ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 726 ใกล้หายนะ (1)
บทที่ 726 ใกล้หายนะ (1)
“ข้าเคยคิดว่า อาจารย์อาศัยความเป็นพันธมิตรของสำนักพุทธ เข้าล้อมเมืองยึดที่มั่นกระทำการทีละขั้นทีละตอน สร้างสถานการณ์บีบบังคับจนการสังหารอาจารย์เป็นผลสำเร็จ”
สวี่ผิงเฟิงเอ่ยปากพูดคราใดหยาดโลหิตก็ไหลจากมุมปากครานั้น เขาบาดเจ็บสาหัสภายใน แต่ภายนอกจงใจทำทีท่ากระฉับกระเฉง
บางคำพูดติดค้างอยู่ในใจมากว่ายี่สิบปี บางแผนการอดทนรอคอยมากว่ายี่สิบปี ตอนนี้ถึงเวลาจึงสำรอกออกมาได้อย่างรวดเร็ว
“แต่หลังจากวิเคราะห์อย่างรอบคอบและทบทวนขั้นตอนการก่อกบฏของอู่จงแล้ว การจะอนุมานถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างย่อมเป็นเรื่องง่าย เป็นต้นว่า…”
จู่ๆ ดวงตาของสวี่ผิงเฟิงก็ฉายแววฉลาดหลักแหลม
“ในช่วงต้นที่เกิดกบฏอู่จงขึ้น ทำไมคนรุ่นก่อนจึงตั้งตัวไม่ทัน แม้การสังหารอาจารย์จะเป็นชะตากรรมของระบบโหร แต่การสังหารลูกศิษย์ก็เป็นชะตากรรมด้วยเช่นนั้นรึ? ไม่มีเหตุผลเลยที่รุ่นแรกจะปล่อยให้อู่จงก่อกบฏเพื่อเลื่อนตำแหน่งตัวเองขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า”
“มันน่าขันที่โหรขั้นหนึ่งผู้สง่างามจะมองไม่เห็นการกระทำของลูกศิษย์ เหตุผลในเรื่องนี้ ไป๋ตี้เพิ่งบอกว่า อาจารย์เป็นผู้เฝ้าประตูและใช้วิธีการบางอย่างเพื่อหลอกสายตาคนรุ่นก่อนที่มองเห็นอนาคต”
“มิใช่ลูกศิษย์หรอกหรือ?”
ท่านโหราจารย์ถือแส้ต้อนแกะไว้ในมือ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ และกวาดตามองคล้ายไม่แยแส
“ผู้เฝ้าประตูไม่ใช่ประเด็น” สวี่ผิงเฟิงส่ายหัว
“ประเด็นคือวิธีการของท่านรบกวนการมองอนาคตของคนรุ่นก่อน เพราะวิธีนี้ท่านจึงหลอกคนรุ่นก่อนได้สำเร็จและป้องกันไม่ให้เขาเห็นจุดจบของตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อาจารย์ของท่านตั้งตัวไม่ทัน”
เฮยเหลียนยิ้มขำเหมือนฟังเรื่องตลก
“งั้นรึ? ถ้าเจ้าไม่ใช่ผู้เฝ้าประตู แล้วเจ้าจัดการกับท่านโหราจารย์ที่เป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้อย่างไร?”
