุดขาวยกมือปิดปากแล้วไออย่างรุนแรง เลือดข้นเหนียวหนืดไหลแทรกออกมาจากง่ามนิ้วของเขา
เขาที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงมองไปยังท่านโหราจารย์ผู้ไร้เทียมทาน แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว มีเพียงความนิ่งสงบเท่านั้น
“ท่านโหราจารย์ ตอนนั้นที่ข้าได้ลาออกจากราชสำนักและตัดสินใจสนับสนุนเมืองเฉียนหลง ก็รู้แล้วว่าจะต้องมีศัตรูเยอะมากแน่ ดังนั้นยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ทุกย่างก้าวทุกขั้นตอนจึงกระทำอย่างมีการคิดคำนวณมาตลอด
“ทั้งอ๋องสยบแดนเหนือ เว่ยเยวียน และเจินเต๋อ แต่ละคนถูกข้าคิดคำนวณความตายให้ทีละคนๆ แต่ข้ารู้ว่าศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าก็คือท่าน! หากไม่สังหารท่าน แผนการทั้งหมดล้วนกลายเป็นความว่างเปล่าและได้แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเท่านั้นแล้ว”
สวี่ผิงเฟิงกลืนเลือดลงลำคอและค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา
“ดังนั้น เมื่อข้าตัดสินใจก้าวครั้งนั้น อาจารย์อย่างท่านก็กลายเป็นคนที่ต้องหาวิธีสังหารเป็นอันดับแรก ซึ่งแผนการที่จะกำจัดท่านก็ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ความจริงจะสนับสนุนใครก็ล้วนเหมือนกัน แล้วทำไมเมื่อห้าร้อยปีก่อนข้าต้องเลือกเส้นทางนั้นด้วย? อาจารย์ ท่านเคยคิดถึงคำถามข้อนี้หรือไม่ ทหาร เสบียง ล้วนแต่เป็นเพียงของตกแต่งเพิ่มเติม ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ข้าเลือกเมืองเฉียนหลงหรอก
“อาจารย์สามารถมองเห็นอนาคตได้ วันนี้ท่านจึงได้ตระเตรียมดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอกล่วงหน้า แล้วนำแส้สังหารเทพของซ่าหลุนอากู่มาด้วย ท่านเตรียมการได้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็เพราะว่าท่านรู้ว่า ในสงครามนี้ ศิษย์นอกคอกอย่างข้าจะโต้กลับเต็มกำลัง และคิดว่าสงครามในอนาคตที่ท่านมองเห็น ผู้ที่ตายคือพวกเรา และผู้ชนะก็คือท่านใช่หรือไม่ ขณะเดียวกัน ท่านยังถือโอกาสทำให้พระพุทธเจ้าบาดเจ็บสาหัส เพื่อปูทางไปสู่อนาคตที่วางไว้
“ท่านเตรียมการได้พร้อมสรรพขนาดนั้น และคำนวณทุกอย่างไปเสียหมด”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ส่ายหน้าเบาๆ “คิดคำนวณทุกอย่างได้ฉลาดยิ่งนัก”
“ส่วนสิ่งที่ข้าต้องการ ก็คือการคิดคำนวณที่แม่นยำไม่ผิดพลาดของท่านโหราจารย์” เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ สวี่ผิงเฟิงก็เผยรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้ออกมา
“อาจารย์ลองคิดคำนวณดูสักหน่อยสิว่าข้าที่รู้ถึงอำนาจของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า และเป็นเพียงลูกศิษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่เหตุใดถึงมีความมั่นใจมากจนมาเป็นศัตรูกับท่านเช่นนี้ได้?”
…………………………