สวี่ผิงเฟิงส่ายหัว
“ข้ามิใช่ผู้เฝ้าประตู ดังนั้นข้าจึงไม่อาจจัดการปรมาจารย์ลิขิตฟ้าขั้นสองได้ มีเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้าด้วยกันเท่านั้นที่จัดการกันเองได้”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ ค่ายกลวงกลมใต้ฝ่าเท้าของสวี่ผิงเฟิงก็ขยายวงอย่างรุนแรง ก่อตัวเป็นค่ายกลมหึมาแสนงดงามที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบลี้ ผนวกรวมเอาเหล่าเหนือมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นไปด้วย
ในขณะที่ค่ายกลขยายตัว สวี่ผิงเฟิงก็เปิดกระเป๋าที่ห้อยอยู่ตรงเอว ลำแสงหนึ่งพวยพุ่งออกมาเต้นเร่าอยู่เหนือหัวทุกคน พวกมันล้วนเป็นวัตถุทองสัมฤทธิ์
พวกมันมีกลิ่นอายและสีพื้นหลังเหมือนกัน เหมือนกับชิ้นส่วนของอาวุธเวทมนตร์ขนาดยักษ์
จานกลมที่สลักรูปปลาไท่จี๋เป็นจานแรกที่ทรงตัวอยู่นิ่งในอากาศ จากนั้น มันก็เป็นแกนกลาง ดึงดูดส่วนอื่นๆ เข้ามาและจัดเรียงตัวเข้าด้วยกันดัง ‘คลิก’
ในอีกด้านหนึ่ง พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ใช้ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีสร้างตราประทับผนึกพื้นที่ หยุดยั้งวิชาส่งตัวของท่านโหราจารย์เพื่อซื้อเวลาในการปรับโครงสร้างชิ้นส่วนใหม่
ในที่สุดท่านโหราจารย์ที่มักแสดงท่าทีเฉยเมยตลอดเวลาก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างคาดไม่ถึง
ระหว่างขั้นตอนนี้เอง สวี่ผิงเฟิงก็ถอนหายใจและพูดว่า
“ไม่ใช่ว่าข้าเจอทายาทสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วนี้เอง แต่เป็นพวกเขาหาข้าเจอ พวกเขาซ่อนตัวอย่างดีจนห้าร้อยปีมานี้ราชสำนักยังไม่เจอตัวพวกเขา ไม่อย่างนั้นข้าจะหาตัวพวกเขาเจอและเป็นพันธมิตรกับพวกเขาในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ได้อย่างไร?
“คนที่คิดจะตามหาข้าก่อนคือทายาทสายเลือดศิษย์รุ่นที่สองของท่านโหราจารย์รุ่นแรก อาจารย์จำได้หรือไม่ว่าข้าเคยถามท่านว่าจะเลื่อนอันดับเป็นขั้นที่หนึ่งได้อย่างไร แล้วเขาก็บอกความจริงกับข้า
“ที่จริงในตอนนั้นข้าได้รู้ความจริงจากทายาทสายเลือดโหรแห่งเมืองเฉียนหลงแล้ว แต่ข้าไม่อยากเลิกหวังกับท่าน ดังนั้นข้าจึงเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ในราชสำนักโดยพยายามเป็นเสนาบดีผู้มากความสามารถ ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้ารวบรวมโชคชะตา
“ข้าคิดว่าตราบเท่าที่ราชวงศ์ต้าฟ่งยังขยายอาณาเขต ทั้งยังผนวกเอาอาณาเขตส่วนหนึ่งของสำนักโหรและคนเถื่อนทางตอนเหนือเข้ากับที่ราบลุ่มภาคกลางได้ ก็อาจมีโชคมากพอที่จะสร้างปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้สักคนสองคน
“แต่ความพยายามของข้าก็ล้มเหลวก่อนจะเริ่มด้วยซ้ำ การกดปราบของหยวนจิ่งและการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มต่างๆ ทำให้ตระกูลสวี่แตกสลาย…ทำไมท่านไม่ช่วยข้า ถ้าในตอนนั้นท่านช่วยข้า ทุกคนรวมถึงราชวงศ์ต้าฟ่งก็คงไม่มาถึงจุดที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้แน่ ท่านโหราจารย์ ท่านเป็นคนผลักข้าไปสู่เส้นทางที่สายเลือดทายาทเมื่อห้าร้อยปีก่อนเป็นอยู่”
พอพูดถึงอดีต สวี่ผิงเฟิงก็ถอนใจ วันนี้ความขุ่นเคืองแต่เดิมหายไป ทว่าถ้อยคำเหล่านี้ฝังอยู่ในใจมาหลายปี หากเขาไม่พูดตอนนี้ ในอนาคตคงไม่มีโอกาส
“ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกสายเลือดทายาทเมื่อห้าร้อยปีก่อนและของต่อรองที่พวกเขามอบให้ข้าก็คือ…”
สวี่ผิงเฟิงชี้ไปยังอาวุธเวทมนตร์ที่อยู่เหนือหัวเขา ในขณะนี้ ชิ้นส่วนทองสัมฤทธิ์เหล่านั้นจัดเรียงตัวขึ้นมาใหม่แล้ว
นี่คือจานกลมขนาดมหึมา แกนกลางเป็นรูปปลาไท่จี๋ ลวดลายขอบด้านนอกประกอบไปด้วยห้าธาตุแปดทิศ มีดอกไม้ นก ปลา แมลง ภูเขา แม่น้ำ ตะวัน จันทรา ฉากบรรพชนเซ่นสังเวยสู่สรวงสวรรค์และผืนดิน
ดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์ทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะถูกจารึกไว้ในนั้น
‘หึ่ง หึ่ง!’ หลังจากอาวุธเวทมนตร์จัดเรียงตัวขึ้นมาใหม่แล้ว มันก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบลี้ มีขนาดเท่ากับค่ายกลวงกลมใต้เท้าสวี่ผิงเฟิงพอดิบพอดี
อาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์หันไปด้านหนึ่ง ขณะที่ค่ายกลวงกลมใต้เท้าสวี่ผิงเฟิงหันกลับด้านกัน
ในชั่วพริบตา ทุกคนก็สังเกตเห็นว่ามีพลังที่ไม่อาจอธิบายได้เข้าปกคลุมสถานที่แห่งนี้ จากนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงโลกภายนอกอีกต่อไป ราวกับว่าพวกเขาอยู่อีกโลกหนึ่งที่แยกตัวออกจากฟากฟ้าและผืนดินของจิ่วโจว
กลิ่นอายของท่านโหราจารย์ลดฮวบลงทันที เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกและพรจากพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงก็พลันสูญสิ้นไป
“แน่นอนว่ามีเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเท่านั้นที่สามารถจัดการกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้าด้วยกันได้”
เมื่อเห็นว่า ท่านโหราจารย์สูญเสียพรจากพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงไป ปากของสวี่ผิงเฟิงก็กระตุกและเดาะลิ้นตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
อาวุธเวทมนตร์นี้เป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์รุ่นแรกทิ้งไว้ให้ มีความสามารถอยู่สองอย่างและความสามารถสองอย่างนี้สามารถยับยั้งอำนาจของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้
ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าสามารถระดมพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในพื้นที่ที่ตนอยู่ หากเป็นพวกระดับเดียวกันก็จะกลายเป็นผู้ไร้พ่าย จำต้องรวมพลังกับผู้บำเพ็ญขั้นหนึ่งหลายองค์จึงจะจัดการเขาได้
ความสามารถแรกของอาวุธเวทมนตร์นี้คือการป้องกันพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ถ้าปรมาจารย์ลิขิตฟ้าอยู่ในนั้นก็จะถูกตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก
แน่นอนว่ามีเวลาจำกัด
ความสามารถที่สองเป็นความสามารถแฝง คือไม่อาจทำนายหรือสอดแนมได้
คำอธิบายให้เห็นภาพคือ…ท่านโหราจารย์ไม่สามารถมองเห็นการมีอยู่และความเป็นไปในอนาคตของเขาได้
นี่เป็นอำนาจที่มาพร้อมกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
หากมีปรมาจารย์ลิขิตฟ้าสองคนในโลกใบนี้ พวกเขาย่อมไม่สามารถสอดส่องซึ่งกันและกันได้ รวมทั้งการมองไปในอนาคตด้วย เพราะพวกเขามีความสามารถเหมือนกัน
“ข้าสงสัยว่าความสามารถของผู้เฝ้าประตูเองก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในอำนาจของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าด้วย ท่านใช้วิธีการที่คล้ายกันเพื่อซ่อนสายตาสอดรู้สอดเห็นจากรุ่นแรกมิใช่หรือ?” สวี่ผิงเฟิงพูดไปยิ้มไป
“หากท่านสามารถสอดส่องอนาคตได้ แล้วท่านรู้ว่าจะต้องตายในการต่อสู้ครั้งนี้ ท่านก็ย่อมจัดการเป้าหมายก่อน เพื่อไม่ให้แผนการพังทลาย ดังนั้นถ้าท่านอยากจะสังหารอาจารย์ ท่านก็ต้องซ่อนตัวจากการสอดส่องอนาคตของอาจารย์”
“นี่คือวิธีที่ท่านจัดการกับรุ่นแรกและเป็นไพ่ตายของข้าด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าจะกล้ากบฏงั้นหรือ”
นักบวชเต๋าเฮยเหลียนกลับเย้ยหยันและพูดจาน่าชังออกมา
“หากของต่อรองของเขาไม่มากพอ ข้าจะเป็นพันธมิตรกับเขาได้อย่างไร”
เขาไม่สนใจใคร
เขาแสดงความอาฆาตพยาบาทและความพึงพอใจอย่างไร้เหตุผล โดยไม่เก็บกดด้านน่าชังของมนุษย์ไว้เลย
สวี่ผิงเฟิงไออีกครั้ง เขาเช็ดเลือดจากมุมปากตัวเองแล้วพูดว่า
“ในตอนนั้น ท่านสนับสนุนการกบฏของอู่จงและเป็นพันธมิตรกับสำนักพุทธ ท่านโหราจารย์รุ่นแรกรู้ว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่จบลงแล้วและรู้ว่าในอนาคตท่านจะได้เลื่อนขึ้นเป็นโหรขั้นหนึ่ง และเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ เพราะการจัดการกับปรมาจารย์ลิขิตฟ้ายากเกินกว่าที่ศิษย์รุ่นหลังที่ขึ้นมาทดแทนจะสามารถทำได้
“ด้วยเหตุนี้ในตอนนั้นเขาจึงเริ่มวางแผนว่าจะฆ่าท่านอย่างไรและเริ่มวางแผนการฟื้นฟูสายเลือดทายาทเมื่อห้าร้อยปีก่อนไว้คร่าวๆ
“เขาทิ้งของสองอย่างไว้เบื้องหลัง อย่างแรกนั้นคือ อำนาจการหลอมอาวุธเวทมนตร์ของปรมาจารย์ลิขิตฟ้ารุ่นแรกที่ซ่อนไว้ในสุสานจำลองของจักรพรรดิเกาจู่และปล่อยให้ลูกหลานที่ดูแลมหาสุสานเฝ้ารอโอกาส”
ท่านโหราจารย์รุ่นแรกมีอายุเท่าบ้านเมือง ดังนั้นจึงแน่นอนว่าย่อมไม่มีสุสานอยู่ แท้จริงแล้วมหาสุสานที่ตระกูลไฉปกป้องนั้นเป็นหนึ่งในสุสานจำลองของจักรพรรดิเกาจู่
นานมาแล้วในสมัยโบราณ จักรพรรดิย่อมไม่มีสุสานเพียงแห่งเดียว นอกจากสุสานจริงก็ยังมีสุสานจำลองอีกหลายแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อบิดเบือนสายตาผู้อื่น
และสำนักโหราจารย์เป็นผู้รับผิดชอบดูแลการก่อสร้างสุสานหลวง
“คนรุ่นแรกมีความคิดละเอียดอ่อน จึงไม่ได้บอกเรื่องอาวุธเวทมนตร์นี้กับทายาทสายเลือดคนแรก และยังไม่ได้บอกกับทายาทสายเลือดเชื้อสายราชวงศ์คนแรกเมื่อห้าร้อยปีก่อนด้วย บอกเพียงแต่ว่าเมื่อมีโหรขั้นสองที่ต้องการแทนที่ท่านโหราจารย์ปรากฏตัวขึ้น ให้พาเขาไปที่ตระกูลไฉ
“แต่จิตใจผู้คนสุดที่จะคาดเดา ในที่สุดลูกหลานตระกูลไฉก็ไม่อาจแบกรับความยากไร้และความโดดเดี่ยวได้ จึงไม่สนใจคำสั่งของบรรพบุรุษ ละทิ้งตัวตนของพวกเขาในฐานะผู้เฝ้าสุสานและกลับสู่โลกแห่งมนุษย์
“ในตอนนั้น ข้าบังเอิญเริ่มก่อสร้างพระราชวังเทียนจีขึ้นพอดี จึงกระจายสายลับไปทั่วที่ราบลุ่มภาคกลางเพื่อค้นหาคนแซ่ไฉที่อยู่ในโลกนี้ หลังจากใช้เวลาเกือบสิบปี ในที่สุดข้าก็พบตระกูลไฉในเซียงโจว”
สวี่ผิงเฟิงหยุดชั่วครู่ หันไปมองหน้าท่านโหราจารย์ หวังจะเห็นอาการตกใจและความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเขา แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อท่านโหราจารย์สงบนิ่งอย่างยิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
“สำหรับคนที่คอยสอดส่องความลับสวรรค์เช่นท่าน ข้าคิดว่าท่านคงเฝ้ามองชีวิตและความตายของศิษย์ผู้เปี่ยมศรัทธาด้วยความอิ่มเอมใจ” สวี่ผิงเฟิงถอนหายใจเบาๆ และพูดต่อ
“ประการแรก นั่นคือชะตาบ้านเมือง
“ใช้สงครามเพื่อหาทางใช้ประโยชน์จากชะตาบ้านเมืองของราชวงศ์ต้าฟ่ง จากนั้นก็แอบขโมยมันมา แล้วเก็บโชคชะตาไว้ในภาชนะผู้มีสายเลือดราชวงศ์ และค่อยๆ ขัดเกลามัน เพื่อใช้เสริมโชคชะตาให้กับทายาทสายเลือดเมืองเฉียนหลง
“ในแผนนี้ ก่อนอื่นต้องก่อให้เกิดสงครามกวาดล้างทั่วแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว สงครามต้องใหญ่พอที่จะส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของประเทศ มิฉะนั้นคงเป็นการยากที่จะใช้ประโยชน์จากโชคชะตาของราชวงศ์ต้าฟ่ง นั่นคือยุทธการด่านซานไห่เมื่อยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว”
“ประการที่สอง ให้กำเนิดสวี่ชีอัน ภาชนะผู้มีสายเลือดราชวงศ์”
สายเลือดทายาทเมื่อห้าร้อยปีก่อนย่อมเป็นเชื้อสายราชวงศ์เช่นกัน ย่อมต้องมีความสามารถจะรุกรานโชคชะตาของราชวงศ์ต้าฟ่งในตอนนี้ได้
หากเป็นกองกำลังที่ไร้ความคิด พวกมันคงรอให้ราชวงศ์ต้าฟ่งเน่าเฟะไปถึงกระดูกจนราชวงศ์ล่มสลายก่อนที่พวกมันจะโค่นล้มราชวงศ์ต้าฟ่งและก่อตั้งราชวงศ์ใหม่
“แน่นอน แผนการขั้นตอนนี้ล้มเหลว จนถึงบัดนี้ ข้ายังไม่สามารถกู้ชะตาบ้านเมืองในร่างสวี่ชีอันกลับคืนมาได้ โชคดีที่เมื่อคราแรกเริ่ม ข้าได้เตรียมการไว้สองอย่าง นั่นคือ การสลายพลังมังกรและเร่งความเสื่อมถอยของราชวงศ์ต้าฟ่ง”
“หนึ่งขึ้นหนึ่งลงผลย่อมเหมือนกัน”
สวี่ผิงเฟิงยิ้มและพูดว่า “นั่นคือปรมาจารย์ลิขิตฟ้า แม้เขาจะตายไปแล้วห้าร้อยปี แต่เขาก็ยังเป็นนักวางหมาก”
หลังจากอดทนถูกไล่ล่าสังหารมาห้าร้อยปี ในที่สุดเวลานี้เขาก็เผยเขี้ยวเล็บออกมา
“ชายผู้นี้ หลังจากตายไปห้าร้อยปี ก็ยังทำให้ข้าต้องลำบากอีก!”
ท่านโหราจารย์ตวาด สะบัดข้อมือและฟาดแส้ทำลายเทพไปทางสวี่ผิงเฟิงโดยไม่สนใจระยะทาง
ทันใดนั้น ค่ายกลช่วงเวลาป้องกันก็สว่างวาบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในขณะเดียวกันก็ใช้หนังสือส่งตัว ‘อัญเชิญ’ พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ออกมาพร้อมกัน
‘ปัง ปัง ปัง’ …ค่ายกลร่างธรรมแตกเป็นเสี่ยงๆ แส้ทำลายเทพฟาดไปถูกอกพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ทำให้เกิดรอยแส้ตื้นๆ ขึ้น
แส้ทำลายเทพที่ฟาดไปเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อสวี่ผิงเฟิงกับเฮยเหลียน แต่ไม่แข็งแกร่งพอจะจัดการเจียหลัวซู่ได้
ไม่ใช่ว่าแส้ทำลายเทพไม่มีฤทธิ์เดชเพียงพอ แต่ทอดตามองของวิเศษและอาวุธวิเศษไร้เทียมทานทั่วจิ่วโจวแล้ว ไม่มีอาวุธใดเป็นภัยคุกคามขั้นร้ายแรงกับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้เลย กระทั่งดาบสยบดินแดนก็ยังไม่อาจทำได้
ในจิ่วโจวแห่งนี้เป็นที่ซึ่งเหล่าระดับสุดยอดทั้งหมดถูกผนึกไว้ บางทีอาจมีเพียงผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ขั้นหนึ่งตัวจริงเท่านั้นที่สามารถกำราบเขาลงได้
ดูเหมือนท่านโหราจารย์คาดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพราะในขณะที่เขาฟาดแส้ เขาก็โยนแผ่นความลับสวรรค์กลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
แผ่นความลับสวรรค์หมุน ‘หึ่ง หึ่ง’ พยายาม ‘ผนึก’ ปลาไท่จี๋ให้เป็นแกนกลางอาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์
ในฐานะปรมาจารย์ลิขิตฟ้า แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจทำอะไรอาวุธเวทมนตร์ได้ แต่หากแผ่นความลับสวรรค์สามารถผนวกรวมเข้ากับอาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์ได้ ท่านโหราจารย์ก็ย่อมทำให้อาวุธเวทมนตร์นี้สลายตัวไปได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น
แล้วจึงออกจาก ‘โลก’ นี้ไป
ในขณะนี้ พลันปรากฏแอ่งของเหลวหนืดสีดำขึ้นระหว่างปลาไท่จี๋และแผ่นความลับสวรรค์
แล้วคลี่ตัวออกเหมือนม่าน ปล่อยให้แผ่นความลับสวรรค์พุ่งเข้าชน
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องเสียดแทงหัวใจของเฮยเหลียนดังขึ้น
เขาคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ทันที กรีดร้องและเกลือกกลิ้งไปมาพร้อมกับพ่นควันสีเขียวออกจากร่างเหนียวเหนอะหนะของเขา
และพื้นผิวของแผ่นความลับสวรรค์ก็ถูกย้อมด้วยชั้นสีดำล้ำลึก สูญเสียจิตวิญญาณไป ทว่าไม่อาจร่วงหล่นลงสู่พื้น
สวี่ผิงเฟิงโพล่งออกมาทันที
“เจียหลัวซู่ เวลามีจำกัด ปล่อยข้าไว้เพียงลำพัง”
ในเหตุการณ์สังหารที่มีการวางแผนมายาวนานเช่นนี้ ทุกคนล้วนแบ่งงานกันทำ งานของนักบวชเต๋าเฮยเหลียนคือการทำลายของวิเศษของท่านโหราจารย์ ซึ่งหมายถึงทุกอย่างไม่ได้จำกัดแค่แส้ทำลายเทพหรือแผ่นความลับสวรรค์
……………………………………….